Look who the cat dragged in!
สวัสดีครับ กระทู้นี้ผมได้รวบรวมเอาแกรมมาร์ภาษาอังกฤษที่หลายคนมักสับสนและใช้กันแบบผิดๆ อยู่ครับ
ใครที่มีนอกจากนี้ก็เอามาแบ่งปันกันได้เลยยะครับ คอมเมนต์ไว้เลยเดี๋ยวอันไหนดีผมจะเอามารวมไว้ในโพส
อยากให้กระทู้นี้เป็นกระทู้รวบรวม Grammar mistakes เลย
เอาละมาเริ่มกันเลย
1. Between
you and
me หรือ
you and
I? Faster than
me หรือ faster than
I? It is
me หรือ It is
I?
ผิด: He sits between you and
I.
ถูก: He sits between you and
me.
ผิด (แต่ใช้ในภาษาพูดตลอด): He runs faster than
me.
ถูก: He runs faster than
I.
*แต่อยากบอกว่าในภาษาพูดเข้าจะใช้แบบที่ผมเขียนว่า 'ผิด' มากกว่านะ 5555
Who called John?
ผิด: It is
me.
ถูก: It is
I.
ถ้าสรรพนาม (I, me) เป็นกรรมของ preposition เราต้องใช้สรรพนามในรูปกรรมเสมอ
เช่นในประโยค He sits between you and me.
You and me เป็นกรรมของ between
แต่ในประโยค He runs faster than I.
I ไม่ใช่กรรมเพราะ than เป็น conjunction (คำเชื่อม) ไม่ใช่ preposition
หน้าที่ของ conjunction คือเชื่อมประโยค (S + v + o + CONJUCNTION + s + v + o)
จริงๆ แล้วประโยคนี้ต้องเขียนว่า He runs faster than I
run.
แต่พอเขียนจริงๆ ก็เขียนแค่ He runs faster than I.
It is I ก็เช่นกัน ประโยคเต็มก็คือ It is I
who called John
เพราะว่าคำถามนั้นถามหาประธาน (
WHO called John? = I called John. ไม่ใช่ ME called John.)
แต่ผมรู้ครับว่ามันฟังดูแล้วรู้สึกแปลกๆ ฝรั่งหลายคนก็คิดอย่างนั้นครับ ดังนั้นเวลาเราตอบก็อาจจะใช้ It is me ก็ได้ครับ
เอาไว้เวลาคุณเขียนบทความ หรือกำลังให้การในชั้นศาล ค่อยพูดให้มันถูกหลักเป๊ะๆ ละกัน
ปล. ทุกตัวอย่างที่ยกมาไม่ได้ใช่แค่กับ I นะครับ I ในที่นี้คือตัวแทนของ Subject pronoun ทุกตัว (you, we, they, he, she, it) ส่วน Me ก็คือตัวแทนของ Object pronoun ทุกตัว (you, us, them, him, her, it)
.......................................................................................................................................
2. Who หรือ whom?
ควรใช้อันไหน:
Whom/
who did you see at the party?
หลายคนอาจสับสนว่าเราควรจะใช้ Who หรือ whom ดี
ให้จำไว้ว่า
Who = subject ส่วน
Whom = object เวลาเราจะเลือกใช้ก็ให้ดูว่าคำนามที่เรากำลังพูดถึงนั้นเป็นประธานหรือกรรม
ถ้าเราลองเปลี่ยนประโยคคำถามด้านบนมาเป็นประโยคบอกเล่าเราก็จะได้ He did see whom at the party.
ก็จะเห็นได้ว่า Whom ในที่นี้ทำหน้าที่เป็น กรรม พอเปลี่ยนเป็นประโยคคำถามจึงต้องใช้ Whom
(อย่างไรก็ตาม ฝรั่งส่วนมากไม่ได้แคร์แกรมมาร์ข้อนี้นัก หลายคนก็ใช้ Who กับทุกประโยค ผมเลยอยากแนะนำว่าไม่ต้องเครียดมากเวลาพูด ใช้ Who อย่างเดียวก็เดียว แต่เวลาเขียนบทความหรือทำข้อสอบ ก็ให้เลือกใช้อันที่ถูกต้องนะครับ)
.......................................................................................................................................
3. Lie หรือ lay
หลายคนอาจจะสับสนระหว่าง
Lie ที่แปลว่าโกหก (lie, lied, lied)
Lie ที่แปลว่านอน (lie, lay, lain)
Lay ที่แปลว่าวางลง (lay, laid, laid)
อันดับแรกให้จำว่า lie มีสองความหมายคือ Don’t lie to me (อย่าโกหกฉัน) กับ Lie down (นอนลงเถอะ)
ส่วน lay นั้นมีสองความหมายเช่นกัน Lay ที่เป็น verb ช่อง 1 (present) ที่แปลว่า วางลง หรือถ้าใช่กับไก่หรือนกจะแปลว่าออกไข่
Lay it down. Birds lay eggs.
ส่วนอีกอันก็คือ lay ที่เป็น verb ช่อง 2 (past-tense) ของ lie ที่แปลว่า นอน นั่นเองครับ
ประโยคตัวอย่าง
ผิด: Don’t lay down.
ถูก: Don’t lie down.
ผิด: I laid on the bed.
ถูก: I lay on the bed.
ผิด: I have lied on the grass all morning.
ถูก: I have lain on the grass all morning.
.......................................................................................................................................
4. If I was หรือ If I were
ผิด: If I was you, I would tell him the truth.
ถูก: If I were you, I would tell him the truth
แต่
ผิด: If I were rude, I’m sorry.
ถูก: If I was rude, I’m sorry.
“If I were” ใช้กับประโยคสมมุติ เอาไว้บอกว่าเราจะทำอย่างไรถ้าเราอยู่ในสถานการณ์บางอย่าง (แต่เรื่องนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริง และส่วนมากก็ไม่มีวันเกิดขึ้นจริงด้วย)
If I were rich, I would travel around the world.
ถ้าฉันรวย จะทัวร์รอบโลกให้ดู (วจีพูดกับตัวเองขณะกำลังล้างจานอยู่หลังร้าน)
*นี่คือเหตุการณ์สมมุติ (วจีกำลังสมมุติว่าตัวเองเป็นเศรษฐี)
“If I was” ใช้กับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นไปแล้วในอดีตหรืออาจจะเกิดขึ้นตอนนี้ (เพียงแต่ผู้พูดไม่แน่ใจว่ามันได้เกิดขึ้นไม่ (แต่ไม่ใช่การสมมุติ))
If I was an asshole, I apologize.
ถ้าเราแกล้งนายแรงไปหน่อย เราต้องขอโทษด้วย (หลังจากแกล้งเพื่อนจนเพื่อนขาหัก สมชายก็โทรมาขอโทษ)
*นี่คือเหตุการณ์ที่ผู้พูดไม่แน่ใจว่าอาจเกิดขึ้นหรือไม่ (สมขาติไม่แน่ใจว่าทำตัวเป็น asshole ใส่เพื่อนหรือปล่าว )
.......................................................................................................................................
5. i.e. หรือ e.g.
ผิด: Please volunteer to bring some food for the party, i.e., fries, nuggets, and chips.
ถูก: Please volunteer to bring some food for the party. e.g., fries, nuggets, and chips.
i.e. = That is/ on other words (เอาไว้ขยายความบางอย่าง)
e.g. = For example
อธิบายง่ายๆ คือ i.e. เป็นการอธิบายเพิ่มเติม เป็นการขยายความ ในขณะที่ e.g. เป็นการยกตัวอย่าง
I like action movies. e.g., the Avengers, Star Wars, and Mad Max.
ฉันชอบหนังแอดชั่น เช่นเรื่องอเวนเจอร์ สตาร์ วอร์ และแมดแม็ก (e.g. คือยกตัวอย่าง action movies ที่ฉันชอบ)
I want to watch some exciting movies. i.e., the movies with mind-blowing plot twists.
ฉันอยากดูหนังที่มันตื่นเต้นๆ เช่นหนังที่แบบมีพลอตทวิสเจ๋งๆ (i.e. ตรงนี้คือขยายความว่า exciting movies แบบไหน)
.......................................................................................................................................
6. Verb to do หรือ verb to be
ผิด: Do you happy?
ถูก: Are you happy?
ผิด: Don’t sad.
ถูก: Don’t be sad.
เวลาจะเลือกว่าจะใช้ verb to do หรือ verb to be ในการแต่งประโยคเราต้องคำนึงเสมอว่าคำที่ต่อจากนั้นเป็น adjective หรือเปล่า ถ้าเป็น adjective เช่นคำว่า happy, sad เราต้องใช่คู่กับ verb to be
I am happy. ไม่ใช่ I happy หรือ I do happy. เพราะ happy เป็น adjective
เวลาตั้งประโยคคำถามก็เลือกใช้ในถูก ถ้าเป็น verb ก็ในใช้ verb to do
Do you know him? ไม่ใช่ Are you know him? เพราะ know เป็น verb
.......................................................................................................................................
7. V-ing หรือ V-3
ผิด: I feel exciting.
ถูก: I feel excited.
ผิด: I’m interesting in this business.
ถูก: I’m interested in this business.
คำที่คนชอบใช้สลับกันมากที่สุดก็คือ Excite (ทำให้ตื่นเต้น), interest (ทำให้สนใจ), confuse (ทำให้สับสน)
ตัวอย่างการใช้
This movie excites me. หนังเรื่องนี้ทำให้ฉันตื่นเต้น
This movie is exciting. หนังเรื่องนี้น่าตื่นเต้น
I am excited. ฉันรู้สึกตื่นเต้น (ไม่ใช่ I am exciting นะครับ ถ้า I am exciting จะแปลว่า ฉันเป็นคนน่าตื่นเต้น ซึ่งก็จะผิดความหมายไป)
Interest เหมือนกันครับ
This book interests me. หนังสือเล่มนี้ทำให้ฉันสนใจ
This book is interesting. หนังสือเล่มนี้น่าสนใจ (มันทำให้คนอื่นสนใจตลอด)
I am interested in this book. ฉันสนใจหนังสือแล้วนี้
จำไว้นะครับถ้าจะบอกว่าฉันสนใจต้องบอก I’m interested ไม่ใช่ I’m interesting.
.......................................................................................................................................
8. เปลี่ยน Verb เป็น adjective
หลายคนคงจะพอทราบว่า ในภาษาอังกฤษเราสามารถเปลี่ยน verb เป็น adjective ได้โดยการปลี่ยนเป็นช่อง 3 (past participle) หรือ –ing
แต่ความหมายที่ได้จะต่างกัน การเติม –ed (แต่ verb บางตัวก็ต้องเปลี่ยนเป็นช่อง 3 (past participle)) ให้กับ verb แล้วเอาไปขยายคำนามหมายความว่า คำนามนั้นเป็นผู้ “ถูกกระทำ”
The murdered victim (เหยื่อที่ถูกฆาตกรรม; murder แปลว่า ฆ่า; พอเติม –ed เข้าไปก็จะกลายเป็น adjective แปลว่า ซึ่งถูกฆ่า)
แต่การเติม –ing ให้กับ verb แล้วเอาไปขยายคำนามจะหมายความว่า คำนั้นเป็นผู้ “กระทำ”
The killing machine (เครื่องจักรสังหาร; kill แปลว่า ฆ่า; พอเติม –ing เข้าไปก็จะกลายเป็น adjective แปลว่า ซึ่งกำลังฆ่า ซึ่งฆ่าอยู่ อะไรประมาณนี้ คือแค่จะบอกว่าเครื่องจักรนี้เป็นเครื่องที่ฆ่าคนได้)
.......................................................................................................................................
9. They หรือ they're หรือ their หรือ there
They = พวกเขา
They came from New Zealand.
They’re = they are
They’re from New Zealand.
Their = ของพวกเขา
New Zealand is their hometown.
There = มี, นั่น, ที่นั้น
There is New Zealand but there is no Old Zealand.
9.1 It's หรือ its
It’s = it is
It is a very brave dog.
Its = ของมัน
Its job is to protect human.
9.2 You're หรือ your
You’re = you are
You are beautiful.
Your = ของเธอ
Your beauty is overwhelming.
.......................................................................................................................................
10. การใช้ comma (,)
ผมไม่ขอลงลึกเรื่องการใช้ comma นะครับ เพราะคิดว่าคงหาอ่านกันได้ในกูเกิ้ล แต่ที่ผมให้คนใช้ผิดบ่อยกันมากคือ ตำแหน่งการวางของ comma
เวลาวาง comma ให้วางไว้หลังคำสุดท้าย และเว้นวรรคหนึ่งทีก่อนจะขึ้นคำใหม่นะครับ
ถูก: Cats, dogs, and birds.
ผิด: Cats ,dogs, and birds.
ผิด: Cats,dogs,and birds.
ไม่ผิดแต่ไม่นิยม: Cats , dogs , and birds.
การใช้ semicolon (;)
Semicolon ใช้เชื่อมประโยคที่มีความหมายใกล้เคียงหรือไปในทางเดียวกัน หรือประโยคขยายความ แต่ไม่ใช่กับคำโดดๆ
เช่น Call me tomorrow; I’ll have answer for you by then.
โทรหาฉันพรุ่งนี้ละกัน ฉันคงจะมีคำตอบให้แล้วตอนนั้น (เป็นการขยายความ)
.......................................................................................................................................
มีต่อในเมนต์นะครับ
แกรมมาร์ภาษาอังกฤษที่ทำให้คุณต้องกุมขมับ (ใครมีก็เข้ามาแบ่งปันกันครับ)
สวัสดีครับ กระทู้นี้ผมได้รวบรวมเอาแกรมมาร์ภาษาอังกฤษที่หลายคนมักสับสนและใช้กันแบบผิดๆ อยู่ครับ
ใครที่มีนอกจากนี้ก็เอามาแบ่งปันกันได้เลยยะครับ คอมเมนต์ไว้เลยเดี๋ยวอันไหนดีผมจะเอามารวมไว้ในโพส
อยากให้กระทู้นี้เป็นกระทู้รวบรวม Grammar mistakes เลย
เอาละมาเริ่มกันเลย
1. Between you and me หรือ you and I? Faster than me หรือ faster than I? It is me หรือ It is I?
ผิด: He sits between you and I.
ถูก: He sits between you and me.
ผิด (แต่ใช้ในภาษาพูดตลอด): He runs faster than me.
ถูก: He runs faster than I.
*แต่อยากบอกว่าในภาษาพูดเข้าจะใช้แบบที่ผมเขียนว่า 'ผิด' มากกว่านะ 5555
Who called John?
ผิด: It is me.
ถูก: It is I.
ถ้าสรรพนาม (I, me) เป็นกรรมของ preposition เราต้องใช้สรรพนามในรูปกรรมเสมอ
เช่นในประโยค He sits between you and me. You and me เป็นกรรมของ between
แต่ในประโยค He runs faster than I. I ไม่ใช่กรรมเพราะ than เป็น conjunction (คำเชื่อม) ไม่ใช่ preposition
หน้าที่ของ conjunction คือเชื่อมประโยค (S + v + o + CONJUCNTION + s + v + o)
จริงๆ แล้วประโยคนี้ต้องเขียนว่า He runs faster than I run.
แต่พอเขียนจริงๆ ก็เขียนแค่ He runs faster than I.
It is I ก็เช่นกัน ประโยคเต็มก็คือ It is I who called John
เพราะว่าคำถามนั้นถามหาประธาน (WHO called John? = I called John. ไม่ใช่ ME called John.)
แต่ผมรู้ครับว่ามันฟังดูแล้วรู้สึกแปลกๆ ฝรั่งหลายคนก็คิดอย่างนั้นครับ ดังนั้นเวลาเราตอบก็อาจจะใช้ It is me ก็ได้ครับ
เอาไว้เวลาคุณเขียนบทความ หรือกำลังให้การในชั้นศาล ค่อยพูดให้มันถูกหลักเป๊ะๆ ละกัน
ปล. ทุกตัวอย่างที่ยกมาไม่ได้ใช่แค่กับ I นะครับ I ในที่นี้คือตัวแทนของ Subject pronoun ทุกตัว (you, we, they, he, she, it) ส่วน Me ก็คือตัวแทนของ Object pronoun ทุกตัว (you, us, them, him, her, it)
.......................................................................................................................................
2. Who หรือ whom?
ควรใช้อันไหน: Whom/who did you see at the party?
หลายคนอาจสับสนว่าเราควรจะใช้ Who หรือ whom ดี
ให้จำไว้ว่า Who = subject ส่วน Whom = object เวลาเราจะเลือกใช้ก็ให้ดูว่าคำนามที่เรากำลังพูดถึงนั้นเป็นประธานหรือกรรม
ถ้าเราลองเปลี่ยนประโยคคำถามด้านบนมาเป็นประโยคบอกเล่าเราก็จะได้ He did see whom at the party.
ก็จะเห็นได้ว่า Whom ในที่นี้ทำหน้าที่เป็น กรรม พอเปลี่ยนเป็นประโยคคำถามจึงต้องใช้ Whom
(อย่างไรก็ตาม ฝรั่งส่วนมากไม่ได้แคร์แกรมมาร์ข้อนี้นัก หลายคนก็ใช้ Who กับทุกประโยค ผมเลยอยากแนะนำว่าไม่ต้องเครียดมากเวลาพูด ใช้ Who อย่างเดียวก็เดียว แต่เวลาเขียนบทความหรือทำข้อสอบ ก็ให้เลือกใช้อันที่ถูกต้องนะครับ)
.......................................................................................................................................
3. Lie หรือ lay
หลายคนอาจจะสับสนระหว่าง
Lie ที่แปลว่าโกหก (lie, lied, lied)
Lie ที่แปลว่านอน (lie, lay, lain)
Lay ที่แปลว่าวางลง (lay, laid, laid)
อันดับแรกให้จำว่า lie มีสองความหมายคือ Don’t lie to me (อย่าโกหกฉัน) กับ Lie down (นอนลงเถอะ)
ส่วน lay นั้นมีสองความหมายเช่นกัน Lay ที่เป็น verb ช่อง 1 (present) ที่แปลว่า วางลง หรือถ้าใช่กับไก่หรือนกจะแปลว่าออกไข่
Lay it down. Birds lay eggs.
ส่วนอีกอันก็คือ lay ที่เป็น verb ช่อง 2 (past-tense) ของ lie ที่แปลว่า นอน นั่นเองครับ
ประโยคตัวอย่าง
ผิด: Don’t lay down.
ถูก: Don’t lie down.
ผิด: I laid on the bed.
ถูก: I lay on the bed.
ผิด: I have lied on the grass all morning.
ถูก: I have lain on the grass all morning.
.......................................................................................................................................
4. If I was หรือ If I were
ผิด: If I was you, I would tell him the truth.
ถูก: If I were you, I would tell him the truth
แต่
ผิด: If I were rude, I’m sorry.
ถูก: If I was rude, I’m sorry.
“If I were” ใช้กับประโยคสมมุติ เอาไว้บอกว่าเราจะทำอย่างไรถ้าเราอยู่ในสถานการณ์บางอย่าง (แต่เรื่องนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริง และส่วนมากก็ไม่มีวันเกิดขึ้นจริงด้วย)
If I were rich, I would travel around the world.
ถ้าฉันรวย จะทัวร์รอบโลกให้ดู (วจีพูดกับตัวเองขณะกำลังล้างจานอยู่หลังร้าน)
*นี่คือเหตุการณ์สมมุติ (วจีกำลังสมมุติว่าตัวเองเป็นเศรษฐี)
“If I was” ใช้กับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นไปแล้วในอดีตหรืออาจจะเกิดขึ้นตอนนี้ (เพียงแต่ผู้พูดไม่แน่ใจว่ามันได้เกิดขึ้นไม่ (แต่ไม่ใช่การสมมุติ))
If I was an asshole, I apologize.
ถ้าเราแกล้งนายแรงไปหน่อย เราต้องขอโทษด้วย (หลังจากแกล้งเพื่อนจนเพื่อนขาหัก สมชายก็โทรมาขอโทษ)
*นี่คือเหตุการณ์ที่ผู้พูดไม่แน่ใจว่าอาจเกิดขึ้นหรือไม่ (สมขาติไม่แน่ใจว่าทำตัวเป็น asshole ใส่เพื่อนหรือปล่าว )
.......................................................................................................................................
5. i.e. หรือ e.g.
ผิด: Please volunteer to bring some food for the party, i.e., fries, nuggets, and chips.
ถูก: Please volunteer to bring some food for the party. e.g., fries, nuggets, and chips.
i.e. = That is/ on other words (เอาไว้ขยายความบางอย่าง)
e.g. = For example
อธิบายง่ายๆ คือ i.e. เป็นการอธิบายเพิ่มเติม เป็นการขยายความ ในขณะที่ e.g. เป็นการยกตัวอย่าง
I like action movies. e.g., the Avengers, Star Wars, and Mad Max.
ฉันชอบหนังแอดชั่น เช่นเรื่องอเวนเจอร์ สตาร์ วอร์ และแมดแม็ก (e.g. คือยกตัวอย่าง action movies ที่ฉันชอบ)
I want to watch some exciting movies. i.e., the movies with mind-blowing plot twists.
ฉันอยากดูหนังที่มันตื่นเต้นๆ เช่นหนังที่แบบมีพลอตทวิสเจ๋งๆ (i.e. ตรงนี้คือขยายความว่า exciting movies แบบไหน)
.......................................................................................................................................
6. Verb to do หรือ verb to be
ผิด: Do you happy?
ถูก: Are you happy?
ผิด: Don’t sad.
ถูก: Don’t be sad.
เวลาจะเลือกว่าจะใช้ verb to do หรือ verb to be ในการแต่งประโยคเราต้องคำนึงเสมอว่าคำที่ต่อจากนั้นเป็น adjective หรือเปล่า ถ้าเป็น adjective เช่นคำว่า happy, sad เราต้องใช่คู่กับ verb to be
I am happy. ไม่ใช่ I happy หรือ I do happy. เพราะ happy เป็น adjective
เวลาตั้งประโยคคำถามก็เลือกใช้ในถูก ถ้าเป็น verb ก็ในใช้ verb to do
Do you know him? ไม่ใช่ Are you know him? เพราะ know เป็น verb
.......................................................................................................................................
7. V-ing หรือ V-3
ผิด: I feel exciting.
ถูก: I feel excited.
ผิด: I’m interesting in this business.
ถูก: I’m interested in this business.
คำที่คนชอบใช้สลับกันมากที่สุดก็คือ Excite (ทำให้ตื่นเต้น), interest (ทำให้สนใจ), confuse (ทำให้สับสน)
ตัวอย่างการใช้
This movie excites me. หนังเรื่องนี้ทำให้ฉันตื่นเต้น
This movie is exciting. หนังเรื่องนี้น่าตื่นเต้น
I am excited. ฉันรู้สึกตื่นเต้น (ไม่ใช่ I am exciting นะครับ ถ้า I am exciting จะแปลว่า ฉันเป็นคนน่าตื่นเต้น ซึ่งก็จะผิดความหมายไป)
Interest เหมือนกันครับ
This book interests me. หนังสือเล่มนี้ทำให้ฉันสนใจ
This book is interesting. หนังสือเล่มนี้น่าสนใจ (มันทำให้คนอื่นสนใจตลอด)
I am interested in this book. ฉันสนใจหนังสือแล้วนี้
จำไว้นะครับถ้าจะบอกว่าฉันสนใจต้องบอก I’m interested ไม่ใช่ I’m interesting.
.......................................................................................................................................
8. เปลี่ยน Verb เป็น adjective
หลายคนคงจะพอทราบว่า ในภาษาอังกฤษเราสามารถเปลี่ยน verb เป็น adjective ได้โดยการปลี่ยนเป็นช่อง 3 (past participle) หรือ –ing
แต่ความหมายที่ได้จะต่างกัน การเติม –ed (แต่ verb บางตัวก็ต้องเปลี่ยนเป็นช่อง 3 (past participle)) ให้กับ verb แล้วเอาไปขยายคำนามหมายความว่า คำนามนั้นเป็นผู้ “ถูกกระทำ”
The murdered victim (เหยื่อที่ถูกฆาตกรรม; murder แปลว่า ฆ่า; พอเติม –ed เข้าไปก็จะกลายเป็น adjective แปลว่า ซึ่งถูกฆ่า)
แต่การเติม –ing ให้กับ verb แล้วเอาไปขยายคำนามจะหมายความว่า คำนั้นเป็นผู้ “กระทำ”
The killing machine (เครื่องจักรสังหาร; kill แปลว่า ฆ่า; พอเติม –ing เข้าไปก็จะกลายเป็น adjective แปลว่า ซึ่งกำลังฆ่า ซึ่งฆ่าอยู่ อะไรประมาณนี้ คือแค่จะบอกว่าเครื่องจักรนี้เป็นเครื่องที่ฆ่าคนได้)
.......................................................................................................................................
9. They หรือ they're หรือ their หรือ there
They = พวกเขา
They came from New Zealand.
They’re = they are
They’re from New Zealand.
Their = ของพวกเขา
New Zealand is their hometown.
There = มี, นั่น, ที่นั้น
There is New Zealand but there is no Old Zealand.
9.1 It's หรือ its
It’s = it is
It is a very brave dog.
Its = ของมัน
Its job is to protect human.
9.2 You're หรือ your
You’re = you are
You are beautiful.
Your = ของเธอ
Your beauty is overwhelming.
.......................................................................................................................................
10. การใช้ comma (,)
ผมไม่ขอลงลึกเรื่องการใช้ comma นะครับ เพราะคิดว่าคงหาอ่านกันได้ในกูเกิ้ล แต่ที่ผมให้คนใช้ผิดบ่อยกันมากคือ ตำแหน่งการวางของ comma
เวลาวาง comma ให้วางไว้หลังคำสุดท้าย และเว้นวรรคหนึ่งทีก่อนจะขึ้นคำใหม่นะครับ
ถูก: Cats, dogs, and birds.
ผิด: Cats ,dogs, and birds.
ผิด: Cats,dogs,and birds.
ไม่ผิดแต่ไม่นิยม: Cats , dogs , and birds.
การใช้ semicolon (;)
Semicolon ใช้เชื่อมประโยคที่มีความหมายใกล้เคียงหรือไปในทางเดียวกัน หรือประโยคขยายความ แต่ไม่ใช่กับคำโดดๆ
เช่น Call me tomorrow; I’ll have answer for you by then.
โทรหาฉันพรุ่งนี้ละกัน ฉันคงจะมีคำตอบให้แล้วตอนนั้น (เป็นการขยายความ)
.......................................................................................................................................
มีต่อในเมนต์นะครับ