วันหนึ่ง มีโจรจำนวนหนึ่งขโมยเงินและทองเป็นจำนวนมากจากบ้านของคนรวยคนหนึ่ง
แล้วหนีมาแบ่งทรัพย์ที่ขโมยมาในนาของชายผู้หนึ่ง แต่บังเอิญถุงบรรจุทรัพย์ประมาณหนึ่งพันกหาปณะ
ของโจรผู้หนึ่งเกิดหล่นอยู่ในนานั้นโดยที่โจรไม่ทันสังเกต
ในเช้าวันรุ่งขึ้น พระศาสดาทรงตรวจดูสัตว์โลกด้วยพระญาณพิเศษ ทอดพระเนตรเห็นชาวนา
ซึ่งกำลังไถนามาปรากฏอยู่ในข่ายคือพระญาณ และพระองค์ทรงทราบว่า ชาวนาผู้นี้จะได้สำเร็จพระโสดาปัตติผลในวันนั้น
จึงได้เสด็จไป ณ ที่นั้น โดยมีพระอานนท์เป็นปัจฉาสมณะ(ผู้ติดตาม) ชาวนาเห็นพระศาสดาแล้ว
ได้เข้าไปถวายบังคมแล้วไปไถนาต่อ พระศาสดาไม่ตรัสอะไรๆกับชาวนา เสด็จตรงไปยังที่ที่ถุงบรรจุทรัพย์หนึ่งพันกหาปณะตกอยู่
ทอดพระเนตรเห็นถุงนั้นแล้ว จึงตรัสกะพระอานนทเถระว่า “อานนท์ เธอเห็นไหม อสรพิษ”
พระอานนทเถระทูลว่า “เห็น พระเจ้าข้า อสรพิษร้าย” จากนั้นพระศาสดาและพระอานนทเถระก็ได้เสด็จหลีกไปจากที่นั้น
ชาวนาได้ยินถ้อยคำนั้นแล้ว ก็ได้เดินไปตรงจุดนั้นโดยเข้าใจว่าจะต้องมีอสรพิษอยู่ที่นั่นจริงๆ
แต่แทนที่จะพบอสรพิษกลับพบถุงทรัพย์ เขาจึงนำถุงทรัพย์ไปซ่อนไว้ พวกเจ้าของทรัพย์แกะรอยตามโจรมาถึงนาของชาวนาผู้นั้น
และได้พบทรัพย์ที่ถูกซ่อนไว้นั้น จึงได้ทุบตีชาวนาแล้วนำตัวไปเฝ้าพระราชา พระราชามีรับสั่งให้นำตัวเขาไปประหารชีวิต
เมื่อชาวนานั้นถูกนำตัวไปที่หลักประหารนั้น เขาได้แต่พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “ เห็นไหม อานนท์ อสรพิษ เห็น พระเจ้าข้า อสรพิษร้าย”
เมื่อราชบุรุษได้ยินคำพูดซ้ำๆของชาวนานี้แล้ว ก็เกิดความสงสัยเลยนำตัวไปเข้าเฝ้าพระราชา
พระราชาทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า ชาวนาคงอ้างพระศาสดาเป็นพยาน จึงได้นำตัวชาวนาไปเข้าเฝ้าพระศาสดา
หลังจากที่ได้สดับเรื่องที่พระศาสดาทรงเล่าในเช้าวันนั้นแล้ว พระราชาได้ทูลพระศาสดาว่า
“พระเจ้าข้า ถ้าชายผู้นี้ไม่อ้างพระองค์เป็นพยาน เขาก็จะต้องถูกฆ่าแน่ๆ”
พระศาสดาจึงตรัสตอบว่า “ผู้ฉลาดไม่พึงทำกรรมที่จะนำความเดือดร้อนมาให้ในภายหลัง”
กรณีวัดพระธรรมกายก็เช่นเดียวกัน พระไม่มีเจตนารับของโจร
สงสัยเกรงว่าภาพของการตั้งสินคดีฟอกเงินไม่ชัด
เลยใช้ปฏิบัติการทางข่าวสาร เพื่อชี้นำว่าวัดพระธรรมกายมีที่ดินผิดกฎหมายตรงนั้นตรงนี้
ซึ่งการเปลี่ยนถ่ายมือซื้อที่ก็เป็นหนึ่งในวิธีสุดคลาสสิคของการฟอกเงิน
อยากจะขอร้องอีกครั้งว่าได้โปรดยุติปฏิบัติการข่าวสารแบบนี้เถอะนะ
สร้างข่าวเท็จรังแต่จะดิสเครดิตผู้เขียนหรือสำนักข่าวไปทุกวัน "ความน่าเชื่อถือ"เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับสำนักข่าว
เมื่อไหร่สิ่งนี้หมดไปสำนักข่าวก็คงจะต้องปิดตัวลงในที่สุด
ทุกสิ่งมีเกิดมีดับเป็นธรรมดา ระหว่างที่ตั้งอยู่ก็จงดำรงไว้ซึ่งความซื่อตรงเถิด เพราะ
"ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย"
เผอิญทรัพย์เป็นของโจร
แล้วหนีมาแบ่งทรัพย์ที่ขโมยมาในนาของชายผู้หนึ่ง แต่บังเอิญถุงบรรจุทรัพย์ประมาณหนึ่งพันกหาปณะ
ของโจรผู้หนึ่งเกิดหล่นอยู่ในนานั้นโดยที่โจรไม่ทันสังเกต
ในเช้าวันรุ่งขึ้น พระศาสดาทรงตรวจดูสัตว์โลกด้วยพระญาณพิเศษ ทอดพระเนตรเห็นชาวนา
ซึ่งกำลังไถนามาปรากฏอยู่ในข่ายคือพระญาณ และพระองค์ทรงทราบว่า ชาวนาผู้นี้จะได้สำเร็จพระโสดาปัตติผลในวันนั้น
จึงได้เสด็จไป ณ ที่นั้น โดยมีพระอานนท์เป็นปัจฉาสมณะ(ผู้ติดตาม) ชาวนาเห็นพระศาสดาแล้ว
ได้เข้าไปถวายบังคมแล้วไปไถนาต่อ พระศาสดาไม่ตรัสอะไรๆกับชาวนา เสด็จตรงไปยังที่ที่ถุงบรรจุทรัพย์หนึ่งพันกหาปณะตกอยู่
ทอดพระเนตรเห็นถุงนั้นแล้ว จึงตรัสกะพระอานนทเถระว่า “อานนท์ เธอเห็นไหม อสรพิษ”
พระอานนทเถระทูลว่า “เห็น พระเจ้าข้า อสรพิษร้าย” จากนั้นพระศาสดาและพระอานนทเถระก็ได้เสด็จหลีกไปจากที่นั้น
ชาวนาได้ยินถ้อยคำนั้นแล้ว ก็ได้เดินไปตรงจุดนั้นโดยเข้าใจว่าจะต้องมีอสรพิษอยู่ที่นั่นจริงๆ
แต่แทนที่จะพบอสรพิษกลับพบถุงทรัพย์ เขาจึงนำถุงทรัพย์ไปซ่อนไว้ พวกเจ้าของทรัพย์แกะรอยตามโจรมาถึงนาของชาวนาผู้นั้น
และได้พบทรัพย์ที่ถูกซ่อนไว้นั้น จึงได้ทุบตีชาวนาแล้วนำตัวไปเฝ้าพระราชา พระราชามีรับสั่งให้นำตัวเขาไปประหารชีวิต
เมื่อชาวนานั้นถูกนำตัวไปที่หลักประหารนั้น เขาได้แต่พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “ เห็นไหม อานนท์ อสรพิษ เห็น พระเจ้าข้า อสรพิษร้าย”
เมื่อราชบุรุษได้ยินคำพูดซ้ำๆของชาวนานี้แล้ว ก็เกิดความสงสัยเลยนำตัวไปเข้าเฝ้าพระราชา
พระราชาทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า ชาวนาคงอ้างพระศาสดาเป็นพยาน จึงได้นำตัวชาวนาไปเข้าเฝ้าพระศาสดา
หลังจากที่ได้สดับเรื่องที่พระศาสดาทรงเล่าในเช้าวันนั้นแล้ว พระราชาได้ทูลพระศาสดาว่า
“พระเจ้าข้า ถ้าชายผู้นี้ไม่อ้างพระองค์เป็นพยาน เขาก็จะต้องถูกฆ่าแน่ๆ”
พระศาสดาจึงตรัสตอบว่า “ผู้ฉลาดไม่พึงทำกรรมที่จะนำความเดือดร้อนมาให้ในภายหลัง”
กรณีวัดพระธรรมกายก็เช่นเดียวกัน พระไม่มีเจตนารับของโจร
สงสัยเกรงว่าภาพของการตั้งสินคดีฟอกเงินไม่ชัด
เลยใช้ปฏิบัติการทางข่าวสาร เพื่อชี้นำว่าวัดพระธรรมกายมีที่ดินผิดกฎหมายตรงนั้นตรงนี้
ซึ่งการเปลี่ยนถ่ายมือซื้อที่ก็เป็นหนึ่งในวิธีสุดคลาสสิคของการฟอกเงิน
อยากจะขอร้องอีกครั้งว่าได้โปรดยุติปฏิบัติการข่าวสารแบบนี้เถอะนะ
สร้างข่าวเท็จรังแต่จะดิสเครดิตผู้เขียนหรือสำนักข่าวไปทุกวัน "ความน่าเชื่อถือ"เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับสำนักข่าว
เมื่อไหร่สิ่งนี้หมดไปสำนักข่าวก็คงจะต้องปิดตัวลงในที่สุด
ทุกสิ่งมีเกิดมีดับเป็นธรรมดา ระหว่างที่ตั้งอยู่ก็จงดำรงไว้ซึ่งความซื่อตรงเถิด เพราะ
"ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย"