สรุปจากสัมมนาของ Phatra ครับ

กระทู้สนทนา
คำเตือน : โพสน์นี้ยาวนะครับ 55555

พอดีเมื่อวานผมได้ไปสัมมนาเกี่ยวกับ แนวโน้มศก.โลก แนวโน้มหุ้นโลก และหุ้นไทยกับทางกลุ่มการเงินเกียรตินาคิน-ภัทร มาก็เลยอยากนำตัวไฮไลท์มาสรุปให้ฟังคร่าวๆครับผม
ผมจะเริ่มจากแนวโน้มศก.โลกก่อนนะครับ

จากเหตุการณ์ที่ตลาดไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดอย่าง BREXIT ทำให้ทั้งโลกตอนนี้มีความไม่แน่นอนสูง โดยมี uncertainty หลักๆ คือ สุญญากาศทางการเมืองของอังกฤษ เนื่องจากประธานาธิบดีได้ลาออกไป ปัญหาในสก๊อตเเลนด์,ไอร์แลนด์เหนือ และเกิดกระเเสต่อต้านสหภาพยุโรปที่ฝรั่งเศส อิตาลี เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก และสวีเดน
เนื่องจากเหตุการณ์ที่ shock ตลาด ส่งผลให้วันที่อังกฤษประกาศออกจากสหภาพยุโรปนั้น มูลค่าหุ้นทั่วโลกปรับลดลงไปราวๆ 2 trillion USD, GBP ร่วงลงไปกว่า 8%
ผลกระทบข้างเคียงกับประเทศอื่นๆในโลกก็มีมากๆ ในเมื่ออังกฤษมีความเสี่ยงทางศก.มาก จึงทำให้โอกาสในการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ลดลงอย่างชัดเจน ซึ่งอาจจะเลื่อนไปเป็นปีหน้าไปเลย, เงิน JPY ที่ญี่ปุ่นพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะทำให้มันอ่อน ปัจจุบันนักลงทุนทั่วโลกได้มองมันกลายเป็น safe haven ซะงั้น ทำให้มันเเข็งขึ้นไปอีก ซึ่งจะส่งผลร้ายกับการส่งออกของญี่ปุ่นอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังส่งผลกับทุกประเทศทั่วโลก
และสิ่งที่คาดว่าจะเกิดตามมา คือ อังกฤษอาจจะเข้าสู่ recession โดย GDP จะเหลือแค่ 0.2% จากการคาดการณ์เดิมที่ 2.3%, GDP EU อาจลดลงถึง 0.5% ในปี 2017 โดยคาดว่าจะโตที่ 1.1% และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ความไม่แน่นอนทางนโยบายทางการเงินของอังกฤษ ซึ่งมีโอกาสลดดอกเบี้ยให้เหลือ 0% และทำ QE โดยคาดว่าจะประกาศในการประชุมในวันที่ 14 ก.ค. นี้

หันกลับมามองในมุมผลกระทบต่อไทยบ้าง
ต้องเกริ่นก่อนว่าเราค้าขายกับอังกฤษเป็นสัดส่วนไม่ได้เยอะ ราวๆ 1.8% ฉะนั้นการเกิดเหตุการณ์นี้คงไม่ได้ส่งผลอะไรรุนแรงมากนัก
แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ ถ้าการเกิดเหตุการณ์นี้ ทำให้ศก.ยุโรปสั่นคลอน จะกระทบไทยหนักขึ้น เนื่องจากไทยส่งออกไปยุโรปในสัดส่วนราวๆ 10%
และในวันที่ผลประชามติออก ที่เห็นหุ้นไทยร่วงไป 20 กว่าจุดนั้น ส่วนใหญ่สาเหตุมาจากการปิด option position ที่เคยทำให้ เอาง่ายๆคือ คงไม่ได้ขายอะไรเยอะแยะมากมาย

แต่ในมุมมองผม ผมว่าตลาด  Emerging Market ได้โยชน์จาก Brexit นะ (ตลาดการเงินนะ ไม่ใช่ตัวศก. จริงๆ)
เพราะลึกๆผมเชื่อว่า เงินมันล้นโลกจนไม่มีที่ไปแล้ว ตอนนี้กว่า 60% ของพันธบัตรรบ.ทั่วโลกมีอัตราตอบแทนในช่วง ติดลบ (จริงๆนะ) ถึง 1%
เอาง่ายๆผมคิดว่าเงินมันไม่รู้จะไปไหนจริงๆ เลยมาลงกับตลาดหุ้นนี่แหละ แล้วพอดีไทยเป็นประเทศที่มีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูง (อันนี้ถ้าดูลึกๆไม่ใช่เรื่องดีนะครับ มันเกินเนื่องจากการนำเข้าเราลดลงไปอย่างโคตรจะมาก ในขณะที่การส่งออกยังทรงๆตัว ไม่ได้โตเท่าไหร่) เงินเฟ้อต่ำ อัตราเเลกเปลี่ยนเสถียรกว่า EM อื่นๆในภูมิภาค เลยได้ประโยชน์ไปเต็มๆ
ถ้าลองมองย้อนกลับไปตอนต้นปีเนี่ย ไทยให้ผลตอบแทนเป็นอันดับ 2 ของ EM ใน MSCI เลยนะ แพ้แค่บราซิล (แต่ไอบราซิลเนี่ย ปีก่อนหน้ามันลงมาเยอะ มันเลยบวกเยอะ)
แล้วอาทิตย์ให้หลังมาเนี่ย Foreign net buy เป็นหมื่นๆล้าน ฉะนั้นผมเชื่อว่าตลาดเรายังพอไปต่อได้นะ

มาถึงเรื่องหุ้นไทยมั่ง
เอาง่ายๆตั้งแต่ต้นปี ที่เซตขึ้นมาจาก 1200 กว่า มาถึงปัจจุบันเนี่ย
กลุ่มพลังงาน ไม่ว่าจะเป็น พี่ปอแอ่นเดอะเเก๊งค์ หรือตัวอื่นๆ ลากเซตขึ้นมาราวๆ 52% เลยนะ แต่ก็เป็นสาเหตุของราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นแหละ พวกธุรกิจนี้เลยได้ประโยชน์
รองมาเป็นกลุ่มค้าปลีก และอาหาร (อันนี้ผมมองว่ามาจากการที่กองทุนเปลี่ยนกลยุทธ์ตอนที่เกิด Brexit เป็น Domestic play แทน เลยลากเซตขึ่นมาเยอะพอตัวเหมือนกัน)
กำไรของบริษัทในตลาดจะโตประมาณ 1x % (ผมจำตัวเลขไม่ค่อยได้) แต่ถ้าตัดกลุ่มพลังงานซึ่งขึ้นมาจากราคาน้ำมันออกเนี่ย กำไรของบริษัทในตลาดจะโตประมาณราวๆ 7-8% เท่านั้น
หลายคนคงสงสัยว่าตรงนี้ 7-8% มันต่ำนะ ไม่ได้น่าลงทุนเท่าไหร่ แต่ลึกๆในสถานะการณ์ที่ทั่วโลกเป็นแบบนี้ ผมถือว่า outperform กว่าประเทศอื่นๆ ตลาดอื่นๆนะ
โดยกลุ่มที่ทางภัทร มีมุมมองเชิงบวกในครึ่งปีหลัง ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้น cyclicals ได้แก่ พลังงาน,ปิโครเคมี,รับเหมา และโรงแรม (Top picks ขอไม่บอกนะครับ เดี๋ยวจะกลายเป็นเชียร์หุ้นไปซะหมด - -*)
ปัจจุบัน SET เทรดเหนือ PER average เล็กน้อย ซึ่งลึกๆหมายความว่า หุ้นเราแพงกว่าปกตินะครับ แต่จริงๆผมมองว่า ปัจจัยหลายๆอย่างมันก็สนับสนุนเราจริงๆแหละ สาเหตุหลักๆคือ อัตราเเลกเปลี่ยนที่เสถียรกว่า EM ที่อื่น โฟลว์เลยเข้ามา, ค่านิยมสมันใหม่ของคนไทย ที่เชื่อว่าลงทุนเร็วก็ยิ่งดี ซึ่งผลักเงินจำนวนหนึ่งเข้ามาเพิ่มในตลาด, อีกทั้งเงินที่ล้นโลกชนิดไม่มีที่ไป risk free asset แทบไม่มีแล้ว เงินมันเลยไหลเข้า risky asset มากขึ้น
แต่สุดท้ายทางภัทร แนะนำให้ underweight หุ้นไทยนะครับ ซึ่งในมุมมองผม ผมอยู่ในข้าง Neutral นะ ไม่ต้องคิดไรมาก ยอมเผ้าดูมันหน่อยก็พอ

สรุปสั้นๆละกัน
ปีนี้ศก.อยู่บนความเสี่ยงกลาง-สูง เนื่องจากนโยบายการเงินของหลายๆประเทศที่ทำมาจนสุดทางเเล้วแต่ไม่ค่อยจะได้ผล,เกิด shock ในตลาด เอาง่ายๆคือ ถ้ามองภาพศก. จริงๆ ก็คงไม่ได้สวยหรูเท่าไหร่นัก ยากลำบากด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องเฝ้าดู action ของธนาคารกลางแต่ละประเทศว่าจะแก้ปัญหายังไง
แต่ถ้ามองในมุมตลาดการเงิน (มุมมองผม) ผมว่ายังพอไปได้นะ แต่คงไม่ได้หวือหวาไรมากนัก ควรเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดเหมือนกันแหละ
สำหรับหุ้นไทย ดัชนีตรงนี้ถือว่าแพงกว่าปกตินิดหน่อย แต่ยังมีโอกาศไปต่อได้ ผมยัง Neutral ไปทางบวกนิดๆหน่อยๆ ถือเล่นสั้นก็เล่นไปเถอะครับ แค่อย่าลืมวินัย ถ้าเล่นยาวก็เลือกหุ้นที่โมเดลธุรกิจดีจริงๆ ไม่ก็ได้รับประโยชน์จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ Blue chip ส่วนใหญ่ที่ราคาปัจจุบันไม่เหมาะกับการถือยาวซักเท่าไหร่นัก

Techtrade รายงาน

ฝากเพจในเฟสบุ๊คด้วยนะครับ เข้ามาแชร์แนวคิด แชร์หุ้นกันได้นะครับ
https://www.facebook.com/TechTradeTH
Facebook: TechTrade

LINE ID: "@techtrade"  หรือ
http://line.me/ti/p/%40dfk6411q

โชคดีกับการลงทุนครับ  กระทิงเริงร่า

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่