เกริ่นเลยครับ เรื่องนี้ไม่มีสาระ และไม่มีบทสรุป แต่อยากจะเขียน เผื่อตัวเองและใครบางคนได้อ่านแล้วสะท้อนกลับมาหาตัวผมเองว่าสิ่งที่คิด มันสมควรหรือไม่อย่างไร
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ประมาณช่วงเกือบๆ 3 ทุ่ม ผมได้ขึ้นรถ 2 แถวสาย"วัดดอกไม้" ซึ่งบนรถ มีคุณป้า 2 คน คนหนึ่งนั่งอยู่เบาะท้ายรถฝั่งขวา ส่วนอีกคนอยู่เบาะหน้าฝั่งซ้าย คุยกันสัพเพเหระ ด้วยเสียงที่ดังมาก(ประมาณไม่ได้ครับ ไม่ได้มีเครื่องวัด แต่ขนาดที่เรียกได้ว่าทำหมาตื่นมาหอนได้แล้วกันครับ) เรื่องที่แกทั้ง 2 คุยกัน ไม่ได้สลักสำคัญอะไรครับ(อาจจะสำคัญสำหรับแกครับ แต่ผมไม่ได้ใส่ใจ แกไม่ได้พูดกับผมนี่หว่า) นั่งคุยกันแทบไม่พักหายใจ ด้วยระดับเสียง dolby surround 7.1 เสียงสมจริงเหมือนแกมาตะโกนใส่ข้างกกหูเลยครับ นั่งรอจนรถเต็ม รถก็ออก คุณป้าทั้ง 2 ก็ยังรักษาฟอร์มอย่างดีเยี่ยม เสียงดี ไม่มีตก ผมซึ่งนั่งอยู่เบาะท้ายฝั่งซ้าย ซึ่งตรงข้มกับป้าคนหนึ่งในเหตุการณ์นี้พอดี เริ่มรู้สึกหงุดหงิด ไม่ได้โกรธนะครับ แค่หงุดหงิด ผมก็เริ่มมองผ่านๆป้าแก เผื่อแกจะได้รู้ตัว กระแอมดังๆ ไป 2 ที คุณป้าก็หันมามอง.....แล้วแกก็สวดต่อครับ.... ในตอนนั้นผมนิ่งไปนิดนึง กำลังคิดแผนครับ ไม่นานก็คิดได้ ลุกขึ้น โง่มตัวลงไปพูดกับป้าที่นั่งอยู่เบาะหน้าด้านซ้ายว่า"ป้าครับ แลกที่กับผมไหมครับ จะได้คุยกับป้าคนนี้ถนัดๆ"พร้อมผายมือไปที่ป้าคนที่นั่งเบาะขวาท้ายคันรถ ทันใดนั้นป้าท้ายรถ ก็ตะโกนออกมา"ฉันคุยกัน 2 คน เธอไม่เกี่ยว อยู่เฉยๆ"ผมก็เลยย้ำว่า"เปล่าครับป้า ผมไม่ได้จะขัดการพูดคึยครับ แต่พอดีเห็นป้านั่งอยู่คนละมุมเลยต้องใช้เสียงดัง ผมเลยถามป้าคนด้านในว่าอยากแลกที่ไหม" ป้าแกก็ดีครับ แกบอก"ฉันเจอกันบนรถเมล์ ก็คุยกันไปตามประสา งั้นฉันไม่คุยแล้ว โปรดสัตว์ไป อโหสิ"แล้วก็ยกมือไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์(คงอโหสิให้ผมมั้ง?) แล้วแกก็เงียบไปเลยครับ ผมจึงตอบกลับ(แบบกวนทีนนิดๆ)"ขอบคุณครับป้าที่เข้าใจคำว่าสิทธิสารธารณะ" คนทั้งคันรถนอกจากป้าทั้ง 2 นั่งอมยิ้ม กลั้นหัวเราะ ยอมรับครับ รู้สึกดี เหลิงนิดๆ... แต่ก็ไม่ได้อะไรกับป้าแกนะครับ แม้ป้าแกจะมีการหันหน้าไปมา มองจิกด้วยหางตาเป็นระยะๆ
ด้วยรู้สึกผิดนิดๆ + ความผยองหน่อยๆ ผมพูดกับป้าตอนที่แกกดกริ่งกำลังลงรถ ว่า"ป้าไม่ต้องคิดมากนะ ผมไม่ได้เคืองอะไรป้า แต่ผมหวังดี เพราะถ้าคราวหน้าคนที่พูดไม่ใช่ผม เขาอาจจะไม่สุภาพแบบนี้" ฟังดูดีดูพระเอกมากครับ แต่ผมพูดได้แค่"ป้าไม่ต้องคิ...." ราวกับว่า ไทเทเนี่ยม ฟักกลิ้งฮีโร่ โจอี้บอยมาเปิดเวทีตรงหน้าผมเลยครับ ผมจำได้ไม่หมดนะ แต่เนื้อหาที่จับใจความได้คือ"เธอไม่ต้องมาพูดมาก พูดทีเดียวก็เข้าใจแล้ว ฉันน่ะเกิดมากินนมแม่ คนยุคเธอมันไม่ได้กินอะไรแบบนี้หรอก ถึงได้ก้าวร้าว ฉันผ่านอะไรมาเยอะและ จนจะแก่ตายอยู่แล้ว ฉันเป็นผู้ใหญ่ พูดอะไรหัดฟังซะบ้าง เธอเป็นเด็กมาตีตนเสมอ ด่าว่าคนแก่ นรกจะกินกบาล ฉันไม่ใช่คนสังคมผู้ดีแบบเธอหรอก ฉันมันคนจน คนบ้านนอก เธออยู่ส่วนของเธอไป ไม่ต้องมายุ่ง" ผมมีโอกาสสวนกลับไปนิดหน่อยครับว่า"ผมก็ไม่ได้รวยครับป้า แล้วผมก็มาจากศรีสะเกด เงินเดือนผมก้ไม่ได้มากมาย แต่สิ่งที่ผมมีต่างจากป้าคือสำนึกต่อสาธารณะครับ" แล้วก็แยกย้ายกันไป ไม่ได้มีเหตุรุนแรงอะไรเกิดขึ้น(ซึ่งผมทำอะไรไม่ได้หรอกครับ ผมเพิ่งกลับจากงานที่นครปฐม แทบจะไม่มีแรงยืนอยู่แล้ว นั่งๆอยู่ยังจะหลับด้วยซ้ำไป....)
สิ่งที่ทำให้ผมคิดไม่ตกคือสิ่งที่ป้าพูดออกมาในทำนองว่า"ฉันเป็นผู้ใหญ่กว่า ฉันมีน้ำหนักเสียงมากกว่า" ซึ่งเป็นทัศนะคติที่ผมฝังใจมาตั้งแต่ปู่และย่าของผมเอง(ที่เคยเขียนไว้ในกระทู้ก่อนๆ) ผมหงุดหงิดกับแนวคิดแบบนี้นะครับ มันไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง ทุกคนควรจะมีสิทธิได้อธิบายแก้ต่าง ขนาดในชั้นศาลยังให้โอกาสจำเลยแก้ต่าง อธิบายได้ ผมมองว่านั่นมันคือความเป็นอารยะ สิ่งที่ทำให้มนุษย์ เป็นมนุษย์
ปล... ไม่ต้องใส่ใจมากมายครับ ไม่มีสาระหรอก....
เมื่อผมมีปากเสียงกับคุณป้าบนรถสองแถว
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ประมาณช่วงเกือบๆ 3 ทุ่ม ผมได้ขึ้นรถ 2 แถวสาย"วัดดอกไม้" ซึ่งบนรถ มีคุณป้า 2 คน คนหนึ่งนั่งอยู่เบาะท้ายรถฝั่งขวา ส่วนอีกคนอยู่เบาะหน้าฝั่งซ้าย คุยกันสัพเพเหระ ด้วยเสียงที่ดังมาก(ประมาณไม่ได้ครับ ไม่ได้มีเครื่องวัด แต่ขนาดที่เรียกได้ว่าทำหมาตื่นมาหอนได้แล้วกันครับ) เรื่องที่แกทั้ง 2 คุยกัน ไม่ได้สลักสำคัญอะไรครับ(อาจจะสำคัญสำหรับแกครับ แต่ผมไม่ได้ใส่ใจ แกไม่ได้พูดกับผมนี่หว่า) นั่งคุยกันแทบไม่พักหายใจ ด้วยระดับเสียง dolby surround 7.1 เสียงสมจริงเหมือนแกมาตะโกนใส่ข้างกกหูเลยครับ นั่งรอจนรถเต็ม รถก็ออก คุณป้าทั้ง 2 ก็ยังรักษาฟอร์มอย่างดีเยี่ยม เสียงดี ไม่มีตก ผมซึ่งนั่งอยู่เบาะท้ายฝั่งซ้าย ซึ่งตรงข้มกับป้าคนหนึ่งในเหตุการณ์นี้พอดี เริ่มรู้สึกหงุดหงิด ไม่ได้โกรธนะครับ แค่หงุดหงิด ผมก็เริ่มมองผ่านๆป้าแก เผื่อแกจะได้รู้ตัว กระแอมดังๆ ไป 2 ที คุณป้าก็หันมามอง.....แล้วแกก็สวดต่อครับ.... ในตอนนั้นผมนิ่งไปนิดนึง กำลังคิดแผนครับ ไม่นานก็คิดได้ ลุกขึ้น โง่มตัวลงไปพูดกับป้าที่นั่งอยู่เบาะหน้าด้านซ้ายว่า"ป้าครับ แลกที่กับผมไหมครับ จะได้คุยกับป้าคนนี้ถนัดๆ"พร้อมผายมือไปที่ป้าคนที่นั่งเบาะขวาท้ายคันรถ ทันใดนั้นป้าท้ายรถ ก็ตะโกนออกมา"ฉันคุยกัน 2 คน เธอไม่เกี่ยว อยู่เฉยๆ"ผมก็เลยย้ำว่า"เปล่าครับป้า ผมไม่ได้จะขัดการพูดคึยครับ แต่พอดีเห็นป้านั่งอยู่คนละมุมเลยต้องใช้เสียงดัง ผมเลยถามป้าคนด้านในว่าอยากแลกที่ไหม" ป้าแกก็ดีครับ แกบอก"ฉันเจอกันบนรถเมล์ ก็คุยกันไปตามประสา งั้นฉันไม่คุยแล้ว โปรดสัตว์ไป อโหสิ"แล้วก็ยกมือไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์(คงอโหสิให้ผมมั้ง?) แล้วแกก็เงียบไปเลยครับ ผมจึงตอบกลับ(แบบกวนทีนนิดๆ)"ขอบคุณครับป้าที่เข้าใจคำว่าสิทธิสารธารณะ" คนทั้งคันรถนอกจากป้าทั้ง 2 นั่งอมยิ้ม กลั้นหัวเราะ ยอมรับครับ รู้สึกดี เหลิงนิดๆ... แต่ก็ไม่ได้อะไรกับป้าแกนะครับ แม้ป้าแกจะมีการหันหน้าไปมา มองจิกด้วยหางตาเป็นระยะๆ
ด้วยรู้สึกผิดนิดๆ + ความผยองหน่อยๆ ผมพูดกับป้าตอนที่แกกดกริ่งกำลังลงรถ ว่า"ป้าไม่ต้องคิดมากนะ ผมไม่ได้เคืองอะไรป้า แต่ผมหวังดี เพราะถ้าคราวหน้าคนที่พูดไม่ใช่ผม เขาอาจจะไม่สุภาพแบบนี้" ฟังดูดีดูพระเอกมากครับ แต่ผมพูดได้แค่"ป้าไม่ต้องคิ...." ราวกับว่า ไทเทเนี่ยม ฟักกลิ้งฮีโร่ โจอี้บอยมาเปิดเวทีตรงหน้าผมเลยครับ ผมจำได้ไม่หมดนะ แต่เนื้อหาที่จับใจความได้คือ"เธอไม่ต้องมาพูดมาก พูดทีเดียวก็เข้าใจแล้ว ฉันน่ะเกิดมากินนมแม่ คนยุคเธอมันไม่ได้กินอะไรแบบนี้หรอก ถึงได้ก้าวร้าว ฉันผ่านอะไรมาเยอะและ จนจะแก่ตายอยู่แล้ว ฉันเป็นผู้ใหญ่ พูดอะไรหัดฟังซะบ้าง เธอเป็นเด็กมาตีตนเสมอ ด่าว่าคนแก่ นรกจะกินกบาล ฉันไม่ใช่คนสังคมผู้ดีแบบเธอหรอก ฉันมันคนจน คนบ้านนอก เธออยู่ส่วนของเธอไป ไม่ต้องมายุ่ง" ผมมีโอกาสสวนกลับไปนิดหน่อยครับว่า"ผมก็ไม่ได้รวยครับป้า แล้วผมก็มาจากศรีสะเกด เงินเดือนผมก้ไม่ได้มากมาย แต่สิ่งที่ผมมีต่างจากป้าคือสำนึกต่อสาธารณะครับ" แล้วก็แยกย้ายกันไป ไม่ได้มีเหตุรุนแรงอะไรเกิดขึ้น(ซึ่งผมทำอะไรไม่ได้หรอกครับ ผมเพิ่งกลับจากงานที่นครปฐม แทบจะไม่มีแรงยืนอยู่แล้ว นั่งๆอยู่ยังจะหลับด้วยซ้ำไป....)
สิ่งที่ทำให้ผมคิดไม่ตกคือสิ่งที่ป้าพูดออกมาในทำนองว่า"ฉันเป็นผู้ใหญ่กว่า ฉันมีน้ำหนักเสียงมากกว่า" ซึ่งเป็นทัศนะคติที่ผมฝังใจมาตั้งแต่ปู่และย่าของผมเอง(ที่เคยเขียนไว้ในกระทู้ก่อนๆ) ผมหงุดหงิดกับแนวคิดแบบนี้นะครับ มันไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง ทุกคนควรจะมีสิทธิได้อธิบายแก้ต่าง ขนาดในชั้นศาลยังให้โอกาสจำเลยแก้ต่าง อธิบายได้ ผมมองว่านั่นมันคือความเป็นอารยะ สิ่งที่ทำให้มนุษย์ เป็นมนุษย์
ปล... ไม่ต้องใส่ใจมากมายครับ ไม่มีสาระหรอก....