Des yeux qui font baisser les miens
Un rire qui se perd sur sa bouche
Eyes that gaze into mine,
A smile that is lost on his lips
สายตาคู่นั้นที่จ้องลึกตรงมา
กับรอยยิ้มที่แอบซ่อนไว้บนริมฝีปาก
ยามแรกเฉียวเฟยก็คงนึกกระมังว่าผู้ชายหน้าตาดีคนนั้นก็คงมองมาอย่างเป็นมิตร ไม่เคยคิดว่าสิ่งนั้นคือการจับผิด และ ไม่ได้คิดไปถึงว่ารอยยิ้มนั้นจะกลายเป็นการยิ้มเยาะไปได้ เธอคือเด็กสาวยังไม่ทันจะขึ้นปีสามดี ได้โอกาสรับทุนนักเรียนแลกเปลี่ยนมาร่ำเรียนเขียนอ่านที่มหานครซูริคนี้ เอาตามจริงแล้วฐานะอย่างเธอเพียงแค่เท้าแตะสนามบินยังยากเลย แถมผลการเรียนก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร แต่เดชะบาป .... ที่ต้องมาพบล่ามภาษาฝรั่งเศสมือหนึ่งที่ทั้งเนี้ยบ ทั้งเฉียบทั้งละเอียดอย่าง เฉิงเจี่ยหยาง หล่อฉลาดมาดเท่กิ๊บเก๋โปรไฟล์เริ่ด และ พูดตรงปากคอเราะรายเหมือนกรรไกรคมกริบ
แปลผิดแปลถูกในศัพท์พื้นฐานแบบนี้อย่ามาเป็นล่ามให้เสียสถาบันจะดีกว่า
วาจาเผ็ดร้อนทิ่มแทงเฉียวเฟยให้เจ็บแสบไปถ้วนทั่วทางสรรพางค์กาย แต่จะว่ากระไรได้ .... เธอผิดจริง และ ด้วยความที่เถียงคนไม่รู้เหนือรู้ใต้ นอกจากจะเป็นล่ามแล้วยังเป็นลูกชายท่านทูตเสียอีก งานนี้จึงมีแต่พังกับพัง เสียกับเสีย เธอควรจะได้อยู่ที่สวิสอีกหนึ่งเทอม แต่เฟลโลวชิปต้องจบลงเพราะบทสนทนาถึงพริกถึงขิงระหว่างเธอกับเขา แต่เอาล่ะ ... เธอจะใช้สิ่งนี้นี่แหละเป็นแรงผลักดันให้ไปถึงจุดหมาย "งานล่าม" ที่ใฝ่ฝัน ต้องไปให้ถึงให้ได้ จนกระทั่ง 6 ปีให้หลัง เฉียวเฟยสำเร็จปริญญาโทด้วยคะแนนสูงลิ่วและเข้าเป็น intern ใน IAI (International Advanced Interpreters) โดยไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่
เดชะบาปอีกครั้งที่ทำให้เฉียวเฟยเป็น intern ภายใต้ mentor เจ้าเดิมเพิ่มเติมคือความโหดอย่างเจี่ยหยาง ที่คืนก่อนหน้าในฐานะลูกค้าและซอมเมอลิเย่ร์ก็เริ่มจะจำ ๆ คุ้น ๆ รูปลักษณะกันมาบ้าง แล้วพอมาได้มาถกเถียงในระยะเวลาใกล้ ๆ กัน ก็เลยเกิดระลึกชาติขึ้นไปมาได้ถนัดถนี่ว่าผู้หญิงสาวมาก สวยมาก เก่งมาก คนนี้คือคนเดียวกับยัยเด็กกะโปโลที่แปลภาษาฝรั่งเศสมั่วซั่วที่ซูริค .... เท่านั้นเอง องค์พี่ก็ลงประทับ ตามด้วยความเข้าใจผิดเป็นพรวนใหญ่ จนกระทั่งในสายตาของเจี่ยหยาง เฉียวเฟยเป็นผู้หญิงที่ไม่มีอะไรดีซักอย่าง ถึงจะพอมีความสามารถอยู่บ้าง แต่ก็นั่นแหละ ไม่ได้ทำให้อะไรมันดีขึ้นมาทั้งสิ้น
เมื่อแต่ละภาพที่เห็นเฉียวเฟยกลายเป็นคนเห็นแก่เงินทองมากกว่าศักดิ์ศรีไปเสียแบบนั้น และ เขาก็คงจะเข้าใจแบบที่เข้าใจอยู่ไปเรื่อย ๆ ถ้าเฉียวเฟยเป็นเหมือน intern คนอื่น ๆ แบบที่กลัวเจี่ยหยางเป็นหนูกลัวแมว แทนที่จะยอมจำนนเฉียวเฟยร่วมวงไพบูลย์วิ่งสู้ฟัดกับเดี่ยมือหนึ่งของ IAI อย่างไม่รอช้า พิสูจน์จนเจี่ยหยางต้องเอ่ยคำขอโทษ จนกระทั่งกลายเป็น intern กับ mentor คนสนิท แล้วแปรเปลี่ยนไปเป็นอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้นในที่สุด
เฉียวเฟยเองก็เพิ่งรู้ ... ว่าภายใต้ลุคปิศาจหน้าโหด แท้ที่จริงแล้วเจี่ยหยางคอยเป็นห่วงและผลักดันเธอด้วยความจริงใจอยู่เงียบ ๆ ทุกอย่างที่เขาทำ แรงกดดันที่เขาสร้าง ก็เพื่อทดสอบ และ เพื่อปลุกปั้นเธอให้เป็นที่หนึ่งเหนือใคร เมื่อถอดรหัสได้แบบนั้นการพูดคุยแบบสนิทใจจึงได้เกิดขึ้น แล้วพัฒนาเป็นอะไรบางอย่างที่เธอเองก็ไม่อาจต้านทาน หากก็รู้ว่าเปอร์เซ็นความผิดหวังนั้นมีอยู่เต็มร้อย จะทำอย่างไรได้เล่า เมื่อหัวใจของเขามีผู้หญิงคนหนึ่งครอบครองอยู่แล้วมาตั้ง 10 กว่าปี หรือ ถึงเขาหันมาเธอก็คือคู่ที่ไม่ควร ไม่ว่าจะด้วยฐานะ การศึกษา ชาติตระกูล ความสามารถ เธอล้วนด้อยกว่าเขาทั้งนั้น
แต่แล้วระหว่างที่คิด ระหว่างที่ทำใจ เก็บความรู้สึกของตัวเองไว้อย่างมิดเม้น
เธอไม่เคยรู้เลยว่าสายตาของเขาที่เคยมองเธอด้วยอคติกลายเป็นแว่นตาสีกุหลาบไปเสียแล้ว
ใครจะไปนึกกันว่าคนที่เคร่งครัดในระเบียบแบบแผนทุกอย่าง เมื่อมีความรักจะหัวปักหัวปำได้ขนาดนั้น แต่ด้วยบารมีภาคมารที่สร้างสมมาแต่เก่าก่อนทำให้คนอื่นถึงแม้จะซุบซิบนินทาอยู่บ้าง หากก็เชื่อว่าเฉียวเฟยอยู่ในฐานะ "ศิษย์โปรด" หรือ "ลูกรัก" มากกว่า "คนรัก" ก็ถูกอยู่ส่วนหนึ่งว่าที่จริง เพราะสำหรับเจี่ยหยางเฉียวเฟยคงเป็นทั้งสองอย่าง เจี่ยหยางเป็นคนมาตรฐานการทำงานสูง ดังนั้นเมื่อเจอคนที่มีศักยภาพ ขยัน และ ตั้งใจ ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมโปรดปราน อย่างนี้มันค่อนน่าผลักดันหน่อย แถมเฉียวเฟยก็ทำได้ดัง "คาดหมาย" บางทีก็ "เกินคาดหมาย" ไปเสียอีก และจากความชื่นชมอันนั้นมันก็เปลี่ยนสภาพเป็นอย่างอื่น
บางทีเจี่ยหยางก็ไม่เข้าใจตัวเอง ว่าจะโมโหโกรธาอะไรนักหนาเมื่อเฉียวเฟยอยู่ไกลตา ที่ใกล้ชิดกับผู้ชายคนอื่น ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะมีทีท่าอย่างไรกับเธอหรือไม่ ความปักใจที่เขาเคยมีกับเสี่ยวฮัวมันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไม่รู้ตัวเลยว่าไดอารี่จุกก็อกไวน์ที่แอบเขียนเรื่องราวระหว่างตัวเองกับเสี่ยวฮัวมันกลายเป็นเรื่องของเด็กฝึกงานในสังกัดตั้งแต่เมื่อไหร่ และ นานเท่าใด ไม่รู้ตัวว่านานจนเก็บได้หนึ่งกล่องเก็บกีต้าร์ แล้วก็ยังไม่รู้ตัวอีกว่าเผยความลับความในใจเรื่องราวส่วนตัวไปมากมายเพียงไหนพูดคุยและปรึกษาสัพเพเหระไม้จิ้มฟันยันเรือรบกับผู้หญิงอ่อนอาวุโสกว่าคนหนึ่ง คนที่เคยนึกอคติว่าไม่มีทางเป็นล่ามได้ คนที่เคยนึกดูถูกเหยียดหยามทั้งต่อหน้าและลับหลังตลอดมา
ด้วยความที่นึกว่าเขายังปักใจอยู่กับรักแรก ด้วยความที่รู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเขาเลยซักนิด
ใจของเฉียวเฟยจึงมีแต่คำอวยพร คำยินดี และ ไม่เคยคิดเป็นอื่นแม้ท่าทางของเจี่ยหยางจะสื่อมากแล้วก็ตาม
เธอก็ยังคิดว่าทุกอย่างที่เขาทำก็เพราะเธอเด็กใต้สังกัดคน perfectionist อย่างเขานั่นเองไม่มีอย่างอื่น
สิ่งที่ทำได้ก็คงเป็นเพียงการแอบรักเท่านั้นเอง เธอจึงทำแม้กระทั่งส่งจดหมายน้อยของเสี่ยวฮัวให้แก่เจี่ยหยาง เพียงแค่เขาสมหวัง ... เท่านั้นก็เพียงพอสำหรับเธอแล้ว หากจดหมายน้อยฉบับนั้นนั่นเองแหละที่ส่งผลกลับตาลปัตร ... คนที่สมควรอยู่ด้วยกันก็ควรอยู่ด้วยกัน คนที่สมควรจากกันก็สมควรที่จะจากกันและตัดให้ขาด และ หากเจี่ยหยางจะต้องเลือก เขาก็เลือกที่จะอยู่กับเส้นทางสายปัจจุบัน ใครสักคนที่ทำให้เขาคิดถึงคนึงหา มีความสุข ค้นพบมิติใหม่ของความเป็นตัวเอง มิติของความเหลวไหลไร้สาระในบางครั้ง มิติแห่งความอ่อนโยนขี้เล่นในบางที ความโมโหทุ่มเถียง จริงจัง ทุกอย่างเกิดขึ้นเมื่อเฉียวเฟยเข้ามาในชีวิต
ชีวิตนี้เลยกลายเป็นสีกุหลาบขึ้นมาทันที
la vie en rose
แต่ก็กุหลาบอยู่ไม่ได้กี่พักก็ออกทะเล .... ละแหละ เสียดายว่าปูพื้นเรื่องนัวมาได้น่าสนใจ แต่ดันมาตกม้าตายช่วงครึ่งเรื่องหลัง ที่ชักจะไม่เข้ากับ Theme งานล่ามเท่าไหร่ กลายเป็นดราม่า typical แม่ผัวลูกสะใภ้ นางร้าย เข้าใจผิด ไปจนถึงเนื้องอกในสมอง .... ว่าไปนั่น ดังนั้นดูเหมือนตัวเรื่องก็น่าจะสมบูรณ์ได้ตั้งแต่ครึ่งเรื่องน่ะนะ ที่เหลือก็ .... ว่ากันไปตามความอดทนของคนดูละกัน (ฮา)
จบมันห้วน ๆ แต่เพียงเท่านี้แหละ
ละครจีน les interprètes (กึ่งคุยกึ่งวิพากษ์) : ถอดรหัสใจไขภาษารัก ... ที่หักมุมตอนท้าย (สปอยด์)
Un rire qui se perd sur sa bouche
Eyes that gaze into mine,
A smile that is lost on his lips
กับรอยยิ้มที่แอบซ่อนไว้บนริมฝีปาก
ยามแรกเฉียวเฟยก็คงนึกกระมังว่าผู้ชายหน้าตาดีคนนั้นก็คงมองมาอย่างเป็นมิตร ไม่เคยคิดว่าสิ่งนั้นคือการจับผิด และ ไม่ได้คิดไปถึงว่ารอยยิ้มนั้นจะกลายเป็นการยิ้มเยาะไปได้ เธอคือเด็กสาวยังไม่ทันจะขึ้นปีสามดี ได้โอกาสรับทุนนักเรียนแลกเปลี่ยนมาร่ำเรียนเขียนอ่านที่มหานครซูริคนี้ เอาตามจริงแล้วฐานะอย่างเธอเพียงแค่เท้าแตะสนามบินยังยากเลย แถมผลการเรียนก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร แต่เดชะบาป .... ที่ต้องมาพบล่ามภาษาฝรั่งเศสมือหนึ่งที่ทั้งเนี้ยบ ทั้งเฉียบทั้งละเอียดอย่าง เฉิงเจี่ยหยาง หล่อฉลาดมาดเท่กิ๊บเก๋โปรไฟล์เริ่ด และ พูดตรงปากคอเราะรายเหมือนกรรไกรคมกริบ
วาจาเผ็ดร้อนทิ่มแทงเฉียวเฟยให้เจ็บแสบไปถ้วนทั่วทางสรรพางค์กาย แต่จะว่ากระไรได้ .... เธอผิดจริง และ ด้วยความที่เถียงคนไม่รู้เหนือรู้ใต้ นอกจากจะเป็นล่ามแล้วยังเป็นลูกชายท่านทูตเสียอีก งานนี้จึงมีแต่พังกับพัง เสียกับเสีย เธอควรจะได้อยู่ที่สวิสอีกหนึ่งเทอม แต่เฟลโลวชิปต้องจบลงเพราะบทสนทนาถึงพริกถึงขิงระหว่างเธอกับเขา แต่เอาล่ะ ... เธอจะใช้สิ่งนี้นี่แหละเป็นแรงผลักดันให้ไปถึงจุดหมาย "งานล่าม" ที่ใฝ่ฝัน ต้องไปให้ถึงให้ได้ จนกระทั่ง 6 ปีให้หลัง เฉียวเฟยสำเร็จปริญญาโทด้วยคะแนนสูงลิ่วและเข้าเป็น intern ใน IAI (International Advanced Interpreters) โดยไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่
เดชะบาปอีกครั้งที่ทำให้เฉียวเฟยเป็น intern ภายใต้ mentor เจ้าเดิมเพิ่มเติมคือความโหดอย่างเจี่ยหยาง ที่คืนก่อนหน้าในฐานะลูกค้าและซอมเมอลิเย่ร์ก็เริ่มจะจำ ๆ คุ้น ๆ รูปลักษณะกันมาบ้าง แล้วพอมาได้มาถกเถียงในระยะเวลาใกล้ ๆ กัน ก็เลยเกิดระลึกชาติขึ้นไปมาได้ถนัดถนี่ว่าผู้หญิงสาวมาก สวยมาก เก่งมาก คนนี้คือคนเดียวกับยัยเด็กกะโปโลที่แปลภาษาฝรั่งเศสมั่วซั่วที่ซูริค .... เท่านั้นเอง องค์พี่ก็ลงประทับ ตามด้วยความเข้าใจผิดเป็นพรวนใหญ่ จนกระทั่งในสายตาของเจี่ยหยาง เฉียวเฟยเป็นผู้หญิงที่ไม่มีอะไรดีซักอย่าง ถึงจะพอมีความสามารถอยู่บ้าง แต่ก็นั่นแหละ ไม่ได้ทำให้อะไรมันดีขึ้นมาทั้งสิ้น
เมื่อแต่ละภาพที่เห็นเฉียวเฟยกลายเป็นคนเห็นแก่เงินทองมากกว่าศักดิ์ศรีไปเสียแบบนั้น และ เขาก็คงจะเข้าใจแบบที่เข้าใจอยู่ไปเรื่อย ๆ ถ้าเฉียวเฟยเป็นเหมือน intern คนอื่น ๆ แบบที่กลัวเจี่ยหยางเป็นหนูกลัวแมว แทนที่จะยอมจำนนเฉียวเฟยร่วมวงไพบูลย์วิ่งสู้ฟัดกับเดี่ยมือหนึ่งของ IAI อย่างไม่รอช้า พิสูจน์จนเจี่ยหยางต้องเอ่ยคำขอโทษ จนกระทั่งกลายเป็น intern กับ mentor คนสนิท แล้วแปรเปลี่ยนไปเป็นอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้นในที่สุด
เฉียวเฟยเองก็เพิ่งรู้ ... ว่าภายใต้ลุคปิศาจหน้าโหด แท้ที่จริงแล้วเจี่ยหยางคอยเป็นห่วงและผลักดันเธอด้วยความจริงใจอยู่เงียบ ๆ ทุกอย่างที่เขาทำ แรงกดดันที่เขาสร้าง ก็เพื่อทดสอบ และ เพื่อปลุกปั้นเธอให้เป็นที่หนึ่งเหนือใคร เมื่อถอดรหัสได้แบบนั้นการพูดคุยแบบสนิทใจจึงได้เกิดขึ้น แล้วพัฒนาเป็นอะไรบางอย่างที่เธอเองก็ไม่อาจต้านทาน หากก็รู้ว่าเปอร์เซ็นความผิดหวังนั้นมีอยู่เต็มร้อย จะทำอย่างไรได้เล่า เมื่อหัวใจของเขามีผู้หญิงคนหนึ่งครอบครองอยู่แล้วมาตั้ง 10 กว่าปี หรือ ถึงเขาหันมาเธอก็คือคู่ที่ไม่ควร ไม่ว่าจะด้วยฐานะ การศึกษา ชาติตระกูล ความสามารถ เธอล้วนด้อยกว่าเขาทั้งนั้น
เธอไม่เคยรู้เลยว่าสายตาของเขาที่เคยมองเธอด้วยอคติกลายเป็นแว่นตาสีกุหลาบไปเสียแล้ว
ใครจะไปนึกกันว่าคนที่เคร่งครัดในระเบียบแบบแผนทุกอย่าง เมื่อมีความรักจะหัวปักหัวปำได้ขนาดนั้น แต่ด้วยบารมีภาคมารที่สร้างสมมาแต่เก่าก่อนทำให้คนอื่นถึงแม้จะซุบซิบนินทาอยู่บ้าง หากก็เชื่อว่าเฉียวเฟยอยู่ในฐานะ "ศิษย์โปรด" หรือ "ลูกรัก" มากกว่า "คนรัก" ก็ถูกอยู่ส่วนหนึ่งว่าที่จริง เพราะสำหรับเจี่ยหยางเฉียวเฟยคงเป็นทั้งสองอย่าง เจี่ยหยางเป็นคนมาตรฐานการทำงานสูง ดังนั้นเมื่อเจอคนที่มีศักยภาพ ขยัน และ ตั้งใจ ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมโปรดปราน อย่างนี้มันค่อนน่าผลักดันหน่อย แถมเฉียวเฟยก็ทำได้ดัง "คาดหมาย" บางทีก็ "เกินคาดหมาย" ไปเสียอีก และจากความชื่นชมอันนั้นมันก็เปลี่ยนสภาพเป็นอย่างอื่น
บางทีเจี่ยหยางก็ไม่เข้าใจตัวเอง ว่าจะโมโหโกรธาอะไรนักหนาเมื่อเฉียวเฟยอยู่ไกลตา ที่ใกล้ชิดกับผู้ชายคนอื่น ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะมีทีท่าอย่างไรกับเธอหรือไม่ ความปักใจที่เขาเคยมีกับเสี่ยวฮัวมันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไม่รู้ตัวเลยว่าไดอารี่จุกก็อกไวน์ที่แอบเขียนเรื่องราวระหว่างตัวเองกับเสี่ยวฮัวมันกลายเป็นเรื่องของเด็กฝึกงานในสังกัดตั้งแต่เมื่อไหร่ และ นานเท่าใด ไม่รู้ตัวว่านานจนเก็บได้หนึ่งกล่องเก็บกีต้าร์ แล้วก็ยังไม่รู้ตัวอีกว่าเผยความลับความในใจเรื่องราวส่วนตัวไปมากมายเพียงไหนพูดคุยและปรึกษาสัพเพเหระไม้จิ้มฟันยันเรือรบกับผู้หญิงอ่อนอาวุโสกว่าคนหนึ่ง คนที่เคยนึกอคติว่าไม่มีทางเป็นล่ามได้ คนที่เคยนึกดูถูกเหยียดหยามทั้งต่อหน้าและลับหลังตลอดมา
ใจของเฉียวเฟยจึงมีแต่คำอวยพร คำยินดี และ ไม่เคยคิดเป็นอื่นแม้ท่าทางของเจี่ยหยางจะสื่อมากแล้วก็ตาม
เธอก็ยังคิดว่าทุกอย่างที่เขาทำก็เพราะเธอเด็กใต้สังกัดคน perfectionist อย่างเขานั่นเองไม่มีอย่างอื่น
สิ่งที่ทำได้ก็คงเป็นเพียงการแอบรักเท่านั้นเอง เธอจึงทำแม้กระทั่งส่งจดหมายน้อยของเสี่ยวฮัวให้แก่เจี่ยหยาง เพียงแค่เขาสมหวัง ... เท่านั้นก็เพียงพอสำหรับเธอแล้ว หากจดหมายน้อยฉบับนั้นนั่นเองแหละที่ส่งผลกลับตาลปัตร ... คนที่สมควรอยู่ด้วยกันก็ควรอยู่ด้วยกัน คนที่สมควรจากกันก็สมควรที่จะจากกันและตัดให้ขาด และ หากเจี่ยหยางจะต้องเลือก เขาก็เลือกที่จะอยู่กับเส้นทางสายปัจจุบัน ใครสักคนที่ทำให้เขาคิดถึงคนึงหา มีความสุข ค้นพบมิติใหม่ของความเป็นตัวเอง มิติของความเหลวไหลไร้สาระในบางครั้ง มิติแห่งความอ่อนโยนขี้เล่นในบางที ความโมโหทุ่มเถียง จริงจัง ทุกอย่างเกิดขึ้นเมื่อเฉียวเฟยเข้ามาในชีวิต
la vie en rose
แต่ก็กุหลาบอยู่ไม่ได้กี่พักก็ออกทะเล .... ละแหละ เสียดายว่าปูพื้นเรื่องนัวมาได้น่าสนใจ แต่ดันมาตกม้าตายช่วงครึ่งเรื่องหลัง ที่ชักจะไม่เข้ากับ Theme งานล่ามเท่าไหร่ กลายเป็นดราม่า typical แม่ผัวลูกสะใภ้ นางร้าย เข้าใจผิด ไปจนถึงเนื้องอกในสมอง .... ว่าไปนั่น ดังนั้นดูเหมือนตัวเรื่องก็น่าจะสมบูรณ์ได้ตั้งแต่ครึ่งเรื่องน่ะนะ ที่เหลือก็ .... ว่ากันไปตามความอดทนของคนดูละกัน (ฮา)