Padova / Basilica di San Antonio and Prato della valle
ปาโดว่านี่เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดทางตอนเหนือของอิตาลีเลยค่ะ ไปที่นี่มา 3 ครั้งแล้วแต่ไม่ได้เขียนเรื่องที่นี่สักที พอมานึกถึงว่าปาโดว่าเป็นเมืองที่สวย สงบ น่าเที่ยว แล้วก็น่าจะเขียนแนะนำให้คนรู้จักกันบ้าง จะได้เปลี่ยนที่เที่ยวจากเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเยอะๆ มาเป็นเมืองที่เป็นเมืองจริงๆของนักเดินทางกันบ้าง
เราจะไม่อธิบายถึงประวัติศาสตร์มากนัก ใครสนใจลองหาอ่านเพิ่มเติมกัน แต่จะพูดถึงการเดินทางไปยัง ศาสนสถานอันสวยงาม สถาปัตยกรรม ภูมิสถาปัตย์ และ ศิลปะ ใครที่หลงใหลคลั่งไคล้กับสิ่งเหล่านี้ ก็ลองตามรอยมากันค่ะ
ปาโดว่า Padova เป็นชื่ออิตาลี่ ภาษาอังกฤษเขาเรียก ปาดัว Padua ค่ะ ไม่ค่อยถนัดปากเลยภาษาอิตาลี่ง่ายกว่าเยอะ ปาโดว่าอยู่ระหว่างบ้านอันเดรที่ Vicenza กับ Venezia เป็นเมืองจุดสำคัญเลยที่เดียวในการต่อรถไฟไปบ้านอันเดร และไปทางสายเหนือหลายเมือง ครั้งแรกที่เราเงอะงะเดินทางคนเดียวมาอิตาลี่ เราก็ไปหลงหารถไฟท้องถิ่นต่อไปบ้านอันเดรอยู่ที่นี่แหละ ปาโดว่ามีผังเมืองแจ่มแจ๋ว การเดินทางในเมืองจึงสะดวกง่ายดาย เราไม่เคยต้องใช้แผนที่เลย เพราะว่ามั่วเก่งเอ๊ยไม่ใช่ เพราะผังเมืองที่ดี ย่อมนำพาเราไปยังจัตุรัสของเมืองซึ่งเป็นส่วนสำคัญได้อย่างสบายๆ ไม่หลงแน่ค่ะ
ถ้ามาจากฟิเรนเซ่ Firenze หรือมิลาโน่ Milano ก็จะมีรถด่วนและรถไฟท้องถิ่นมาถึงนี่ได้เลย เลือกเอาที่ชอบรถแบบไหนนะคะ รถด่วนมีลูกศรสีแดง Frecciarossa กับลูกศรสีเงิน Frecciargento นั่งสบายๆปู๊ดเดียวถึงค่าตั๋วก็ตั้งแต่ 21 – 42 ยูโร แล้วแต่ช่วงเวลา
แต่รถหวานเย็นก็น่ารัก ราคาถูก และวิ่งสบายๆให้เราได้ชมทิวทัศน์ข้างทางของอิตาลี่แบบชิลๆ ก็ไม่ช้ามากนักเหมือนรถไฟบ้านเราหรอก แค่ว่าบางทีนางก็หยุดไปเฉยๆโดยไม่บอกกล่าว ต้องรอเที่ยวอื่นซะงั้น ก็ง่ายๆเลยค่ะซื้อตั๋วลงปาโดว่า Padova ถ้านั่งจาก Firenze S M N รถด่วนก็แค่ 1 ชั่วโมงครึ่งนิดๆ ถึงปาโดว่าแล้ว ผ่านสถานีสำคัญคือ โบโลนญ่า Bologna ด้วย แล้วจะมาเล่าให้ฟังถึงที่นี่อีกที
พอลงสถานี Padova ก็มีความสุขละค่ะเพราะที่นี่เป็นสถานีใหญ่ มีร้านค้ามากมาย มีซูเปอร์มาเก็ตให้ตุนสเบียงไว้เวลาเดินชมเมือง ของอร่อยในเมืองก็มีค่ะ แต่ก็ชอบซื้อของกินที่นี่ด้วย มันน่ากินไปหมด ... เสร็จแล้วก็ได้เวลาเดินกันละค่ะ อย่างที่บอกผังเมืองเยี่ยมไม่ต้องดูแผนที่ เดินง่าย ตามกันมาเลยค่ะ
ที่แรกที่เราจะไปคือที่อยู่ใกล้ที่สุด เป็นโบสถ์ที่มีงานศิลปของจ๊อตโต ( Giotto ) แล้วค่อยเดินออกไปที่ไกลๆ เพราะสถานที่แรกนั้นเป็นมิวเซียมที่มีคนดูเยอะมากบ่ายน่าจะแน่น ที่นี่มีรถรางถ้าขี้เกียจเดิน แต่ที่จริงเมืองและโบสถ์วิหารก็อยู่เป็นบริเวณใกล้เคียงกันเหมือนฟิเรนเซ่ เราก็เลยเดินไปเรื่อยๆดีกว่า เดินข้ามถนนหน้าสถานีรถไฟไปไม่นานก็เจอสวนสาธารณะที่เป็นที่ตั้งของมิวเซียม ที่มีงานศิลปของจ๊อตโต้อยู่ที่นี่
ใกล้ๆมีโบสถ์เก่าๆโบสถ์หนึ่งด้านข้างสวนสาธารณะ ต้องเดินออกจากรั้วสวนไป ซึ่งมารู้ชื่อตอนหลังว่าชื่อโบสถ์ อิเระมิตานิ “Church of the Eremitani” ที่นี่มีงานของ อันเดรีย มานเทนย่า( Andrea Mantegna) ศิลปินเวเนเที่ยนที่มีงานประดับอยู่ทั่วโลก มานเทนย่ามีงานภาพพิมพ์เอนเกรฟ หรือภาพพิมพ์โลหะที่เราชอบด้วย งานเฟรสโก้ในโบสถ์ผลงานเขาอยู่ช่วงทรานเสป (Transept) ด้านขวาในห้องโอเวทารี่ Ovetari Chapel (Italian: Cappella Ovetari) เสียดายที่งานของเขาเสียหายมาก เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สอง ภาพที่เหลือจึงเป็นแค่ภาพร่างของรีโปรดักชั่นและส่วนเล็กน้อยที่รวบรวมได้จากความเสียหาย สีสันยังสดใสงดงามแบบเฟรสโก้อยู่เลย เห็นแล้ว เศร้าใจมากๆ แต่ยังไงก็ดีเรานับว่าโชคดีแล้วที่ได้มาเห็นที่ๆผลงานของเค้าเคยอยู่โดยบังเอิญ มีคนเข้ามาดูอยู่หลายคนเหมือนกันทั้งที่ยังเช้าอยู่
รอบๆก็มีประติมากรรมและจิตรกรรมฝาผนังสมัยกอธิคที่น่าดูหลายชิ้น เราว่านี่แหละที่เค้าเรียกกันว่า กำไรของคนตื่นเช้า เกือบแปดโมงครึ่งก็เดินออกไปยังมิวเซียม ที่มีจ๊อตโต้ อาร์ต เพื่อไปดูให้แน่ใจเรื่องเวลาเข้าและไปสอบถามเรื่องตั๋ว ที่มีครั้งนี้แหละที่เราไม่ได้จองไป ไม่แน่ใจว่าเจ้าหน้าที่จะเคร่งครัดแค่ไหน นั่งรอหน้ามิวเซียมจนสังเกตเห็นเหมือนเจ้าหน้าที่เดินมาเป็นระยะๆ และมีนักท่องเที่ยวมารอเริ่มหลายคนแล้ว เราเลยตัดสินใจเดินเข้าไปถามด้านในได้คำตอบมาว่าถ้าคุณมาเช้าขนาดนี้ ไม่ต้องจองหรอกครับ รอเก้าโมงก็จ่ายเงินเข้าไปเลย ไม่มีปัญหา ......ค่ะ พอเก้าโมงพวกที่มารอด้านหน้าหกเจ็ดคนก็ได้เข้าไปเป็นรอบแรก เราเป็นหนึ่งในนั้น ที่นี่เค้าจะเปิดให้เข้าเป็นรอบๆเนื่องจากโบสถ์เล็กและมีห้องที่ทุกคนต้องเข้าไปนั่งดูวีดีทัศน์เกี่ยวกับ Scrovegni Chapel, ( Italian : Cappella degli Scrovegni,) หรืออีกชื่อคือ อารีน่า ( Arena chapel )พอชมเสร็จก็มีคุณไกด์เจ้าหน้าที่หน้าตาเคร่งขรึมมากๆพาเข้าไปชม
เราไม่คิดมาก่อนว่าชาเปลเล็กๆจะสวยงามได้ขนาดนี้ ภายนอกเป็นศิลปกอธิค ภายในทั้งหมดเป็นภาพเฟรสโก้ฝีมือท่านจ๊อตโต้ ทุกส่วนสัดออกแบบมาได้อย่างเหมาะเจาะสมสัดส่วน ภาพเฟรสโก้ทั้งหมดก็ออกแบบมาเพื่อลงพอดิบพอดีกับชาเปล หลังคาเป็นแบบหลังคาโค้งประทุนก็มีสีน้ำเงินสดใสและลวดลายดวงดาว ราวกับท้องฟ้าน่ารักน่าประทับใจมาก อย่าพลาดมาชมนะคะหากได้มาปาโดว่า
อยากอธิบายเกี่ยวกับภาพ The last judgment ด้านหลังชาเปลนิดนึงว่ามีภาพของผู้สร้างชาเปลนี้ อยู่ในภาพด้วย ชาเปลนี้เป็นชาเปลประจำตระกูล Scrovegni …และในภาพตัวEnrico Scrovegni,ผู้สร้างกำลังถวายโบสถ์แก่พระแม่มารีเพื่อเป็นการไถ่บาปที่ตนเองเป็นคนรวยจากการให้กู้ยืมเงินและการขูดรีดค่ะ เผื่อดูแล้วจะได้เข้าใจมากขึ้น
ออกมาจากโบสถ์ก็เป็นมิวเซียมที่รวบรวมงานศิลปินเวเนเที่ยนไว้มากทีเดียว ก็ดูกันไปจนอิ่มหนำกับงานศิลปะ หมดงานเดินออกมาทางออกก็ซื้อหนังสือเกี่ยวกับจ๊อตโต้เก็บไว้ เพราะหนังสือเค้าไม่แพงและคุ้มหกยูโรเป็นภาพสีตลอด เก็บมาเป็นความทรงจำอันสวยงาม
จากที่นี่เดิน สักพักก็เข้าเขตถนนคนเดิน เขาเรียกว่า Walk street ติดป้ายว่าอย่างนั้น คิดว่าคงเป็นแหล่งที่นักท่องเที่ยวมาเดินชมเมืองและช๊อปปิ้ง เพราะร้านรวงสวยน่ารักหลายร้าน แม้จะเป็นตึกเก่าก็เป็นตึกเก่าที่น่าชมสีสันสวยงาม มีร้านเจลาโต้หลายร้าน ร้านดอกไม้ ร้านเสื้อผ้า ร้านอาหารเล็กๆ เป็นเมืองสงบๆที่น่าอยู่มาก เราชอบร้านขายแม่เหล็ก ส่วนใหญ่จะเป็นรูปBasilica of Saint Anthony of Padua โบสถ์ใหญ่ประจำเมืองที่เราจะเดินไปวันนี้
เดินไปเรื่อยๆก็จะไปเจอเอา Prato della Valle เราไม่ทราบว่าชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่าอย่างไร แต่ที่นี่ก็คือจตุรัส หรือ square เป็นสัญลักษณ์ของปาโดว่า เป็นจตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลีและเป็นจตุรัสหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ( 90,000 ตารางเมตร) Prato della Valle เป็นจตุรัสใจกลางเมืองปาโดว่า มีอาณาเขตกว้างขวางและไม่ได้มีลักษณะเหมือนจตุรัสทั่วๆไปมีลักษณะพิเศษตรงที่เป็นจตุรัสรูปวงกลมใหญ่ที่มีคลองเล็กๆล้อมรอบ และมีประติมากรรมประดับรอบๆคลองอีกสองชั้น พื้นก็เป็นพื้นที่สีเขียวต่างจากจตุรัสทั่งๆไปที่เป็นอิฐหรือซีเมนต์ จากจตุรัสสามารถมองเห็น The Basilica of Santa Giustina ได้ชัดเจน
The Basilica of Santa Giustina อีกโบสถ์ใหญ่โบสถ์หนึ่งใกล้กับจตุรัสวงกลม
มีโดมเป็นลักษณะผสมผสานกันหลากหลายสไตล์ และภายในโอ่อ่าใหญ่โตแต่มีคนน้อยมาก เงียบสงบดีจัง ดูจากภาพเอานะคะ ต่อจากนั้นก็เดินผ่าน จัตุรัสรูปวงกลมอีกครั้ง ไปยังถนนอีกด้านหนึ่งไปยัง The Basilica of Saint Anthony of Padova ซึ่งเราจะมองเห็นยอดได้ลิบๆจากระยะไกล เดินตามไปได้เลยค่ะ
เดินไม่นานก็ถึง The Basilica of Saint Anthony of Padua ค่ะ การมองเห็นได้ไกลๆจากจตุรัสกลางเมืองปาโดว่าทำให้เราไม่หลงทาง เมื่อมาถึงครั้งแรกและครั้งที่2 ด้านหน้าของโบสถ์ปิดซ่อมแซมไปแถบหนึ่งก็หน้าฟาสาจที่สวยงามนั่นแหละ จึงถ่ายรูปออกมาไม่สวยสมใจ แต่อย่างไรก็ตาม เราอดทนจนครั้งที่3 คราวนี้ด้านหน้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว งดงามสมการรอคอยจริงๆค่ะ
เซนต์อันโตนิโอนี้เป็นโบสถ์ที่ใหญ่มากๆ ด้านในก็ตบแต่งอย่างงดงาม อย่างที่บอกที่นี่เป็นศิลปะที่มีการผสมผสานกันของหลายยุคสมัย เพราะมีการต่อเติมจากเดิมที่เป็นสไตล์ โรมาเนสก์ มาต่อด้วยกอธิคแถมด้วยบารอคสไตล์โดย Filippo Parodi ทีมาเพิ่มเติมอีกในภายหลังจะว่าผสมผสานแล้วไม่สวยก็ไม่ใช่เลยเพราะทุกอย่างดูลงตัวและกลมกลืนกัน สวยทีเดียวค่ะ ตัวโดมมีลักษณะคล้ายๆกับโดมเซนต์มาร์ค (St. Mark's Basilica ) ที่เวเนเซีย และด้วยสีอ่อนของอิฐสไตล์โรมาเนสก์ได้สร้างสเน่ห์ให้ ซานอันโตนิโอ ดูแปลกตาไม่เหมือนใครแบบถ้าเห็นก็จำได้ทันทีว่าที่นี่แหละ ปาโดว่า ค่ะ
ด้านในตกแต่งสีทองอลังการ ก็เป็นสไตล์บารอคค่ะ กว้างใหญ่มากๆ มีหลายห้องให้ดู แต่ห้ามถ่ายภาพค่ะ แต่เราชอบด้านนอกมากกว่าเพราะเราไม่ค่อยชอบสต์บารอคเท่าไร อันนี้แล้วแต่ความชอบค่ะ รอบๆด้านในเขตวิหารก็มีระเบียงคดสวยงาม มีชิ้นส่วนงานประติมากรรมและมีพิพิธภัณฑ์ มีเด็กๆชาวปาโดว่ามาเที่ยวชมกับโรงเรียนเป็นโชคดีของชาวเมืองเค้าจริงๆที่มีศิลปวัฒนธรรมให้ดูใกล้ชิดแบบนี้ เราได้ภาพภายนอกภายในระเบียงคดมาเยอะเลยค่ะ
เดินกลับตามถนนคนเดินแต่เป็นอีกซอยหนึ่ง ผ่านมหาวิทยาลัยปาโดว่า ที่เก่าแก่เช่นกันเป็นรองแค่มหาวิทยาลัยแห่งโบโลนญ่าเท่านั้น ระหว่างทางก็หม่ำเจลาโต้อีกตามเคย คราวนี้เป็นรสโยเกิต (โยกุต) กับ พิตตาชิโอ (พิตตาคิโอ) อิ่มท้องอิ่มตาอิ่มใจกลับบ้านกันไป ที่นี่ใครสนใจมาเที่ยวสอบถามข้อมูลได้นะคะ
[CR] ท่องไปในอิตาลี่ ตอน PADOVA
ปาโดว่านี่เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดทางตอนเหนือของอิตาลีเลยค่ะ ไปที่นี่มา 3 ครั้งแล้วแต่ไม่ได้เขียนเรื่องที่นี่สักที พอมานึกถึงว่าปาโดว่าเป็นเมืองที่สวย สงบ น่าเที่ยว แล้วก็น่าจะเขียนแนะนำให้คนรู้จักกันบ้าง จะได้เปลี่ยนที่เที่ยวจากเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเยอะๆ มาเป็นเมืองที่เป็นเมืองจริงๆของนักเดินทางกันบ้าง
เราจะไม่อธิบายถึงประวัติศาสตร์มากนัก ใครสนใจลองหาอ่านเพิ่มเติมกัน แต่จะพูดถึงการเดินทางไปยัง ศาสนสถานอันสวยงาม สถาปัตยกรรม ภูมิสถาปัตย์ และ ศิลปะ ใครที่หลงใหลคลั่งไคล้กับสิ่งเหล่านี้ ก็ลองตามรอยมากันค่ะ
ปาโดว่า Padova เป็นชื่ออิตาลี่ ภาษาอังกฤษเขาเรียก ปาดัว Padua ค่ะ ไม่ค่อยถนัดปากเลยภาษาอิตาลี่ง่ายกว่าเยอะ ปาโดว่าอยู่ระหว่างบ้านอันเดรที่ Vicenza กับ Venezia เป็นเมืองจุดสำคัญเลยที่เดียวในการต่อรถไฟไปบ้านอันเดร และไปทางสายเหนือหลายเมือง ครั้งแรกที่เราเงอะงะเดินทางคนเดียวมาอิตาลี่ เราก็ไปหลงหารถไฟท้องถิ่นต่อไปบ้านอันเดรอยู่ที่นี่แหละ ปาโดว่ามีผังเมืองแจ่มแจ๋ว การเดินทางในเมืองจึงสะดวกง่ายดาย เราไม่เคยต้องใช้แผนที่เลย เพราะว่ามั่วเก่งเอ๊ยไม่ใช่ เพราะผังเมืองที่ดี ย่อมนำพาเราไปยังจัตุรัสของเมืองซึ่งเป็นส่วนสำคัญได้อย่างสบายๆ ไม่หลงแน่ค่ะ
ถ้ามาจากฟิเรนเซ่ Firenze หรือมิลาโน่ Milano ก็จะมีรถด่วนและรถไฟท้องถิ่นมาถึงนี่ได้เลย เลือกเอาที่ชอบรถแบบไหนนะคะ รถด่วนมีลูกศรสีแดง Frecciarossa กับลูกศรสีเงิน Frecciargento นั่งสบายๆปู๊ดเดียวถึงค่าตั๋วก็ตั้งแต่ 21 – 42 ยูโร แล้วแต่ช่วงเวลา
แต่รถหวานเย็นก็น่ารัก ราคาถูก และวิ่งสบายๆให้เราได้ชมทิวทัศน์ข้างทางของอิตาลี่แบบชิลๆ ก็ไม่ช้ามากนักเหมือนรถไฟบ้านเราหรอก แค่ว่าบางทีนางก็หยุดไปเฉยๆโดยไม่บอกกล่าว ต้องรอเที่ยวอื่นซะงั้น ก็ง่ายๆเลยค่ะซื้อตั๋วลงปาโดว่า Padova ถ้านั่งจาก Firenze S M N รถด่วนก็แค่ 1 ชั่วโมงครึ่งนิดๆ ถึงปาโดว่าแล้ว ผ่านสถานีสำคัญคือ โบโลนญ่า Bologna ด้วย แล้วจะมาเล่าให้ฟังถึงที่นี่อีกที
พอลงสถานี Padova ก็มีความสุขละค่ะเพราะที่นี่เป็นสถานีใหญ่ มีร้านค้ามากมาย มีซูเปอร์มาเก็ตให้ตุนสเบียงไว้เวลาเดินชมเมือง ของอร่อยในเมืองก็มีค่ะ แต่ก็ชอบซื้อของกินที่นี่ด้วย มันน่ากินไปหมด ... เสร็จแล้วก็ได้เวลาเดินกันละค่ะ อย่างที่บอกผังเมืองเยี่ยมไม่ต้องดูแผนที่ เดินง่าย ตามกันมาเลยค่ะ
ที่แรกที่เราจะไปคือที่อยู่ใกล้ที่สุด เป็นโบสถ์ที่มีงานศิลปของจ๊อตโต ( Giotto ) แล้วค่อยเดินออกไปที่ไกลๆ เพราะสถานที่แรกนั้นเป็นมิวเซียมที่มีคนดูเยอะมากบ่ายน่าจะแน่น ที่นี่มีรถรางถ้าขี้เกียจเดิน แต่ที่จริงเมืองและโบสถ์วิหารก็อยู่เป็นบริเวณใกล้เคียงกันเหมือนฟิเรนเซ่ เราก็เลยเดินไปเรื่อยๆดีกว่า เดินข้ามถนนหน้าสถานีรถไฟไปไม่นานก็เจอสวนสาธารณะที่เป็นที่ตั้งของมิวเซียม ที่มีงานศิลปของจ๊อตโต้อยู่ที่นี่
ใกล้ๆมีโบสถ์เก่าๆโบสถ์หนึ่งด้านข้างสวนสาธารณะ ต้องเดินออกจากรั้วสวนไป ซึ่งมารู้ชื่อตอนหลังว่าชื่อโบสถ์ อิเระมิตานิ “Church of the Eremitani” ที่นี่มีงานของ อันเดรีย มานเทนย่า( Andrea Mantegna) ศิลปินเวเนเที่ยนที่มีงานประดับอยู่ทั่วโลก มานเทนย่ามีงานภาพพิมพ์เอนเกรฟ หรือภาพพิมพ์โลหะที่เราชอบด้วย งานเฟรสโก้ในโบสถ์ผลงานเขาอยู่ช่วงทรานเสป (Transept) ด้านขวาในห้องโอเวทารี่ Ovetari Chapel (Italian: Cappella Ovetari) เสียดายที่งานของเขาเสียหายมาก เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สอง ภาพที่เหลือจึงเป็นแค่ภาพร่างของรีโปรดักชั่นและส่วนเล็กน้อยที่รวบรวมได้จากความเสียหาย สีสันยังสดใสงดงามแบบเฟรสโก้อยู่เลย เห็นแล้ว เศร้าใจมากๆ แต่ยังไงก็ดีเรานับว่าโชคดีแล้วที่ได้มาเห็นที่ๆผลงานของเค้าเคยอยู่โดยบังเอิญ มีคนเข้ามาดูอยู่หลายคนเหมือนกันทั้งที่ยังเช้าอยู่
รอบๆก็มีประติมากรรมและจิตรกรรมฝาผนังสมัยกอธิคที่น่าดูหลายชิ้น เราว่านี่แหละที่เค้าเรียกกันว่า กำไรของคนตื่นเช้า เกือบแปดโมงครึ่งก็เดินออกไปยังมิวเซียม ที่มีจ๊อตโต้ อาร์ต เพื่อไปดูให้แน่ใจเรื่องเวลาเข้าและไปสอบถามเรื่องตั๋ว ที่มีครั้งนี้แหละที่เราไม่ได้จองไป ไม่แน่ใจว่าเจ้าหน้าที่จะเคร่งครัดแค่ไหน นั่งรอหน้ามิวเซียมจนสังเกตเห็นเหมือนเจ้าหน้าที่เดินมาเป็นระยะๆ และมีนักท่องเที่ยวมารอเริ่มหลายคนแล้ว เราเลยตัดสินใจเดินเข้าไปถามด้านในได้คำตอบมาว่าถ้าคุณมาเช้าขนาดนี้ ไม่ต้องจองหรอกครับ รอเก้าโมงก็จ่ายเงินเข้าไปเลย ไม่มีปัญหา ......ค่ะ พอเก้าโมงพวกที่มารอด้านหน้าหกเจ็ดคนก็ได้เข้าไปเป็นรอบแรก เราเป็นหนึ่งในนั้น ที่นี่เค้าจะเปิดให้เข้าเป็นรอบๆเนื่องจากโบสถ์เล็กและมีห้องที่ทุกคนต้องเข้าไปนั่งดูวีดีทัศน์เกี่ยวกับ Scrovegni Chapel, ( Italian : Cappella degli Scrovegni,) หรืออีกชื่อคือ อารีน่า ( Arena chapel )พอชมเสร็จก็มีคุณไกด์เจ้าหน้าที่หน้าตาเคร่งขรึมมากๆพาเข้าไปชม
เราไม่คิดมาก่อนว่าชาเปลเล็กๆจะสวยงามได้ขนาดนี้ ภายนอกเป็นศิลปกอธิค ภายในทั้งหมดเป็นภาพเฟรสโก้ฝีมือท่านจ๊อตโต้ ทุกส่วนสัดออกแบบมาได้อย่างเหมาะเจาะสมสัดส่วน ภาพเฟรสโก้ทั้งหมดก็ออกแบบมาเพื่อลงพอดิบพอดีกับชาเปล หลังคาเป็นแบบหลังคาโค้งประทุนก็มีสีน้ำเงินสดใสและลวดลายดวงดาว ราวกับท้องฟ้าน่ารักน่าประทับใจมาก อย่าพลาดมาชมนะคะหากได้มาปาโดว่า
อยากอธิบายเกี่ยวกับภาพ The last judgment ด้านหลังชาเปลนิดนึงว่ามีภาพของผู้สร้างชาเปลนี้ อยู่ในภาพด้วย ชาเปลนี้เป็นชาเปลประจำตระกูล Scrovegni …และในภาพตัวEnrico Scrovegni,ผู้สร้างกำลังถวายโบสถ์แก่พระแม่มารีเพื่อเป็นการไถ่บาปที่ตนเองเป็นคนรวยจากการให้กู้ยืมเงินและการขูดรีดค่ะ เผื่อดูแล้วจะได้เข้าใจมากขึ้น
ออกมาจากโบสถ์ก็เป็นมิวเซียมที่รวบรวมงานศิลปินเวเนเที่ยนไว้มากทีเดียว ก็ดูกันไปจนอิ่มหนำกับงานศิลปะ หมดงานเดินออกมาทางออกก็ซื้อหนังสือเกี่ยวกับจ๊อตโต้เก็บไว้ เพราะหนังสือเค้าไม่แพงและคุ้มหกยูโรเป็นภาพสีตลอด เก็บมาเป็นความทรงจำอันสวยงาม
จากที่นี่เดิน สักพักก็เข้าเขตถนนคนเดิน เขาเรียกว่า Walk street ติดป้ายว่าอย่างนั้น คิดว่าคงเป็นแหล่งที่นักท่องเที่ยวมาเดินชมเมืองและช๊อปปิ้ง เพราะร้านรวงสวยน่ารักหลายร้าน แม้จะเป็นตึกเก่าก็เป็นตึกเก่าที่น่าชมสีสันสวยงาม มีร้านเจลาโต้หลายร้าน ร้านดอกไม้ ร้านเสื้อผ้า ร้านอาหารเล็กๆ เป็นเมืองสงบๆที่น่าอยู่มาก เราชอบร้านขายแม่เหล็ก ส่วนใหญ่จะเป็นรูปBasilica of Saint Anthony of Padua โบสถ์ใหญ่ประจำเมืองที่เราจะเดินไปวันนี้
เดินไปเรื่อยๆก็จะไปเจอเอา Prato della Valle เราไม่ทราบว่าชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่าอย่างไร แต่ที่นี่ก็คือจตุรัส หรือ square เป็นสัญลักษณ์ของปาโดว่า เป็นจตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลีและเป็นจตุรัสหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ( 90,000 ตารางเมตร) Prato della Valle เป็นจตุรัสใจกลางเมืองปาโดว่า มีอาณาเขตกว้างขวางและไม่ได้มีลักษณะเหมือนจตุรัสทั่วๆไปมีลักษณะพิเศษตรงที่เป็นจตุรัสรูปวงกลมใหญ่ที่มีคลองเล็กๆล้อมรอบ และมีประติมากรรมประดับรอบๆคลองอีกสองชั้น พื้นก็เป็นพื้นที่สีเขียวต่างจากจตุรัสทั่งๆไปที่เป็นอิฐหรือซีเมนต์ จากจตุรัสสามารถมองเห็น The Basilica of Santa Giustina ได้ชัดเจน
The Basilica of Santa Giustina อีกโบสถ์ใหญ่โบสถ์หนึ่งใกล้กับจตุรัสวงกลม
มีโดมเป็นลักษณะผสมผสานกันหลากหลายสไตล์ และภายในโอ่อ่าใหญ่โตแต่มีคนน้อยมาก เงียบสงบดีจัง ดูจากภาพเอานะคะ ต่อจากนั้นก็เดินผ่าน จัตุรัสรูปวงกลมอีกครั้ง ไปยังถนนอีกด้านหนึ่งไปยัง The Basilica of Saint Anthony of Padova ซึ่งเราจะมองเห็นยอดได้ลิบๆจากระยะไกล เดินตามไปได้เลยค่ะ
เดินไม่นานก็ถึง The Basilica of Saint Anthony of Padua ค่ะ การมองเห็นได้ไกลๆจากจตุรัสกลางเมืองปาโดว่าทำให้เราไม่หลงทาง เมื่อมาถึงครั้งแรกและครั้งที่2 ด้านหน้าของโบสถ์ปิดซ่อมแซมไปแถบหนึ่งก็หน้าฟาสาจที่สวยงามนั่นแหละ จึงถ่ายรูปออกมาไม่สวยสมใจ แต่อย่างไรก็ตาม เราอดทนจนครั้งที่3 คราวนี้ด้านหน้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว งดงามสมการรอคอยจริงๆค่ะ
เซนต์อันโตนิโอนี้เป็นโบสถ์ที่ใหญ่มากๆ ด้านในก็ตบแต่งอย่างงดงาม อย่างที่บอกที่นี่เป็นศิลปะที่มีการผสมผสานกันของหลายยุคสมัย เพราะมีการต่อเติมจากเดิมที่เป็นสไตล์ โรมาเนสก์ มาต่อด้วยกอธิคแถมด้วยบารอคสไตล์โดย Filippo Parodi ทีมาเพิ่มเติมอีกในภายหลังจะว่าผสมผสานแล้วไม่สวยก็ไม่ใช่เลยเพราะทุกอย่างดูลงตัวและกลมกลืนกัน สวยทีเดียวค่ะ ตัวโดมมีลักษณะคล้ายๆกับโดมเซนต์มาร์ค (St. Mark's Basilica ) ที่เวเนเซีย และด้วยสีอ่อนของอิฐสไตล์โรมาเนสก์ได้สร้างสเน่ห์ให้ ซานอันโตนิโอ ดูแปลกตาไม่เหมือนใครแบบถ้าเห็นก็จำได้ทันทีว่าที่นี่แหละ ปาโดว่า ค่ะ
ด้านในตกแต่งสีทองอลังการ ก็เป็นสไตล์บารอคค่ะ กว้างใหญ่มากๆ มีหลายห้องให้ดู แต่ห้ามถ่ายภาพค่ะ แต่เราชอบด้านนอกมากกว่าเพราะเราไม่ค่อยชอบสต์บารอคเท่าไร อันนี้แล้วแต่ความชอบค่ะ รอบๆด้านในเขตวิหารก็มีระเบียงคดสวยงาม มีชิ้นส่วนงานประติมากรรมและมีพิพิธภัณฑ์ มีเด็กๆชาวปาโดว่ามาเที่ยวชมกับโรงเรียนเป็นโชคดีของชาวเมืองเค้าจริงๆที่มีศิลปวัฒนธรรมให้ดูใกล้ชิดแบบนี้ เราได้ภาพภายนอกภายในระเบียงคดมาเยอะเลยค่ะ
เดินกลับตามถนนคนเดินแต่เป็นอีกซอยหนึ่ง ผ่านมหาวิทยาลัยปาโดว่า ที่เก่าแก่เช่นกันเป็นรองแค่มหาวิทยาลัยแห่งโบโลนญ่าเท่านั้น ระหว่างทางก็หม่ำเจลาโต้อีกตามเคย คราวนี้เป็นรสโยเกิต (โยกุต) กับ พิตตาชิโอ (พิตตาคิโอ) อิ่มท้องอิ่มตาอิ่มใจกลับบ้านกันไป ที่นี่ใครสนใจมาเที่ยวสอบถามข้อมูลได้นะคะ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น