The Purge: Election Year (2016)
นับตั้งเเต่ The Purge(2013) ได้นำเสนอให้รู้จักการล้างบาปซึ่งเป็นประเด็นที่แปลกใหม่และไม่มีใครเคยทำมาก่อน ขยายต่อให้ใหญ่ขึ้นด้วย The Purge: Anarchy(2014) ให้เราเห็นจุดเริ่มต้นในประเด็นเรื่องของกลุ่มต่อต้าน จนถึง The Purge: Election Year ก็เป็นเหมือนการสานต่ออุดมการณ์ของกลุ่มต่อต้านให้มีความรุนเเรงมากขึ้น
2ปีต่อมาจากภาคที่เเล้ว Leo Barnes(Frank Grillo) ได้รับหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดประจำตัววุฒิสมาชิก Charlie Roan(Elizabeth Mitchell)ที่ ลงเลือกตั้งเพื่อล้มเลิกการล้างบาปจากพรรค The New Founding Fathers of America (NFFA) รัฐมนตรีจึงทำให้การล้างบาปในปีนี้สามารถทำกับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงได้เพื่อกำจัดวุฒิสมาชิกออกไป
หลังจากที่ The Purge: Anarchy ได้เปิดประเด็นเรื่องของกลุ่มต่อต้านโดยให้แกนนำเป็นคนผิวดำ(เรื่องผิวสีในอเมริกาเป็นประเด็นที่รุนเเรง เนื่องคนดำเคยเป็นทาสมาก่อนจึงเปรียบเสมือนชนชั้นล่าง)เเละเสนอเรื่องทุนนิยมที่คนรวยใช้การล้างบาปเพื่อกำจัดคนจนและทำให้ตัวเองปลอดภัยจากการล้างบาป ในภาคนี้จึงขยายให้ใหญ่ขึ้นโดยเริ่มด้วยการชี้ให้เห็นถึงผลกระทบจากการล้างบาปเเสดงถึงสังคมป่วยๆในของประเทศนี้ซึ่งเป็นผลมาจากการล้างบาปที่มีมานานโดยรัฐบาลเปรียบตัวเองดุจพระบิดาองค์ใหม่(ในความหมายของ New Foundings Fathers) เเละคนจน/คนที่หาเช้ากินค่ำเป็นคนที่มีบาปและเป็นตัวถ่วงเศรษฐกิจของประเทศ จึงอ้างว่าการล้างบาปเป็นการชำระล้างให้ประเทศนี้บริสุทธิ์ นอกจากนี้การล้างบาปยังทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นจากการท่องเที่ยวเชิงฆาตรกรรม(Murder Tourism)อีกด้วย และยังเสนอการเอารัดเอาเปรียบของบริษัทประกันที่รีดเงินโดยอาศัยวันล้างบาปแบบนี้ซึ่งเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังจากที่มีการล้างบาปเกิดขึ้นอีกด้วย
หนังยังแฝงประเด็นมากมายเริ่มจาก การต่อต้านการล้างบาปที่นำโดยวุฒิสมาชิก Charlie ซึ่งเป็นสตรี ทำให้ The Purge: Election Year นำเสนอประเด็นเรื่อง Woman's rights หรือ Feminist ออกมาได้เสียดสีกับสังคมอเมริกาจริงๆ (NFFAใช้คำหยาบคายกับวุฒิสมาชิกCharlie)เเละยังมีประเด็นเรื่องstereotye ของเชื้อชาติเข้ามาเกี่ยวข้องโดยใช้ตัวละคร Marcos (Joseph Julian Soria) ลูกจ้างร้านของชำชาวเม็กซิโกที่เพิ่งโอนสัญชาติเป็นอเมริกาได้2ปีให้มีแนวคิดต่อการล้มล้างวันล้างบาปเเละสนับสนุนวุฒิสมาชิก ซึ่งชาวเม็กซิโกจะถูกมองในเเง่ลบจากเรื่องยาเสพติดและอาชญากรรมต่างๆเเสดงถึงเศรษฐกิจที่ย่ำเเย่ และในเรื่อง Marcos มาจากเมือง Juarez ซึ่งเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยเเก็งค์ค้ายาเสพติด โดยในเรื่องMarcos บอกว่าวันในJuarez ก็เหมือนวันล้างบาปทุกวัน หนังจึงสื่อถึงการมองคนที่การกระทำไม่ใช่ภายนอกเเละให้Joe (Mykelti Williamson)สื่อถึงการกลับตัวกลับใจและทำสิ่งที่ถูกต้อง แม้ว่าเขาจะเคยมีอดีตเเต่เขาก็กลับตัวและดูเเล Laney (Betty Gabriel) และ Marcos ให้เป็นคนดีได้ สุดท้ายคือประเด็นการท่องเที่ยวเชิงฆาตรกรรม กลุ่มชาวต่างชาติยกย่องการล้างบาปในอเมริกาแต่สุดท้ายก็ถูกฆ่าอย่างง่ายดาย เปรียบกับประเทศที่ถูกวัฒนธรรมต่างชาติ(อเมริกา)เข้าครอบงำและทำลายความเป็นตัวเองได้อย่างรวดเร็ว
โทนเรื่องในภาคนี้จะเป็นเเนวการคุ้มกันมากกว่าการเอาตัวรอดอย่างภาคที่เเล้ว เนื่องจากตัวละครต่างๆเคยผ่านวันล้างบาปมาเเล้วหนังจึงเน้นไปในเรื่องการป้องกัน จึงทำให้การเดินเผ่นผ่านในถนนดูไม่กดดันและระเเวงเท่าภาคที่เเล้ว เเต่ถึงอย่างนั้นก็มีฉากที่ทำให้สะดุ้งอยู่บ้าง มุมกล้องภาคนี้ทำได้ดีขึ้นเพิ่มความมันส์ สิ่งที่ไม่ชอบในหนังคือตัวละครบางตัวที่ผูกเรื่องมาซะดิบดีตายง่ายไปแถมก่อนตายยังสร้างความน่ารำคาญมากๆๆอีกด้วยเเต่ก็สะใจอยู่ไม่น้อย
ปิดฉากไตรภาคได้อย่างสมบูรณ์และแฝงไปด้วยประเด็นทางสังคมมากมาย ใครที่ชอบแนวเสียดสีสังคมก็แนะนำเลยครับ
7.5/10
______________________________________
ติดตามรีวิวหนังของเราต่อได้ที่ เพจ หนังเรื่องนี้ละครับจารย์
https://www.facebook.com/whataboutthismov/
[CR] The Purge: Election Year หนังที่แฝงประเด็นทางสังคมมากมาย
นับตั้งเเต่ The Purge(2013) ได้นำเสนอให้รู้จักการล้างบาปซึ่งเป็นประเด็นที่แปลกใหม่และไม่มีใครเคยทำมาก่อน ขยายต่อให้ใหญ่ขึ้นด้วย The Purge: Anarchy(2014) ให้เราเห็นจุดเริ่มต้นในประเด็นเรื่องของกลุ่มต่อต้าน จนถึง The Purge: Election Year ก็เป็นเหมือนการสานต่ออุดมการณ์ของกลุ่มต่อต้านให้มีความรุนเเรงมากขึ้น
2ปีต่อมาจากภาคที่เเล้ว Leo Barnes(Frank Grillo) ได้รับหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดประจำตัววุฒิสมาชิก Charlie Roan(Elizabeth Mitchell)ที่ ลงเลือกตั้งเพื่อล้มเลิกการล้างบาปจากพรรค The New Founding Fathers of America (NFFA) รัฐมนตรีจึงทำให้การล้างบาปในปีนี้สามารถทำกับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงได้เพื่อกำจัดวุฒิสมาชิกออกไป
หลังจากที่ The Purge: Anarchy ได้เปิดประเด็นเรื่องของกลุ่มต่อต้านโดยให้แกนนำเป็นคนผิวดำ(เรื่องผิวสีในอเมริกาเป็นประเด็นที่รุนเเรง เนื่องคนดำเคยเป็นทาสมาก่อนจึงเปรียบเสมือนชนชั้นล่าง)เเละเสนอเรื่องทุนนิยมที่คนรวยใช้การล้างบาปเพื่อกำจัดคนจนและทำให้ตัวเองปลอดภัยจากการล้างบาป ในภาคนี้จึงขยายให้ใหญ่ขึ้นโดยเริ่มด้วยการชี้ให้เห็นถึงผลกระทบจากการล้างบาปเเสดงถึงสังคมป่วยๆในของประเทศนี้ซึ่งเป็นผลมาจากการล้างบาปที่มีมานานโดยรัฐบาลเปรียบตัวเองดุจพระบิดาองค์ใหม่(ในความหมายของ New Foundings Fathers) เเละคนจน/คนที่หาเช้ากินค่ำเป็นคนที่มีบาปและเป็นตัวถ่วงเศรษฐกิจของประเทศ จึงอ้างว่าการล้างบาปเป็นการชำระล้างให้ประเทศนี้บริสุทธิ์ นอกจากนี้การล้างบาปยังทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นจากการท่องเที่ยวเชิงฆาตรกรรม(Murder Tourism)อีกด้วย และยังเสนอการเอารัดเอาเปรียบของบริษัทประกันที่รีดเงินโดยอาศัยวันล้างบาปแบบนี้ซึ่งเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังจากที่มีการล้างบาปเกิดขึ้นอีกด้วย
หนังยังแฝงประเด็นมากมายเริ่มจาก การต่อต้านการล้างบาปที่นำโดยวุฒิสมาชิก Charlie ซึ่งเป็นสตรี ทำให้ The Purge: Election Year นำเสนอประเด็นเรื่อง Woman's rights หรือ Feminist ออกมาได้เสียดสีกับสังคมอเมริกาจริงๆ (NFFAใช้คำหยาบคายกับวุฒิสมาชิกCharlie)เเละยังมีประเด็นเรื่องstereotye ของเชื้อชาติเข้ามาเกี่ยวข้องโดยใช้ตัวละคร Marcos (Joseph Julian Soria) ลูกจ้างร้านของชำชาวเม็กซิโกที่เพิ่งโอนสัญชาติเป็นอเมริกาได้2ปีให้มีแนวคิดต่อการล้มล้างวันล้างบาปเเละสนับสนุนวุฒิสมาชิก ซึ่งชาวเม็กซิโกจะถูกมองในเเง่ลบจากเรื่องยาเสพติดและอาชญากรรมต่างๆเเสดงถึงเศรษฐกิจที่ย่ำเเย่ และในเรื่อง Marcos มาจากเมือง Juarez ซึ่งเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยเเก็งค์ค้ายาเสพติด โดยในเรื่องMarcos บอกว่าวันในJuarez ก็เหมือนวันล้างบาปทุกวัน หนังจึงสื่อถึงการมองคนที่การกระทำไม่ใช่ภายนอกเเละให้Joe (Mykelti Williamson)สื่อถึงการกลับตัวกลับใจและทำสิ่งที่ถูกต้อง แม้ว่าเขาจะเคยมีอดีตเเต่เขาก็กลับตัวและดูเเล Laney (Betty Gabriel) และ Marcos ให้เป็นคนดีได้ สุดท้ายคือประเด็นการท่องเที่ยวเชิงฆาตรกรรม กลุ่มชาวต่างชาติยกย่องการล้างบาปในอเมริกาแต่สุดท้ายก็ถูกฆ่าอย่างง่ายดาย เปรียบกับประเทศที่ถูกวัฒนธรรมต่างชาติ(อเมริกา)เข้าครอบงำและทำลายความเป็นตัวเองได้อย่างรวดเร็ว
โทนเรื่องในภาคนี้จะเป็นเเนวการคุ้มกันมากกว่าการเอาตัวรอดอย่างภาคที่เเล้ว เนื่องจากตัวละครต่างๆเคยผ่านวันล้างบาปมาเเล้วหนังจึงเน้นไปในเรื่องการป้องกัน จึงทำให้การเดินเผ่นผ่านในถนนดูไม่กดดันและระเเวงเท่าภาคที่เเล้ว เเต่ถึงอย่างนั้นก็มีฉากที่ทำให้สะดุ้งอยู่บ้าง มุมกล้องภาคนี้ทำได้ดีขึ้นเพิ่มความมันส์ สิ่งที่ไม่ชอบในหนังคือตัวละครบางตัวที่ผูกเรื่องมาซะดิบดีตายง่ายไปแถมก่อนตายยังสร้างความน่ารำคาญมากๆๆอีกด้วยเเต่ก็สะใจอยู่ไม่น้อย
ปิดฉากไตรภาคได้อย่างสมบูรณ์และแฝงไปด้วยประเด็นทางสังคมมากมาย ใครที่ชอบแนวเสียดสีสังคมก็แนะนำเลยครับ
7.5/10
______________________________________
ติดตามรีวิวหนังของเราต่อได้ที่ เพจ หนังเรื่องนี้ละครับจารย์
https://www.facebook.com/whataboutthismov/