Eddie The Eagle (2016)
"
Knowing that doing your best is the only option even it results in failure"
(จงตระหนักว่าการทำให้ดีที่สุด คือทางเลือกเดียวเเม้ผลลัพธ์คือความล้มเหลว)
ประโยคเด็ดจากในเรื่องที่ผมมองว่าเป็นแก่นเเท้ของหนังเรื่องนี้
นี่คือหนังที่สร้างจากเรื่องจริงนำเสนอชีวิตของ Michael Edward หรือ Eddie (Taron Egerton) นักสกีกระโดดชาวอังกฤษที่ใฝ่ฝันมาตั้งเเต่เด็กว่าต้องเป็นนักกีฬาโอลิมปิคให้ได้ ทว่าผู้คนรอบตัวต่างดูถูกเขามาโดยตลอดเเต่เขาก็ไม่เคยหยุดฝัน จนได้พบกับ Bronson Peary (Hugh Jackman) อดีตนักสกีโอลิมปิคที่ทำตัวเสเพล จนถูกไล่ออกจากทีม มาเป็นโค้ชเพื่อพา Eddie ไปสู่ฝันที่ตามที่เขาตั้งใจไว้
สิ่งที่น่าสนใจของหนังเรื่องนี้คือแนวเรื่องที่เราคุ้นเคยในหนังเรื่องอื่นๆ(พวกloserที่พยายามจะทำอะไรสักอย่าง)เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงๆกับมนุษย์คนหนึ่ง ทำให้ Eddie The Eagle ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างทรงพลังและน่าเชื่อถือถึงเเม้ว่าเราสามารถเดาตอนจบได้เเต่ในระหว่างนั้นเราจะได้เห็นความพยายามของตัวละครว่า กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง อะไรคือุปสรรค กำลังใจมาจากไหน เเละหนังมันตอบเหตุผลของในการกระทำของตัวละครเองได้ดีเยี่ยม
ตัวเอกอย่าง Eddie ที่รับบทโดยTaron Egerton จากมาดคุณชายในKingsman(2014) ต้องกลายมาเป็นเด็กหนุ่มซื่อบื้อๆในเรื่องนี้เขาก็ทำออกมาได้สมบทบาทดูเหมือนเป็น Eddie ตัวจริงไปเลย
สำหรับตัวละคร Peary เป็นตัวละครที่มีคาเเร็คเตอร์น่าสนใจสมกับ Hugh Jackman มาก ขี้เหล้า พูดจาโผ่งผ่าง ทำตัวเสเพล เเละยอมแพ้ในกับตัวเองทั้งๆที่ครั้งหนึ่งเคยได้อยู่ในจุดที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จ เเต่เมื่อได้เจอกับ Eddie เขาได้เห็นถึงความมุ่งมั่นไม่เคยถดถอย จึงเป็นเหมือนกระจกสะท้อนความผิดพลาดของตัวเองในอดีต
ด้วยความที่เป็นหนังเกี่ยวกับกีฬา เเน่นอนว่าไคล์เเม็กของเรื่องต้องอยู่ในตอนท้ายที่จะต้องดึงผู้ชมให้ร่วมกับชัยชนะ มุมกล้องในเรื่องจึงเป็นตัวหลักที่จะดึงอารมณ์คนดูให้ระทึกใจและลุ้นตามในเเต่ละครั้งที่ออกตัวกระโดด ซึ่งทำออกมาได้เยี่ยมมาก
อีกอย่างที่ชอบมากคือเพลงและดนตรีประกอบ ในเรื่องเป็นเหตุการณ์ช่วง80sตอนปลาย ดังนั้นซาวน์ดนตรีจึงเป็นแนว80sทำออกมาได้เข้ากับโทนเรื่องมากๆ ในตอนจบยังมีเพลง Thrill me ซึ่งTaron กับ Hugh ร่วมร้องอีกด้วย
ไม่อยากเชื่อว่าสร้างจากเรื่องจริง นี่คือหนังที่ให้เเรงบันดาลใจต่อความฝันมากๆเลยเรื่องหนึ่ง
8/10
_____________________________________________
ติดตามรีวิวหนังของเราต่อได้ที่ เพจ หนังเรื่องนี้ละครับจารย์
https://www.facebook.com/whataboutthismov/
[CR] Review - Eddie The Eagle หนังขี้เเพ้ที่ถูกถอนออกจากโรง
"Knowing that doing your best is the only option even it results in failure"
(จงตระหนักว่าการทำให้ดีที่สุด คือทางเลือกเดียวเเม้ผลลัพธ์คือความล้มเหลว)
ประโยคเด็ดจากในเรื่องที่ผมมองว่าเป็นแก่นเเท้ของหนังเรื่องนี้
นี่คือหนังที่สร้างจากเรื่องจริงนำเสนอชีวิตของ Michael Edward หรือ Eddie (Taron Egerton) นักสกีกระโดดชาวอังกฤษที่ใฝ่ฝันมาตั้งเเต่เด็กว่าต้องเป็นนักกีฬาโอลิมปิคให้ได้ ทว่าผู้คนรอบตัวต่างดูถูกเขามาโดยตลอดเเต่เขาก็ไม่เคยหยุดฝัน จนได้พบกับ Bronson Peary (Hugh Jackman) อดีตนักสกีโอลิมปิคที่ทำตัวเสเพล จนถูกไล่ออกจากทีม มาเป็นโค้ชเพื่อพา Eddie ไปสู่ฝันที่ตามที่เขาตั้งใจไว้
สิ่งที่น่าสนใจของหนังเรื่องนี้คือแนวเรื่องที่เราคุ้นเคยในหนังเรื่องอื่นๆ(พวกloserที่พยายามจะทำอะไรสักอย่าง)เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงๆกับมนุษย์คนหนึ่ง ทำให้ Eddie The Eagle ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างทรงพลังและน่าเชื่อถือถึงเเม้ว่าเราสามารถเดาตอนจบได้เเต่ในระหว่างนั้นเราจะได้เห็นความพยายามของตัวละครว่า กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง อะไรคือุปสรรค กำลังใจมาจากไหน เเละหนังมันตอบเหตุผลของในการกระทำของตัวละครเองได้ดีเยี่ยม
ตัวเอกอย่าง Eddie ที่รับบทโดยTaron Egerton จากมาดคุณชายในKingsman(2014) ต้องกลายมาเป็นเด็กหนุ่มซื่อบื้อๆในเรื่องนี้เขาก็ทำออกมาได้สมบทบาทดูเหมือนเป็น Eddie ตัวจริงไปเลย
สำหรับตัวละคร Peary เป็นตัวละครที่มีคาเเร็คเตอร์น่าสนใจสมกับ Hugh Jackman มาก ขี้เหล้า พูดจาโผ่งผ่าง ทำตัวเสเพล เเละยอมแพ้ในกับตัวเองทั้งๆที่ครั้งหนึ่งเคยได้อยู่ในจุดที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จ เเต่เมื่อได้เจอกับ Eddie เขาได้เห็นถึงความมุ่งมั่นไม่เคยถดถอย จึงเป็นเหมือนกระจกสะท้อนความผิดพลาดของตัวเองในอดีต
ด้วยความที่เป็นหนังเกี่ยวกับกีฬา เเน่นอนว่าไคล์เเม็กของเรื่องต้องอยู่ในตอนท้ายที่จะต้องดึงผู้ชมให้ร่วมกับชัยชนะ มุมกล้องในเรื่องจึงเป็นตัวหลักที่จะดึงอารมณ์คนดูให้ระทึกใจและลุ้นตามในเเต่ละครั้งที่ออกตัวกระโดด ซึ่งทำออกมาได้เยี่ยมมาก
อีกอย่างที่ชอบมากคือเพลงและดนตรีประกอบ ในเรื่องเป็นเหตุการณ์ช่วง80sตอนปลาย ดังนั้นซาวน์ดนตรีจึงเป็นแนว80sทำออกมาได้เข้ากับโทนเรื่องมากๆ ในตอนจบยังมีเพลง Thrill me ซึ่งTaron กับ Hugh ร่วมร้องอีกด้วย
ไม่อยากเชื่อว่าสร้างจากเรื่องจริง นี่คือหนังที่ให้เเรงบันดาลใจต่อความฝันมากๆเลยเรื่องหนึ่ง
8/10
_____________________________________________
ติดตามรีวิวหนังของเราต่อได้ที่ เพจ หนังเรื่องนี้ละครับจารย์
https://www.facebook.com/whataboutthismov/