คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
“หยุดก่อน...” เวลาผ่านไปสักพัก หลังจากที่พวกเราย้อนกลับมาทางเดิม เสียงของแอชลีย์ก็ดังขึ้น เรียกสติฉันให้กลับมา หลังจากเผลอเหม่อคิดถึงเรื่องสมัยก่อน
“มีอะไรแอช..?” ฉันถามกลับไปเบาๆ
“ฉันว่าฉันได้กลิ่นสตูเนื้อ” แอชลีย์ทำจมูกฟุ๊ดฟิดก่อนจะพูดก่อน
“ใช่ ฉันก็ได้” ซึ่งฮันนาห์เองก็ทำตามและพยักหน้ารับ
“ฉันไม่เห็นได้กลิ่นอะไรเลย” ชาลอตพูดขึ้นมาบ้าง หลังจากพยายามสูดหากลิ่นสตูตามที่สองแฝดบอก ตัวฉันเองก็ไม่ได้กลิ่นเหมือนชาลอตหรอก แต่ก็อย่างว่าแหละ จมูกฉันกับชาลอตไวต่อกลิ่นอาหารสู้สองแฝดไม่ได้
“กลิ่นมาจากไหน นำไปเลยแอช” แอชลีย์พยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะเริ่มคลานต่อไป ตลอดทางที่คลานมาราบรื่นดี ซึ่งฉันหวังว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปจนพวกเราขนเสบยังกลับมาถึงที่ห้องนั้นครบสามสิบสองนะน่ะ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
[Sereen : Part]
“เซรีน เราจะต้องเกาะสายสลิงนี่ไปอีกนานแค่ไหนกัน ฉันเมื่อยแล้วนะ” เจสซี่เริ่มส่งเสียงร้องออกมาหลังจากที่พวกเราไต่สายสลิงขึ้นมาจนสุด แต่ยังเกาะสายสลิงอยู่ไม่ยอมไต่ไปเปิดประตูลิฟต์ที่ปิดไว้มาเป็นเวลานาน
“อดทนอีกนิดได้มั้ยเจสซี่ ฉันเองก็เมื่อยไม่แพ้เธอหรอกนะ ของฉันก็มีเยอะ ใช่ว่าฉันอยากให้เราเกาะแบบนี้ไปนานๆ สักหน่อย แต่เธอคงยังไม่เปิดประตูลิฟต์ออกไปแล้วเจอพวกมันเป็นฝูงรอกินเธอหรอกใช่มั้ย” ฉันตอบกลับเจสซี่ไปแบบนั้นทำให้เธอยอมเกาะสายสลิงไปเงียบๆ น้ำหนักตัวของฉันก็ทำให้การเกาะสายสลิงเป็นเวลานานๆ ออกจะเมื่อยเล็กน้อย แต่เมื่อบวกกับของในเป้ที่ฉันแบกใส่หลังไว้อีกยิ่งทำให้เมื่อยเข้าไปใหญ่ ฉันคิดว่าน่าจะได้เวลาเปิดประตูลิฟต์แล้วนะ ไม่งันเจสซี่กับฉันคงเมื่อยจนปล่อยมือจากการเกาะสายสลิงหล่นไปตายตามลิฟต์ที่ตกไป ฉันค่อยๆ โหนตัวไปเกาะโครงเหล็กที่ใกล้ประตูลิฟต์ ก่อนจะยันตัวขึ้นมายืน และค่อยๆ ออกแรงเปิดประตูลิฟต์ที่ปิดอยู่ ลิฟต์นี้พึ่งสร้างมาใหม่ ความฝืดของประตูจึงมีไม่มาก เพราะงันแค่แรงฉันคนเดียวก็เปิดมันออกได้ ฉันง้างประตูออกเล็กน้อย ก่อนจะมองลอดออกไปเช็คดูว่ามีพวกมันอยู่รึเปล่า เมื่อเห็นว่าทุกอย่างปลอดภัย ฉันก็ค่อยๆ ง้างประตูออกกว้างขึ้น ฉันช่วยดึงเจสซี่ที่โหนตัวมาที่ประตู เพื่อออกไปจากช่องเดินลิฟต์
“ดาดฟ้าของที่นี่มีทางเดินเชื่อมต่อกันอยู่ ฉันว่าถ้าเราไปที่นั้นอาจจะออกไปจากโรงเรียนบ้าๆ นี่ได้” เจสซี่บอกแบบนั้นและเริ่มนำทางฉันไปยังดาดฟ้าของตึก เราเดินขึ้นมากันเงียบๆ
ปัง!! ปัง!! ปัง!!
ทันทีที่พวกเรามาถึงดาดฟ้าของตึก ก็ได้ยินเสียงปืนดังสนั่น
“กรี๊...!!” เจสซี่เผลอกรี๊ดด้วยความตกใจ แต่ดีที่เธอเอามือปิดปากไว้ทัน เสียงปืนดังมาจากด้านหน้าโรงเรียน และฉันก็พึ่งรู้ว่าตึกที่เราอยู่ คือตึกที่ใกล้กับประตูโรงเรียนที่สุด ตอนแรกที่ฉันได้ยินเสียงปืนก็แอบตกใจและสงสัยอยู่เหมือนกัน แต่ภาพตรงหน้าที่เห็นนี่สิ ทำเอาฉันลืมเสียงปืนไปเลย
รั้วโรงเรียนที่สร้างขึ้นเป็นกำแพงสูงตอนนี้กลับมีพวกทหารถือปืนยืนเรียงอยู่เต็มไปหมด นอกรั้วก็มีรถบัสและรถหกล้อจอดอยู่เต็มข้างทางเข้าโรงเรียนไปหมด รถพวกนี้ฉันคิดว่าคงขนพวกทหารมา เพราะรูปร่างมันเหมือนในหนังที่ฉันเคยดู ฉันเดินเข้าไปใกล้อีกนิดเพราะความสงสัย ท่าทางแบบนี้เหมือนในหนังซอมบี้ตอนที่รัฐบาลกำลังพยายามจะปิดเมืองไม่มีผิด
“เราได้รับคำสั่งจากทางการให้ทำการกักกันเชื้อโรคที่โรงเรียนแห่งนี้ เราไม่สนว่าพวกเธอจะเป็นเยาวชน คำสั่งที่พวกเราได้รับมาคือคนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า เพื่อการป้องกันการติดเชื้อ พวกเธอทุกคนจะไม่มีสิทธิ์ที่จะออกจากโรงเรียนแห่งนี้จนกว่าจะได้รับการทดสอบว่าปลอดเชื้อ...” เสียงประกาศจากนายทหารคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าดังขึ้นหลังจากเสียงปืนเงียบลง
“ไม่สนโว้ยย!!! ปล่อยพวกเราออกไปนะ จะให้โดนไอ้ตัวพวกนั้นกินตายรึยังไงกัน!!!”
“ปล่อยพวกเราออกไปนะ!!! พวกแกไม่มีสิทธิ์มาขังงพวกเราแบบนี้ จะให้พวกเราตายรึยังไง!!!!”
“เปิดประตูโรงเรียนนะ!!!”
“เห้ยย!! ไอ้พวกข้างหลังนะ ช่วยกันพังประตูเร็ว!!!” ความชุลมุนเริ่มเกิดขึ้น เมื่อเหล่านักเรียนที่อยู่หน้าประตูโรงเรียนเริ่มทำท่าจะพังประตูรั้วออกไป สถานการณ์ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไง เพราะมันก็แย่ไม่ต่างจากที่เป็นอยู่ โรงเรียนถูกปิดตาย...? คนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า...? พวกเรายังเป็นแค่นักเรียน จะให้เราเอาตัวรอดยังไงกับกลุ่มคนที่ติดเชื้อกลายเป็นซอมบี้ไปแล้วแบบนี้
“หยุดเดียวนี้ นี่คือคำเตือน ขอให้พวกเธออยู่ในความสงบ และทำสลายตัวจากหน้าประตูไปซะ ไม่งันพวกเราจะเริ่มมาตรการขั้นเด็ดขาด ขอย้ำ! พวกเราไม่สนว่าพวกเธอเป็นเยาวชน ถ้ายังไม่ทำการสลายตัว เราจะเริ่มมาตรการขั้นเด็ดขาด!!” เสียงเตือนจากนายทหารคนเดิม แต่ดูเหมือนว่าพวกนักเรียนที่อยู่หน้าประตูจะสติแตกเกินว่าจะสนใจคำเตือน ด้วยความกลัวตาย เมื่อเห็นทางรอดอยู่ตรงหน้า ก็ไม่มีใครสนใจกับคำเตือนจากเลยสักคน
“เห้ยย!! มันไม่กล้าทำอะไรพวกเราจริงหรอก!! พังประตูต่อไปพวกเรา!!” เรียกร้องปลุกระดมคนทำให้พวกนักเรียนมีแรงฮึดสู้ในการพังประตูมากยิ่งขึ้น
เพื่อเห็นว่าพวกนักเรียนไม่มีท่าทีจะยอมถอยตามที่เตือนไป นายทหารก็ยกมือส่งสัญญาณให้พวกทหารที่ยืนเรียงบนกำแพงเตรียมตัวทำตามมาตรการขั้นเด็ดขาด พอเห็นแบบนี้แล้วฉันก็พอจะเดาได้แล้ว่าฉากต่อไปจะเป็นยังไง ฉันรีบดึงมือเจสซี่ที่กำลังยืนมองด้วยความมึนงงและสงสัยอยู่ให้ออกเดินห่างจากตรงนี้ สิ่งแรกที่แวบเข้ามาในสมองของฉันคือโรงอาหาร ก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมต้องไปที่นั่น แต่ตอนนี้ขอไปให้ห่างจากเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นก่อนก็พอแล้ว
ปังๆๆๆๆๆ!!!
กรี๊ดดดดดดดดด!!!!!
อ๊ากกกกกกกกกก!!!!
ปัง!! ปึก!! ปังๆ!!
“กรี๊ดดด!! พวกมันออกมากันแล้ว หนีเร็ว!!” ฉากนองเลือดเริ่มขึ้นแล้ว เสียงกรีดร้องโหยหวน ดังระงม ขนาดอยู่บนตึกดาดฟ้าฉันยังได้กลิ่นเหม็นคาวเลือดจางๆ เลย ทั้งเสียงกรีดร้อง ทั้งกลิ่นคาวเลือด เรียกพวกมันที่อยู่ตามตัวตึกให้พังประตูที่ปิดไว้ออกมา เหตุการณ์หนีตายเกิดขึ้นอีกครั้ง เสียงปืนยังดังขึ้นเป็นพักๆ พร้อมๆ กับเสียงวิ่งหนีและเสียงกรีดร้องของเหล่านักเรียนที่พากันวิ่งหนีเอาตัวรอดทั้งจากกระสุนปืนของพวกทหาร ทั้งจากพวกมันที่มีแต่ความหิวโหย กระจัดกระจายไปทั่ว
ฉันเม้มปากล่างลง ข่มความกลัวตายลงไปให้ลึกสุดหัวใจ เพราะความจริงที่ได้รู้เมื่อกี้ ทำให้ฉันต้องตระหนักไว้ว่าฉันไม่มีเวลาพอที่จะให้ความกลัวครอบนำจิตใจ สิ่งที่ฉันต้องทำตอนนี้คือเอาตัวรอดให้ได้จากสถานการณ์ตอนนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มันก็คงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าการที่ต้องถูกขังให้อยู่ร่วมกับคนตายที่ยังเดินได้พวกนี้หรอก!!!
TO BE CONTINUED...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
“มีอะไรแอช..?” ฉันถามกลับไปเบาๆ
“ฉันว่าฉันได้กลิ่นสตูเนื้อ” แอชลีย์ทำจมูกฟุ๊ดฟิดก่อนจะพูดก่อน
“ใช่ ฉันก็ได้” ซึ่งฮันนาห์เองก็ทำตามและพยักหน้ารับ
“ฉันไม่เห็นได้กลิ่นอะไรเลย” ชาลอตพูดขึ้นมาบ้าง หลังจากพยายามสูดหากลิ่นสตูตามที่สองแฝดบอก ตัวฉันเองก็ไม่ได้กลิ่นเหมือนชาลอตหรอก แต่ก็อย่างว่าแหละ จมูกฉันกับชาลอตไวต่อกลิ่นอาหารสู้สองแฝดไม่ได้
“กลิ่นมาจากไหน นำไปเลยแอช” แอชลีย์พยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะเริ่มคลานต่อไป ตลอดทางที่คลานมาราบรื่นดี ซึ่งฉันหวังว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปจนพวกเราขนเสบยังกลับมาถึงที่ห้องนั้นครบสามสิบสองนะน่ะ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
[Sereen : Part]
“เซรีน เราจะต้องเกาะสายสลิงนี่ไปอีกนานแค่ไหนกัน ฉันเมื่อยแล้วนะ” เจสซี่เริ่มส่งเสียงร้องออกมาหลังจากที่พวกเราไต่สายสลิงขึ้นมาจนสุด แต่ยังเกาะสายสลิงอยู่ไม่ยอมไต่ไปเปิดประตูลิฟต์ที่ปิดไว้มาเป็นเวลานาน
“อดทนอีกนิดได้มั้ยเจสซี่ ฉันเองก็เมื่อยไม่แพ้เธอหรอกนะ ของฉันก็มีเยอะ ใช่ว่าฉันอยากให้เราเกาะแบบนี้ไปนานๆ สักหน่อย แต่เธอคงยังไม่เปิดประตูลิฟต์ออกไปแล้วเจอพวกมันเป็นฝูงรอกินเธอหรอกใช่มั้ย” ฉันตอบกลับเจสซี่ไปแบบนั้นทำให้เธอยอมเกาะสายสลิงไปเงียบๆ น้ำหนักตัวของฉันก็ทำให้การเกาะสายสลิงเป็นเวลานานๆ ออกจะเมื่อยเล็กน้อย แต่เมื่อบวกกับของในเป้ที่ฉันแบกใส่หลังไว้อีกยิ่งทำให้เมื่อยเข้าไปใหญ่ ฉันคิดว่าน่าจะได้เวลาเปิดประตูลิฟต์แล้วนะ ไม่งันเจสซี่กับฉันคงเมื่อยจนปล่อยมือจากการเกาะสายสลิงหล่นไปตายตามลิฟต์ที่ตกไป ฉันค่อยๆ โหนตัวไปเกาะโครงเหล็กที่ใกล้ประตูลิฟต์ ก่อนจะยันตัวขึ้นมายืน และค่อยๆ ออกแรงเปิดประตูลิฟต์ที่ปิดอยู่ ลิฟต์นี้พึ่งสร้างมาใหม่ ความฝืดของประตูจึงมีไม่มาก เพราะงันแค่แรงฉันคนเดียวก็เปิดมันออกได้ ฉันง้างประตูออกเล็กน้อย ก่อนจะมองลอดออกไปเช็คดูว่ามีพวกมันอยู่รึเปล่า เมื่อเห็นว่าทุกอย่างปลอดภัย ฉันก็ค่อยๆ ง้างประตูออกกว้างขึ้น ฉันช่วยดึงเจสซี่ที่โหนตัวมาที่ประตู เพื่อออกไปจากช่องเดินลิฟต์
“ดาดฟ้าของที่นี่มีทางเดินเชื่อมต่อกันอยู่ ฉันว่าถ้าเราไปที่นั้นอาจจะออกไปจากโรงเรียนบ้าๆ นี่ได้” เจสซี่บอกแบบนั้นและเริ่มนำทางฉันไปยังดาดฟ้าของตึก เราเดินขึ้นมากันเงียบๆ
ปัง!! ปัง!! ปัง!!
ทันทีที่พวกเรามาถึงดาดฟ้าของตึก ก็ได้ยินเสียงปืนดังสนั่น
“กรี๊...!!” เจสซี่เผลอกรี๊ดด้วยความตกใจ แต่ดีที่เธอเอามือปิดปากไว้ทัน เสียงปืนดังมาจากด้านหน้าโรงเรียน และฉันก็พึ่งรู้ว่าตึกที่เราอยู่ คือตึกที่ใกล้กับประตูโรงเรียนที่สุด ตอนแรกที่ฉันได้ยินเสียงปืนก็แอบตกใจและสงสัยอยู่เหมือนกัน แต่ภาพตรงหน้าที่เห็นนี่สิ ทำเอาฉันลืมเสียงปืนไปเลย
รั้วโรงเรียนที่สร้างขึ้นเป็นกำแพงสูงตอนนี้กลับมีพวกทหารถือปืนยืนเรียงอยู่เต็มไปหมด นอกรั้วก็มีรถบัสและรถหกล้อจอดอยู่เต็มข้างทางเข้าโรงเรียนไปหมด รถพวกนี้ฉันคิดว่าคงขนพวกทหารมา เพราะรูปร่างมันเหมือนในหนังที่ฉันเคยดู ฉันเดินเข้าไปใกล้อีกนิดเพราะความสงสัย ท่าทางแบบนี้เหมือนในหนังซอมบี้ตอนที่รัฐบาลกำลังพยายามจะปิดเมืองไม่มีผิด
“เราได้รับคำสั่งจากทางการให้ทำการกักกันเชื้อโรคที่โรงเรียนแห่งนี้ เราไม่สนว่าพวกเธอจะเป็นเยาวชน คำสั่งที่พวกเราได้รับมาคือคนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า เพื่อการป้องกันการติดเชื้อ พวกเธอทุกคนจะไม่มีสิทธิ์ที่จะออกจากโรงเรียนแห่งนี้จนกว่าจะได้รับการทดสอบว่าปลอดเชื้อ...” เสียงประกาศจากนายทหารคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าดังขึ้นหลังจากเสียงปืนเงียบลง
“ไม่สนโว้ยย!!! ปล่อยพวกเราออกไปนะ จะให้โดนไอ้ตัวพวกนั้นกินตายรึยังไงกัน!!!”
“ปล่อยพวกเราออกไปนะ!!! พวกแกไม่มีสิทธิ์มาขังงพวกเราแบบนี้ จะให้พวกเราตายรึยังไง!!!!”
“เปิดประตูโรงเรียนนะ!!!”
“เห้ยย!! ไอ้พวกข้างหลังนะ ช่วยกันพังประตูเร็ว!!!” ความชุลมุนเริ่มเกิดขึ้น เมื่อเหล่านักเรียนที่อยู่หน้าประตูโรงเรียนเริ่มทำท่าจะพังประตูรั้วออกไป สถานการณ์ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไง เพราะมันก็แย่ไม่ต่างจากที่เป็นอยู่ โรงเรียนถูกปิดตาย...? คนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า...? พวกเรายังเป็นแค่นักเรียน จะให้เราเอาตัวรอดยังไงกับกลุ่มคนที่ติดเชื้อกลายเป็นซอมบี้ไปแล้วแบบนี้
“หยุดเดียวนี้ นี่คือคำเตือน ขอให้พวกเธออยู่ในความสงบ และทำสลายตัวจากหน้าประตูไปซะ ไม่งันพวกเราจะเริ่มมาตรการขั้นเด็ดขาด ขอย้ำ! พวกเราไม่สนว่าพวกเธอเป็นเยาวชน ถ้ายังไม่ทำการสลายตัว เราจะเริ่มมาตรการขั้นเด็ดขาด!!” เสียงเตือนจากนายทหารคนเดิม แต่ดูเหมือนว่าพวกนักเรียนที่อยู่หน้าประตูจะสติแตกเกินว่าจะสนใจคำเตือน ด้วยความกลัวตาย เมื่อเห็นทางรอดอยู่ตรงหน้า ก็ไม่มีใครสนใจกับคำเตือนจากเลยสักคน
“เห้ยย!! มันไม่กล้าทำอะไรพวกเราจริงหรอก!! พังประตูต่อไปพวกเรา!!” เรียกร้องปลุกระดมคนทำให้พวกนักเรียนมีแรงฮึดสู้ในการพังประตูมากยิ่งขึ้น
เพื่อเห็นว่าพวกนักเรียนไม่มีท่าทีจะยอมถอยตามที่เตือนไป นายทหารก็ยกมือส่งสัญญาณให้พวกทหารที่ยืนเรียงบนกำแพงเตรียมตัวทำตามมาตรการขั้นเด็ดขาด พอเห็นแบบนี้แล้วฉันก็พอจะเดาได้แล้ว่าฉากต่อไปจะเป็นยังไง ฉันรีบดึงมือเจสซี่ที่กำลังยืนมองด้วยความมึนงงและสงสัยอยู่ให้ออกเดินห่างจากตรงนี้ สิ่งแรกที่แวบเข้ามาในสมองของฉันคือโรงอาหาร ก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมต้องไปที่นั่น แต่ตอนนี้ขอไปให้ห่างจากเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นก่อนก็พอแล้ว
ปังๆๆๆๆๆ!!!
กรี๊ดดดดดดดดด!!!!!
อ๊ากกกกกกกกกก!!!!
ปัง!! ปึก!! ปังๆ!!
“กรี๊ดดด!! พวกมันออกมากันแล้ว หนีเร็ว!!” ฉากนองเลือดเริ่มขึ้นแล้ว เสียงกรีดร้องโหยหวน ดังระงม ขนาดอยู่บนตึกดาดฟ้าฉันยังได้กลิ่นเหม็นคาวเลือดจางๆ เลย ทั้งเสียงกรีดร้อง ทั้งกลิ่นคาวเลือด เรียกพวกมันที่อยู่ตามตัวตึกให้พังประตูที่ปิดไว้ออกมา เหตุการณ์หนีตายเกิดขึ้นอีกครั้ง เสียงปืนยังดังขึ้นเป็นพักๆ พร้อมๆ กับเสียงวิ่งหนีและเสียงกรีดร้องของเหล่านักเรียนที่พากันวิ่งหนีเอาตัวรอดทั้งจากกระสุนปืนของพวกทหาร ทั้งจากพวกมันที่มีแต่ความหิวโหย กระจัดกระจายไปทั่ว
ฉันเม้มปากล่างลง ข่มความกลัวตายลงไปให้ลึกสุดหัวใจ เพราะความจริงที่ได้รู้เมื่อกี้ ทำให้ฉันต้องตระหนักไว้ว่าฉันไม่มีเวลาพอที่จะให้ความกลัวครอบนำจิตใจ สิ่งที่ฉันต้องทำตอนนี้คือเอาตัวรอดให้ได้จากสถานการณ์ตอนนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มันก็คงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าการที่ต้องถูกขังให้อยู่ร่วมกับคนตายที่ยังเดินได้พวกนี้หรอก!!!
TO BE CONTINUED...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
The School โรงเรียนที่ถูกปิดตาย!!! : Day 10
เด็กสาวที่ถูกขนานนาม
[มันสมองกับความเบื่อหน่าย]
เคยมีคำกล่าวที่ว่า...
‘ ผู้ใดอ่านสามก๊กจบสามรอบ ผู้นั้นคบไม่ได้ ’
คุณคิดว่ามันจริงมั้ยกับคำกล่าวนี้...?
[Abigail : Part]
พวกคุณเคยมีคำถามที่ได้แต่สงสัยแต่ไม่เคยถามออกไปบ้างมั้ย...? สำหรับฉัน มันมีเพียบเลยละ พ่อแม่ฉันรถคว่ำตายตอนฉันอายุสี่ขวบ ฉันไม่ขอดราม่า เพราะมันกลายเป็นอะไรที่ฉันชินไปแล้ว ฉันถูกรับเลี้ยงอย่างไม่เต็มใจโดยป้าของฉัน มรดกที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้นั้นป้าเป็นคนดูแลแทนจนกว่าฉันจะบรรลุนิติภาวะ ฉันถูกกำหนดว่าต้องทำอะไร ต้องใช้ชีวิตยังไง ต้องเดินไปทางไหน เหมือนตุ๊กตาหุ่นเชิด ที่มีป้าเป็นนักเชิดหุ่น ป้าขีดเส้นเดินและฉันก็ต้องเดินตามเส้นที่ถูกขีด มันค่อนข้างที่จะน่าเบื่อ ต่อหน้าคนอื่นป้าทำเป็นรักและเอ็นดูฉันเหมือนเป็นลูกแท้ๆ แต่อยู่ที่บ้านของป้าทุกคนต่างพากันรังเกียจฉัน มันไม่ถึงขั้นทารุณอะไรเหมือนในละครหรอกนะ แค่ทุกคนทำเป็นมองไม่เห็นฉัน ไม่สนใจ ไม่วุ่นวาย ไม่พูดคุย ฉันก็เหมือนกับฝุ่นละอองที่ลอยอยู่ในอากาศ สิ่งแวดล้อมเหล่านี้ทำให้ฉันกลายเป็นคนที่เบื่อกับอะไรง่ายๆ หน่ายกับอะไรที่เสแสร้งแกล้งทำ ฉันตัวคนเดียวมาตั้งแต่เด็ก จนเมื่อกระทั่งได้มีโอกาสลองประสบการณ์โหยหาสิ่งที่เรียกว่า ‘อิสระ’ อย่างการหนีออกจากบ้านดู มันเป็นครั้งแรกที่ฉันออกมาจากกรอบห้องสี่เหลี่ยม เป็นครั้งแรกที่ฉันสัมผัสได้ถึงอิสระ และก็เป็นครั้งแรกที่ฉันสัมผัสได้ถึงคำว่ามิตราภาพอีกด้วย คืนวันนึ่งที่ฉันหนีออกมา ฉันเดินเตร็ดเตร่กลางถนนในซอย ฉันเดินไปทุกที่ ที่ฉันอยากจะไป เวลาตอนนี้ก็ดึกพอสมควร บรรยากาศเย็นสบายๆ เสียงรอบข้างเงียบสงบ ฉันเดินมาหยุดพักที่สนามเด็กเล่น นั่งโยกชิงช้าเบาๆ หลับตารับลมที่พัดตามแรงโยก ฉันชอบความรู้สึกแบบนี้จริงๆ ความรู้สึกที่เหมือนได้รับการปลดปล่อยจากกฎเกณฑ์
“เธอหนีออกจากบ้านมาหรอ” ท่ามกลางความเงียบ ก็มีเสียงเล็กๆ สองเสียงดังขึ้น ฉันที่กำลังหลับตารับลมก็ลืมตามามองต้นตอของเสียงอย่างช้าๆ แม้จะตกใจแต่ฉันก็ยังคงหน้าตาที่เรียบเฉยไว้
“...” ฉันไม่ได้ตอบคำถาม แต่จ้องมองไปยังคนถาม เด็กสาวสองคนที่หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบ กำลังมองมายังฉัน มือข้างหนึ่งถืออมยิ้มไว้คนละข้าง อีกมือหนึ่งก็จับมือกัน พวกเธอไม่ใช่วิญญาณของเด็กที่ตายในสนามเด็กเล่นนี้ใช่มั้ย หน้าพวกเธอดูหล่อนๆ นะ แถมอยู่ดีๆ ก็โผล่มาในเวลานี้อีก
“ฉันว่าเธอเป็นใบ้นะ” ยัยคนฝั่งซ้ายพูดแล้วเอียงหน้าไปทางซ้ายเล็กน้อย
“ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน” ยัยคนฝั่งขวาพูดแล้วก็เอียงหน้าไปทางขวาเหมือนยัยคนซ้าย ฉันควรจะพูดอะไรออกไปใช่มั้ย ก่อนที่พวกนี้จะเข้าใจว่าฉันเป็นใบ้จริงๆ
“พวกเธอเป็นผีใช่มั้ย ทำไมต้องมาหลอกฉันด้วย” ฉันตอบกลับพวกเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม พวกเธอเอียงหน้ากลับมาตรงเหมือนเดิมแล้ว แต่ดีกรีความหลอนยังไม่ลดลง
“เธอพูดได้ด้วยแหละแอชลีย์” คนฝั่งซ้ายเบิกตาโตขึ้นเหมือนตกใจ
“ฉันเห็นแล้วฮันนาห์” คนฝั่งขวาก็เบิกตาโตแล้วพูดตาม อืม...สองคนนี้เป็นฝาแฝดที่ชวนขนหัวลุกจริงๆ ฉันลุกจากชิงช้า เตรียมกลับไปอยู่ในกรอบที่แสนน่าเบื่อเหมือนเดิม ฉันเดินผ่านสองแฝดที่ยังคงยืนแน่นิ่งอยู่ที่เดิม
“เธอกำลังจะไปแล้วแอชลีย์” เสียงดังตามหลัง แต่ฉันก็ยังคงเดินต่อไป ไม่ได้หยุดฟังหรือสนใจ
“เราจะตามไปมั้ยฮันนาห์” เสียงสองแฝดดังตามฉันมาเรื่อยๆ ซึ่งฉันไม่สนใจและเดินต่อไปอย่างเงียบๆ
.
.
.
.
“ดูเหมือนว่า...”
“เธอจะเป็นเพื่อนบ้านของเรานะฮันนาห์” เสียงสองแฝดสิ้นสุดลง ฉันปีนข้ามรั้วบ้านเข้ามาแล้วไต่เชือกขึ้นไปยังห้องของฉันที่อยู่ชั้นสอง และนี้คือจุดเริ่มต้นของฉันกับพวกฮันนาห์และแอชลีย์
ตอนนี้ พวกฉันยังคงอยู่ในห้องกับชายที่อ้างว่าหนีมาเหมือนกัน ฉันไม่รู้หรอกว่าพวกที่เหลือจะคิดยังไง แต่ฉันว่ามันแปลกๆ ผู้ชายตรงหน้ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เขาดูไม่น่าจะเป็นคนธรรมดา ดูจากสีหน้าและท่าทางของเขาตอนนี้ เขาดูไม่หวาดกลัวกับอะไรเลย แถมยังนั่งอ่านหนังสือสามก๊กสบายอารมณ์อีกด้วย
"อ่ะ...!" ภาระหมายเลขหนึ่งที่ก่อนหน้านี้เป็นลมสลบไปตื่นขึ้นมา
"คาเรนฟื้นแล้วหรอ" เสียงร้องดีใจของภาระหมายเลขสองดังขึ้น ใช่สินะ...ก่อนที่จะสลบไป ยัยนี่ดูเหมือนจะรู้จักผู้ชายคนนี้ แต่ฉันคงไม่เข้าไปถามหล่อนหรอกนะว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร เพราะมันไม่ใช่นิสัยของฉันและมันออกจะน่ารำคาญเกินไปด้วย
"เกล" ฉันหันไปตามเสียงเรียกของแอชลีย์
“มีอะไรงันหรอแอช” สีหน้าของแอชลีย์ดูกังวลเล็กน้อย ผิดกับฮันนาห์ที่ตอนนี้ดูสนุกสนานกับการรื้อๆ ค้นๆ ของในห้องนี้ เท่าที่ฉันดูในห้องนี้ไม่ค่อยมีอะไรมากนัก ก็เหมือนกับห้องทั่วๆ ไป แปลกก็ตรงที่ห้องนี้มีแต่หนังสือสามก๊กอย่างเดียว ไม่มีหนังสืออื่นเลย ซึ่งในห้องมีเพียงคนเดียวที่นั่งอ่าน นั่นก็คือผู้ชายคนนั้น เคยมีคนบอกไว้ว่า ผู้ใดอ่านสามก๊กจบสามรอบ ผู้นั้นคบไม่ได้ เท่าที่ฉันดู ผู้ชายคนนั้นดูไม่น่าไว้ใจตั้งแต่แรกแล้ว ยิ่งอ่านสามก๊กด้วยท่าทีสบายๆ ในเหตุการณ์อย่างนี้แล้ว ยิ่งไม่น่าไว้ใจเข้าไปอีก
“ฉันแค่สงสัยนะ ว่าเราจะอยู่ที่นี้กันนานมั้ย” แอชลีย์พูดพลางมองไปรอบๆ ห้อง
“ใช่ ห้องนี้ไม่มีอะไรให้กินเลย เสบียงไม่มี เราจะตายเอานะ” ฮันนาห์กระโดดมาต่อท้ายประโยคของแอชลีย์ สองคนนี้มักจะต่อประโยคกันแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้ว และดีกรีความหลอนก็ยังไม่ลดลงด้วย แต่ว่าฉันชินแล้วละ
“พวกเธอพูดมาก็ถูก...ขอฉันคิดอะไรสักแปปนึงนะ” นับเวลาจากที่เกิดเรื่องมา นี่ก็ผ่านมาประมาณสี่ชั่วโมงแล้ว และไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าเราจะรอดออกไปจากที่นี่ได้ภายในวันนี้ เพราะข้างนอกต้องมีตัวพวกนี้อยู่อีกแน่ๆ แถมใบเบิกทางอย่างเซรีนก็ดันหลงไปอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ สิ่งจำเป็นตอนนี้ก็คงเป็นที่ปลอดภัยสำหรับหลบซ่อนจากพวกมัน อาวุธที่ใช้ป้องกันตัว น้ำและอาหาร สิ่งพวกนี้ดูเหมือนจะจำเป็นที่สุดแล้ว ในห้องนี้ดูๆ แล้วคงไม่มีอะไรให้เป็นอาวุธที่พอเอาตัวรอดจากพวกข้างนอกได้เลย ถ้าพูดเรื่องน้ำและอาหาร ที่ๆ เราจะสามารถหามันได้ก็คงเป็นโรงอาหารเท่านั้น เรื่องนี้ให้สองแฝดอย่างแอชลีย์และฮันนาห์จัดการไปก็แล้วกัน เพราะสองคนนี้มีความสามารถด้านการหาอาหาร แต่ปัญหาคือพวกเราจะไปโรงอาหารกันยังไงให้รอดครบสามสิบสอง
“เฮ้ ขอฉันคุยด้วยหน่อยสิ” เสียงของผู้ชายคนนั้นเรียกให้ยัยคาเรนไปคุยด้วย มันก็น่าสงสัย แต่ฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะมีประโยชน์ในการเอาตัวรอด เพราะงันช่างมันเถอะ เอาจริงๆ ถ้าไม่ติดว่ายัยคาเรนและยัยคนที่ชื่อชาลอตเป็นเพื่อนของเซรีน ฉันก็คงทิ้งไปนานแล้ว คุณก็คงจะรู้พื้นฐานในการเข้าสังคมใช่มั้ย? เราต้องเข้าหาคนที่มีประโยชน์ต่อเราให้มากที่สุด เพื่อเอาตัวรอด และละทิ้งคนที่เป็นตัวถ่วงที่จะทำลายชีวิตของคุณ มันค่อนข้างเห็นแก่ตัว แต่ในชีวิตจริงก็แบบนี้แหละ คนเรารักตัวกลัวตายกันทั้งนั้น ฉันเองก็เหมือนกัน ถ้าการเห็นแก่ตัวแล้ว ทำให้คุณรอดตาย คุณจะเลือกมั้ยละ...
“แอชลีย์...ฮันนาห์ ฉันว่าเราต้องหาเสบียง” ฉันหันกลับไปพูดกับสองแฝดเบาๆ
“เราจะเริ่มหาเมื่อไรกันละ”
“เราจะหาที่ไหนกันละ” แอชลีย์กับฮันนาห์พูดต่อประโยคกันออกมา
“เราจะเริ่มหากันเดียวนี้ ส่วนหาที่ไหนฉันคงต้องให้พวกเธอหาเองแล้วแหละ” เรื่องอาหารไม่มีใครหาเก่งเท่าสองแฝดนี่อยู่แล้ว เพราะตอนเด็กๆ ไม่ว่าฉันจะซ่อนขนมไว้ที่ไหน สองแฝดก็มักจะหาเจอตลอด จมูกของสองแฝดค่อนข้างไวต่อกลิ่นอาหาร เพราะงันเรื่องหาเสบียงคงเป็นอะไรที่หมูๆ สำหรับพวกเธอ
“เอ่อ...ฉันได้ยินเสียงพวกเธอคุยกัน พวกเธอกำลังจะไปไหนกันหรอ” เสียงของชาลอตดังแทรกขึ้น ฉันคิดว่าเธอจะอยู่กับเพื่อนของเธอ แต่ดูเหมือนว่าผู้ชานคนนั้นยังคุยกับคาเรนยังไม่เสร็จ ชาลอตถึงเดินมาหาพวกฉันแทน
“พวกเรากำลังจะไปหาเสบียงกันนะ” แอชลีย์ตอบคำถามของชาลอต และฉันภาวนาขอให้ฮันนาห์ไม่พูดต่อประโยคที่เป็นการเอ่ยชวน เพราะการที่จะไปหาเสบียงด้วยจำนวนคนมากๆ มันจะกลายเป็นจุดเด่นสายตา แม้ว่าจำนวนคนยิ่งเยอะ จะยิ่งขนเสบียงได้เยอะตามก็เถอะ แต่จุดเสี่ยงมันก็มีมากตามด้วย ฉันขอตัดจุดเสี่ยงออกไปเพื่อความปลอดภัยดีกว่า
“เธอจะไปกับพวกเรามั้ย”
“เอาสิ ฉันอยากทำตัวให้เป็นประโยชน์บ้าง อยู่นี่น่าเบื่อจะตาย ไม่มีอะไรให้ทำเลยสักอย่าง” และดูเหมือนคำภาวนาของฉันจะสื่อไปถึงฮันนาห์ไม่ถึง เพราะพอฮันนาห์เอ่ยชวน ชาลอตก็ตอบตกลงทันที ท่าทางกระตื้อรื้อร้นของชาลอต ทำให้ฉันอดพูดไม่ได้
“ถ้าอยากล่นหาที่ตายก็ตามสบาย เพราะมันไม่มีหลักประกันอะไรที่จะบอกได้ว่าจะรอดกลับมา อีกอย่างเราไม่ได้จะไปทัศนะศึกษา ไม่ต้องตื่นเต้นก็ได้”
“อ่า...” ชาลอตตอบกลับมาสั้นๆ ด้วยสีหน้าที่เจื่อนลง
“เราจะออกไปหาเสบียงกันทางไหนละ ที่ประตูที่ชายคนนั้นเปิดเข้ามา...”
“หรือที่ท่อระบายที่พวกเราพึ่งปีนลงมา...” แอชลีย์กับฮันนาห์เห็นว่าชาลอตเงียบไป เลยหันมาถามฉันต่อ ฉันเริ่มคิดตาม ถ้าไปทางประตู ความเสี่ยงก็ค่อนข้างที่จะสูง เพราะไม่มีใครรู้เลยนอกจากผู้ชายคนนั้นว่านอกประตูมีพวกมันอยู่มั้ย แถมที่ๆ เราอยู่นั้น อยู่ส่วนไหนของโรงเรียนฉันก็ยังไม่รู้
“ฉันคิดว่าเราไปทางท่อระบายน่าจะปลอดภัยกว่านะ” แอชลีย์กับฮันนาห์พยักหน้ารับคำตอบจากฉันเบาๆ ก่อนจะลากเก้าอี้มาเพื่อใช้ปีนขึ้นท่อระบาย แอชลีย์ขึ้นไป ก่อน ตามด้วยฮันนาห์ ชาลอต และสุดท้ายก็ฉัน บรรยากาศน่าอึดอัดจากที่แคบกลับมาอีกแล้วสินะ....
มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ชอบใส่หน้ากากเข้าหากัน คุณเห็นด้วยมั้ย?? ฉันปั้นหน้ายิ้มในงานแข่งขันวิชาการโอลิมปิก ในมือถือถ้วยประกาศ ส่วนที่คอก็ห้อยเหรียญรางวัล นี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วฉันก็จำไม่ได้ ที่ฉันต้องมาเป็นตุ๊กตายืนหน้ายิ้มให้ป้าอวดใครต่อใคร ฉันไม่เคยนึกอยากมาแข่งอะไรบ้าบอแบบนี้ ฉันอยากแค่อยู่ในห้องของฉันเงียบๆ
“ยิ้มเอาไว้อบิเกล หวังว่าฉันคงไม่ต้องบอกเธออีกเป็นครั้งที่สามนะ” ป้าเอียงหน้ามากระซิบข้างหูฉันเบาๆ เมื่อเห็นว่าฉันเริ่มเหม่อลอยและหุบยิ้มลง เมื่อได้รับคำสั่ง ฉันก็คงต้องทำตามหน้าที่ของตุ๊กตาที่ดี ฉันแย้มยิ้มอีกครั้ง เหมือนกับว่าฉันมีความสุขมากที่ได้รางวัลชนะเลิศเหรียญทองโอลิมปิกโลกครั้งนี้
“แหม หลานสาวคุณนายดอร์ลิ่งนี่เก่งสมคำลำลือจริงๆ นะคะ มากี่ทีๆ ก็คว้ารางวัลไปหมดเลย” เสียงแก่ๆ แหลมๆ ของคุณนายซูจีเปิดฉากขึ้น พร้อมๆ กับใบหน้ายิ้มแย้มของเหล่าบรรดาคุณนายทั้งหลายที่เริ่มเข้ามาร่วมวงสนทนา ความน่าเบื่อจากสิ่งที่ฉันเกลียดกำลังเริ่มขึ้น รอยยิ้มเสแสร้งที่เหมือนยินดี แต่ภายในใจกลับมีแต่ความอิจฉาริษยา เฮ้อ...สังคมของพวกผู้ใหญ่ก็มีแต่แบบนี้
ป้าเริ่มส่งฉันเข้าแข่งขันวิชาการเพราะเห็นแววในไหวพริบของฉันที่คงได้รับจากการถ่ายทอดของพ่อและแม่ที่เสียไป ทุกๆ ครั้งที่ฉันเข้าแข่งขัน ฉันก็มักจะได้ที่ 1 เสมอ มันเป็นสิ่งที่ฉันต้องได้ เพราะมันคือคำสั่งของป้าผู้เชิดหุ่น ถึงแม้มันจะน่าเบื่อมากแค่ไหน แต่ฉันก็ต้องอดทนกับมัน อดทน...เพื่อแลกกับสิ่งที่เรียกว่าอิสรภาพ ฉันเข้ามาอยู่ในวงการวิชาการจนใครๆ ก็ขนานนามฉันว่าเป็นรุ่นที่สองของพ่อแม่ฉัน...