ในสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดำเนินจากสถานที่บรรลุธรรม เพื่อโปรดปัจจวัคคีย์ที่
ป่าอิสิปตนมฤคทายาวัน ระหว่างทางอุปกาชีวกผู้เป็นนักบวชนอกพระพุทธศาสนา
เห็นพระพุทธองค์นั่งอยู่ใต้ต้นไม้แห่งหนึ่ง มีผิวพรรณผ่องใส่เลยเข้ามาถามว่า
"ท่านบวชกับใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน ท่านชอบหลักธรรมข้อไหน ? "
พระพุทธองค์ตอบด้วยความองอาจ ประดุจพญาราชสีห์บันลือสีหนาทว่า
"เราเป็นผู้ครอบงำธรรมทั้งปวง รู้ธรรมทั้งปวง...
พ้นแล้วเพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา
เราตรัสรู้ยิ่งเองแล้ว จะพึง
อ้างใครเล่า อาจารย์ของเราไม่มี คนเช่นเรา
ก็ไม่มี บุคคลเสมอเหมือนเราก็ไม่มี ในโลกกับ
ทั้งเทวโลก เพราะเราเป็นพระอรหันต์ในโลก
เราเป็นศาสดา หาศาสดาอื่นยิ่งกว่ามิได้ เราผู้เดียว
เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ "
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว อุปกาชีวกทูลว่า เป็นให้พอเถิด ท่านควรเป็นผู้ชนะหาที่สุดมิได้ ดังนี้แล้วสั่นศีรษะ จากนั้นก็เดินหลีกไป
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
คนไม่มีบุญแม้เจอพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่ยากฟังธรรม
ศาสนาหรือความเชื่อต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้ ลองพิจารณาดูแล้วไม่เป็นเหตุเป็นผลเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ก็ยังมีคนเคารพนับถือกันอย่างมากมาย
นักบวชในศาสนานั้น ๆ บางทีก็เจอคำสอนที่ดีกว่าคำสอนเดินของตน
แต่กลับไม่ยอมรับหรือเปลี่ยนความเชื่อ
เพราะความถือตัว และสำคัญว่าคำสอนของเราก็แน่ เช่น ชฏิล ๓ พี่น้อง
ทั้งสามท่านนี้ก่อนที่จะมาเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโคตรถือตัวเลยทีเดียว
แต่เนื่ืองจากได้ทำบุญเก่ามาดี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงหาวิธีปราบความถือตัว
ด้วยการแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ถึง ๓,๕๐๐ อย่าง แต่แม้จะแสดงมากขนาดนี้
ชฎิลอุรุเวลกัสสปผู้เป็นพี่ใหญ่ก็ยังบอกว่า
"พระพุทธเจ้ามีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราอย่างเรา"
พระพุทธองค์เลยพูดแทงใจดำให้ได้คิดว่า
"อุรุเวลกัสปะท่านไม่ได้เป็นพระอรหันต์
แม้วิธีการปฏิบัติเพื่อให้เป็นพระอรหันต์ท่านก็ไม่รู้ ฯลฯ "
เมื่อพูดดังนี้ทำให้ได้คิด แล้วก็คิดได้ทิ้งความอวดดื้อถือดี
ก้มกราบขอบวชแทบเท้าของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในที่สุด
สรุปแล้ว สายบุญเก่าที่เคยทำมากับพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องสำคัญ
ปัจจุบันแม้เกิดมาไม่ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่ก็ได้พบพระพุทธศาสนาทำให้เราได้ฟังธรรมบำเพ็ญบุญ
เหตุการณ์ก่อนวันอาสาฬหบูชา
ป่าอิสิปตนมฤคทายาวัน ระหว่างทางอุปกาชีวกผู้เป็นนักบวชนอกพระพุทธศาสนา
เห็นพระพุทธองค์นั่งอยู่ใต้ต้นไม้แห่งหนึ่ง มีผิวพรรณผ่องใส่เลยเข้ามาถามว่า
"ท่านบวชกับใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน ท่านชอบหลักธรรมข้อไหน ? "
พระพุทธองค์ตอบด้วยความองอาจ ประดุจพญาราชสีห์บันลือสีหนาทว่า
"เราเป็นผู้ครอบงำธรรมทั้งปวง รู้ธรรมทั้งปวง...
พ้นแล้วเพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา
เราตรัสรู้ยิ่งเองแล้ว จะพึง
อ้างใครเล่า อาจารย์ของเราไม่มี คนเช่นเรา
ก็ไม่มี บุคคลเสมอเหมือนเราก็ไม่มี ในโลกกับ
ทั้งเทวโลก เพราะเราเป็นพระอรหันต์ในโลก
เราเป็นศาสดา หาศาสดาอื่นยิ่งกว่ามิได้ เราผู้เดียว
เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ "
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว อุปกาชีวกทูลว่า เป็นให้พอเถิด ท่านควรเป็นผู้ชนะหาที่สุดมิได้ ดังนี้แล้วสั่นศีรษะ จากนั้นก็เดินหลีกไป
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
คนไม่มีบุญแม้เจอพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่ยากฟังธรรม
ศาสนาหรือความเชื่อต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้ ลองพิจารณาดูแล้วไม่เป็นเหตุเป็นผลเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ก็ยังมีคนเคารพนับถือกันอย่างมากมาย
นักบวชในศาสนานั้น ๆ บางทีก็เจอคำสอนที่ดีกว่าคำสอนเดินของตน
แต่กลับไม่ยอมรับหรือเปลี่ยนความเชื่อ
เพราะความถือตัว และสำคัญว่าคำสอนของเราก็แน่ เช่น ชฏิล ๓ พี่น้อง
ทั้งสามท่านนี้ก่อนที่จะมาเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโคตรถือตัวเลยทีเดียว
แต่เนื่ืองจากได้ทำบุญเก่ามาดี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงหาวิธีปราบความถือตัว
ด้วยการแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ถึง ๓,๕๐๐ อย่าง แต่แม้จะแสดงมากขนาดนี้
ชฎิลอุรุเวลกัสสปผู้เป็นพี่ใหญ่ก็ยังบอกว่า
"พระพุทธเจ้ามีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราอย่างเรา"
พระพุทธองค์เลยพูดแทงใจดำให้ได้คิดว่า
"อุรุเวลกัสปะท่านไม่ได้เป็นพระอรหันต์
แม้วิธีการปฏิบัติเพื่อให้เป็นพระอรหันต์ท่านก็ไม่รู้ ฯลฯ "
เมื่อพูดดังนี้ทำให้ได้คิด แล้วก็คิดได้ทิ้งความอวดดื้อถือดี
ก้มกราบขอบวชแทบเท้าของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในที่สุด
สรุปแล้ว สายบุญเก่าที่เคยทำมากับพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องสำคัญ
ปัจจุบันแม้เกิดมาไม่ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่ก็ได้พบพระพุทธศาสนาทำให้เราได้ฟังธรรมบำเพ็ญบุญ