ผมริ่มเล่นเวทเทรนนิ่งมาได้ประมาณ ปีครึ่งครับ จากคนรูปร่างผอม สูง 172 หนัก 59 ตอนนี้น้ำหนักเพิ่มมาเป็น69กิโลกรัม
ก็ไม่ได้มีกล้ามหรือล่ำอะไรมากมายหรอกครับ แต่มองดูตัวเองในกระจกแล้ว คิดว่าไม่อ้วน ไม่ผอม
ก่อนมาเล่นเวท ตั้งเป้าเอาไว้ว่าอยากจะมีกล้ามล่ำๆ บึ้กๆ หนักซัก 80-90 กิโลแบบนักเพาะกายอาชีพไปเลย เห็นThe Rock ใส่เสื้อUnder Armour โชว์กล้ามแขนกับหน้าอกในหนังแล้วมันดูเท่ห์สุดๆ แต่พอมาถึงตอนนี้ ผมรู้แล้วว่า การที่มีหุ่นล่ำบึ้ก กล้ามเป็นมัดๆ บางทีมันก็ไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคนรวมถึงผมด้วย
เหตุผลอย่างแรกที่เห็นในตอนนี้คือ ผมเป็นคนที่ชอบใส่เสื้อผ้าแนวพอดีตัว หรือslim fit เสื้อผ้าทำงานของผม จะเป็นเสื้อเชิ้ต กางเกงแสลค รองเท้าหนัง ใส่สูทบ้างเวลาประชุมส่วนเสื้อผ้าใส่ออกนอกบ้านในวันหยุด ก็จะชอบใส่ยีน หรือกางเกงchino ทรงskinny หรือกระบอกเล็ก แล้วแต่วัน ถ้าเสื้อ จะใส่size M ส่วนกางเกงจะใส่เอว30นิ้ว
ซึ่งในช่วงหลังๆ ผมรู้สึกว่ามีปัญหากับการใส่เสื้อผ้า คือ ถ้าเป็นเสื้อเชิ้ตทรงslim size M เวลาใส่แล้วจะรู้สึกตึงๆแถวไหล่ และปีก(lats)
เวลาต้องเอื้อมมือไปหยิบของด้านหน้า จะรู้สีกได้เลยว่าเสื้อมันรั้งตรงไหล่และปีกไว้ พอซื้อเสื้อใหญ่ขึ้นsizeนึง เป็นsize L ก็ปรากฏว่าช่วงไหล่ กับปีกพอดี
แต่ด้านข้างลำตัวช่วงต่ำจากหน้าอกลงมาถึงเอว มันจะเหลือ
ส่วนกางเกงแบบskinny มันจะติดช่วงต้นขา (Quad) ใส่แล้วมันเต็มขาพอดี ส่งกระจกแล้วมันดูตันๆ ไม่สวยเช่นกัน ถ้าไม่อยากให้ช่วงต้นขาแน่น ก็ต้องใส่เอว 32 แต่ช่วงเอวจะหลวม พอเอาเสื้อเข้าในกางเกงแล้วรัดเข็มขัด ช่วงเอวมันจะย่น
เหตุผลอื่น คือเรื่องอาหารและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต เวลาจะไปทานอาหารนอกบ้านกับครอบครัวทีไรจะเลือกอาหารค่อนข้างยาก ใครสั่งอะไรมาก็กินกับเค้าไม่ค่อยได้ เพราะมัวแต่ห่วงเรื่อง คาร์บ กับไขมัน ตอนเริ่มเล่นใหม่ๆ ผมทะเลาะกับภรรยาประจำ เพราะเคร่งมาก มัวแต่กินอกไก่กับสลัดผัก ภรรยาชวนออกไปทานข้าวนอกบ้านก็มักจะปฏิเสธ
เมื่อก่อนเคยคิดว่าในวงการเล่นกล้าม พวกที่เก่งคือ พวกที่สร้างกล้ามจนได้หุ่นแบบนักเพาะกาย ส่วนพวกเพาะกายสไตล์นายแบบ คือพวกที่เริ่มต้น ยังไม่เก่งพอจะเป็นนักเพาะกายระดับประกวด
มาวันนี้ผมถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่ บางคนเค้าสามารถทำให้กล้ามใหญ่กว่านั้นได้ แต่เค้าเลือกที่จะรักษาขนาดร่างกายเค้าไว้ที่แค่นั้นเพราะคนที่เป็นนายแบบต้องใส่เสื้อผ้าในการเดินแบบ ถ่ายแบบ
แต่การแต่งตัวแบบมีสไตล์ กับการมีกล้ามใหญ่ๆ มันไปด้วยกันไม่ค่อยได้ นักเพาะกายจะดูดีที่สุดเวลาถอดเสื้อ หรือใส่เสื้อกล้าม แต่ถ้าให้มาใส่ชุดธรรมดาผมว่าดูไม่ดีเลย
นี่คือตัวอย่าง Jay Cutler กับ Ronnie Coleman เป็นMr. Olympia ทั้งคู่
เล่นกล้ามแล้วใส่ยีนส์ Skinny
และในตอนนี้นี่คือรูปร่างที่ผมอยากจะได้ครับ
CR7 กับ Hugh Jackman ใส่เสื้อก็หล่อ ถอดเสื้อก็ดูเท่ห์
ที่พูดมาไม่ใช่ว่าองุ่นเปรี้ยวหรืออิจฉาคนกล้ามใหญ่นะครับ ผมยอมรับว่าไม่มีความสามารถสร้างกล้ามให้ใหญ่เท่านักเพาะกายได้หรอก แต่ถ้าผมมีพรวิเศษสามารถเสกให้ตัวเองมีรูปร่างแบบไหนก็ได้ในพริบตา โดยที่ไม่ต้องออกกำลังกาย และควบคุมอาหาร ผมก็คงไม่เลือกหุ่นแบบมิสเตอร์โอลิมเปียหรอก ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีนะครับ แต่มันไม่เหมาะกับผม
สุดท้ายนี้ ขอย้ำอีกครั้งว่าไม่มีมีอคติหรือคิดว่าการมีหุ่นแบบนักเพาะกายมันไม่ดีนะครับ จะดีหรือไม่ดีแล้วแต่ความชอบ มองอีกด้านการมีรูปร่างแบบนักเพาะกาย มันก็ดูสวยงาม บึกบึน น่าเกรงขามดี ถ้าใครไม่ได้สนใจเรื่องเสื้อผ้าหรือ ถ้าใครมีเป้าหมายอยากเป็นนักเพาะกายอาชีพ หรือเป็นเทรนเนอร์เพาะกาย ก็พยายามต่อไปครับ
ส่วนผมก็คงยกเวทต่อไปเหมือนเดิม แต่คงเน้นไปทางความคมชัดและความแข็งแรงมากกว่าขนาด เป้าหมายคืออยากทำท่า Human Flag ให้ได้ครับ
สรุป สิ่งที่คิดได้หลังจากเล่นเวท1ปีครึ่ง คือ
1. ถ้าไม่ได้มีอาชีพเป็นนายแบบ บางทีการพยายามมีรูปร่างที่ดี มันก็ไม่คุ้มกับความสุขบางอย่างที่ต้องเสียไป
ผมเป็นคนชอบทาน เมื่อก่อนร้านไหนอร่อย ตระเวนชิมไปหมด พอมาเล่นกล้าม ความสุขจากการได้กินของอร่อยหาย ไปเลือกกินจนคนรอบข้างอึดอัด บางครั้งกลายเป็นคนขี้หงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย ถ้าหุ่นดีแล้วมีคนมาจ้างไปถ่ายแบบ ได้เงินค่าตอบแทน ก็พอชดเชยความสุขที่เสียไปได้ นี่หุ่นดีก็ไม่ได้ถอดเสื้อไปโชว์ใคร จะมีความสุขก็ตอนถอดเสื้อส่องกระจกแค่นั้น
2. อย่าเคร่งมากจนคนรอบข้างอึดอัด อย่างที่ผมเล่าไปว่า เคร่งมากจนทะเลาะกับภรรยาเป็นประจำเพราะไม่อยากออกไปกินข้าวนอกบ้าน เมื่อก่อนชอบทานแกงเผ็ดเนื้อฝีมือแม่มากๆ พอมาเล่นกล้าม ก็ไม่กล้าทานเพราะกลัวกล้ามไม่ชัด วันไหนเล่นกล้ามเสร็จแล้วต้องไปงานสังคมต่อ เพื่อนรินเบียร์ให้แก้วนึงก็นั่งเครียดละ ไม่อยากดื่ม กลัวที่เล่นมาวันนั้นจะเสียเปล่า จนเพื่อนทักว่าเป็นไร ดูไม่ค่อยสนุก วันเกิดหลาน หลานเอาเค้กมาให้ ก็ไม่อยากกิน มานั่งคิดย้อนไปอีกที รู้สึกผิดต่อคนรอบข้างเหมือนกันครับ
3. รูปร่างที่ดี มีพื้นฐานมาจากสุขภาพจิตที่ดีด้วย หลังๆไม่ได้ซีเรียสเรื่องรูปร่างและการทานอาหารมากนัก แต่รู้สึกว่าร่างกายพัฒนาได้เร็วกว่าเมื่อก่อน น่าจะมาจากสุขภาพจิตดีขึ้น จากการได้ทานของอร่อยตามใจปากบ้าง จิบเบียร์นั่งดูบอล (แค่ขวดเดียว ไม่ได้ดื่มจนเมา)เดือนละ1-2ครั้งอย่างที่เคยทำเมื่อก่อน ไม่ต้องมาเครียดเรื่องโภชนาการมากมายนัก
4. กล้ามใหญ่ ไม่ได้ทำให้มีความสุข ขอแค่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่เราอยากจะเป็น มีสุขภาพที่แข็งแรง แค่นี้ก็พอใจแล้วครับ
1ปี 6 เดือนกับการเล่นเวทเทรนนิ่ง และทัศนคติที่เปลี่ยนไป
ก็ไม่ได้มีกล้ามหรือล่ำอะไรมากมายหรอกครับ แต่มองดูตัวเองในกระจกแล้ว คิดว่าไม่อ้วน ไม่ผอม
ก่อนมาเล่นเวท ตั้งเป้าเอาไว้ว่าอยากจะมีกล้ามล่ำๆ บึ้กๆ หนักซัก 80-90 กิโลแบบนักเพาะกายอาชีพไปเลย เห็นThe Rock ใส่เสื้อUnder Armour โชว์กล้ามแขนกับหน้าอกในหนังแล้วมันดูเท่ห์สุดๆ แต่พอมาถึงตอนนี้ ผมรู้แล้วว่า การที่มีหุ่นล่ำบึ้ก กล้ามเป็นมัดๆ บางทีมันก็ไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคนรวมถึงผมด้วย
เหตุผลอย่างแรกที่เห็นในตอนนี้คือ ผมเป็นคนที่ชอบใส่เสื้อผ้าแนวพอดีตัว หรือslim fit เสื้อผ้าทำงานของผม จะเป็นเสื้อเชิ้ต กางเกงแสลค รองเท้าหนัง ใส่สูทบ้างเวลาประชุมส่วนเสื้อผ้าใส่ออกนอกบ้านในวันหยุด ก็จะชอบใส่ยีน หรือกางเกงchino ทรงskinny หรือกระบอกเล็ก แล้วแต่วัน ถ้าเสื้อ จะใส่size M ส่วนกางเกงจะใส่เอว30นิ้ว
ซึ่งในช่วงหลังๆ ผมรู้สึกว่ามีปัญหากับการใส่เสื้อผ้า คือ ถ้าเป็นเสื้อเชิ้ตทรงslim size M เวลาใส่แล้วจะรู้สึกตึงๆแถวไหล่ และปีก(lats)
เวลาต้องเอื้อมมือไปหยิบของด้านหน้า จะรู้สีกได้เลยว่าเสื้อมันรั้งตรงไหล่และปีกไว้ พอซื้อเสื้อใหญ่ขึ้นsizeนึง เป็นsize L ก็ปรากฏว่าช่วงไหล่ กับปีกพอดี
แต่ด้านข้างลำตัวช่วงต่ำจากหน้าอกลงมาถึงเอว มันจะเหลือ
ส่วนกางเกงแบบskinny มันจะติดช่วงต้นขา (Quad) ใส่แล้วมันเต็มขาพอดี ส่งกระจกแล้วมันดูตันๆ ไม่สวยเช่นกัน ถ้าไม่อยากให้ช่วงต้นขาแน่น ก็ต้องใส่เอว 32 แต่ช่วงเอวจะหลวม พอเอาเสื้อเข้าในกางเกงแล้วรัดเข็มขัด ช่วงเอวมันจะย่น
เหตุผลอื่น คือเรื่องอาหารและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต เวลาจะไปทานอาหารนอกบ้านกับครอบครัวทีไรจะเลือกอาหารค่อนข้างยาก ใครสั่งอะไรมาก็กินกับเค้าไม่ค่อยได้ เพราะมัวแต่ห่วงเรื่อง คาร์บ กับไขมัน ตอนเริ่มเล่นใหม่ๆ ผมทะเลาะกับภรรยาประจำ เพราะเคร่งมาก มัวแต่กินอกไก่กับสลัดผัก ภรรยาชวนออกไปทานข้าวนอกบ้านก็มักจะปฏิเสธ
เมื่อก่อนเคยคิดว่าในวงการเล่นกล้าม พวกที่เก่งคือ พวกที่สร้างกล้ามจนได้หุ่นแบบนักเพาะกาย ส่วนพวกเพาะกายสไตล์นายแบบ คือพวกที่เริ่มต้น ยังไม่เก่งพอจะเป็นนักเพาะกายระดับประกวด
มาวันนี้ผมถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่ บางคนเค้าสามารถทำให้กล้ามใหญ่กว่านั้นได้ แต่เค้าเลือกที่จะรักษาขนาดร่างกายเค้าไว้ที่แค่นั้นเพราะคนที่เป็นนายแบบต้องใส่เสื้อผ้าในการเดินแบบ ถ่ายแบบ
แต่การแต่งตัวแบบมีสไตล์ กับการมีกล้ามใหญ่ๆ มันไปด้วยกันไม่ค่อยได้ นักเพาะกายจะดูดีที่สุดเวลาถอดเสื้อ หรือใส่เสื้อกล้าม แต่ถ้าให้มาใส่ชุดธรรมดาผมว่าดูไม่ดีเลย
นี่คือตัวอย่าง Jay Cutler กับ Ronnie Coleman เป็นMr. Olympia ทั้งคู่
เล่นกล้ามแล้วใส่ยีนส์ Skinny
และในตอนนี้นี่คือรูปร่างที่ผมอยากจะได้ครับ
CR7 กับ Hugh Jackman ใส่เสื้อก็หล่อ ถอดเสื้อก็ดูเท่ห์
ที่พูดมาไม่ใช่ว่าองุ่นเปรี้ยวหรืออิจฉาคนกล้ามใหญ่นะครับ ผมยอมรับว่าไม่มีความสามารถสร้างกล้ามให้ใหญ่เท่านักเพาะกายได้หรอก แต่ถ้าผมมีพรวิเศษสามารถเสกให้ตัวเองมีรูปร่างแบบไหนก็ได้ในพริบตา โดยที่ไม่ต้องออกกำลังกาย และควบคุมอาหาร ผมก็คงไม่เลือกหุ่นแบบมิสเตอร์โอลิมเปียหรอก ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีนะครับ แต่มันไม่เหมาะกับผม
สุดท้ายนี้ ขอย้ำอีกครั้งว่าไม่มีมีอคติหรือคิดว่าการมีหุ่นแบบนักเพาะกายมันไม่ดีนะครับ จะดีหรือไม่ดีแล้วแต่ความชอบ มองอีกด้านการมีรูปร่างแบบนักเพาะกาย มันก็ดูสวยงาม บึกบึน น่าเกรงขามดี ถ้าใครไม่ได้สนใจเรื่องเสื้อผ้าหรือ ถ้าใครมีเป้าหมายอยากเป็นนักเพาะกายอาชีพ หรือเป็นเทรนเนอร์เพาะกาย ก็พยายามต่อไปครับ
ส่วนผมก็คงยกเวทต่อไปเหมือนเดิม แต่คงเน้นไปทางความคมชัดและความแข็งแรงมากกว่าขนาด เป้าหมายคืออยากทำท่า Human Flag ให้ได้ครับ
สรุป สิ่งที่คิดได้หลังจากเล่นเวท1ปีครึ่ง คือ
1. ถ้าไม่ได้มีอาชีพเป็นนายแบบ บางทีการพยายามมีรูปร่างที่ดี มันก็ไม่คุ้มกับความสุขบางอย่างที่ต้องเสียไป
ผมเป็นคนชอบทาน เมื่อก่อนร้านไหนอร่อย ตระเวนชิมไปหมด พอมาเล่นกล้าม ความสุขจากการได้กินของอร่อยหาย ไปเลือกกินจนคนรอบข้างอึดอัด บางครั้งกลายเป็นคนขี้หงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย ถ้าหุ่นดีแล้วมีคนมาจ้างไปถ่ายแบบ ได้เงินค่าตอบแทน ก็พอชดเชยความสุขที่เสียไปได้ นี่หุ่นดีก็ไม่ได้ถอดเสื้อไปโชว์ใคร จะมีความสุขก็ตอนถอดเสื้อส่องกระจกแค่นั้น
2. อย่าเคร่งมากจนคนรอบข้างอึดอัด อย่างที่ผมเล่าไปว่า เคร่งมากจนทะเลาะกับภรรยาเป็นประจำเพราะไม่อยากออกไปกินข้าวนอกบ้าน เมื่อก่อนชอบทานแกงเผ็ดเนื้อฝีมือแม่มากๆ พอมาเล่นกล้าม ก็ไม่กล้าทานเพราะกลัวกล้ามไม่ชัด วันไหนเล่นกล้ามเสร็จแล้วต้องไปงานสังคมต่อ เพื่อนรินเบียร์ให้แก้วนึงก็นั่งเครียดละ ไม่อยากดื่ม กลัวที่เล่นมาวันนั้นจะเสียเปล่า จนเพื่อนทักว่าเป็นไร ดูไม่ค่อยสนุก วันเกิดหลาน หลานเอาเค้กมาให้ ก็ไม่อยากกิน มานั่งคิดย้อนไปอีกที รู้สึกผิดต่อคนรอบข้างเหมือนกันครับ
3. รูปร่างที่ดี มีพื้นฐานมาจากสุขภาพจิตที่ดีด้วย หลังๆไม่ได้ซีเรียสเรื่องรูปร่างและการทานอาหารมากนัก แต่รู้สึกว่าร่างกายพัฒนาได้เร็วกว่าเมื่อก่อน น่าจะมาจากสุขภาพจิตดีขึ้น จากการได้ทานของอร่อยตามใจปากบ้าง จิบเบียร์นั่งดูบอล (แค่ขวดเดียว ไม่ได้ดื่มจนเมา)เดือนละ1-2ครั้งอย่างที่เคยทำเมื่อก่อน ไม่ต้องมาเครียดเรื่องโภชนาการมากมายนัก
4. กล้ามใหญ่ ไม่ได้ทำให้มีความสุข ขอแค่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่เราอยากจะเป็น มีสุขภาพที่แข็งแรง แค่นี้ก็พอใจแล้วครับ