ตอนที่ 1: Bangkok – Dubai – Zurich – Luzern
http://ppantip.com/topic/35320750
ตอนที่ 2: Luzern - Zug – Kussnacht – Interlaken – Bern
http://ppantip.com/topic/35323829
ตอนที่ 3: Schynige Platte – Lauterbrunnen - Murren – Wengen
http://ppantip.com/topic/35332007
ตอนที่ 4: Grindelwald – First - Vevey – Montreux
http://ppantip.com/topic/35338489
ไปเที่ยวสวิส อย่าคิดมาก ตอนที่ 5: Zermatt – Sunnegga – St. Moritz
วันที่เจ็ดของการเดินทาง ออกจาก Grindelwald เพื่อเดินทางต่อไปยังแซร์มัตต์ (Zermatt) บ้านของยอดเขามัทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn) รูปข้างกล่องช็อกโกแล๊ต Toblerone ที่หลายคนเคยเห็น
(cr. ภาพ
http://ppantip.com/topic/32051220)
ถึง Zermatt เดินไปตามถนนสายหลัก ผู้คนคึกคัก เมืองเล็กๆ น่ารัก
เดินแค่สิบนาทีก็ถึงโรงแรมที่จองไว้ ครั้งนี้จองเป็นห้อง 2 เตียงสองห้อง (ที่ผ่านมาบางครั้งก็เป็นห้อง 4 เตียง หรือไม่ก็เป็น Hostel) ได้ห้องติดกันด้านนอกเป็นระเบียงที่เดินถึงกัน สามารถมองเห็น Matterhorn ได้ชัดเจน เพียงแต่ตอนที่ไปถึงนั้นมีเมฆบังอยู่
วางกระเป๋าแล้วเดินกลับไปทางสถานีรถไฟ เข้าร้าน Coop ที่อยู่ตรงข้ามสถานี ดูอาหารแล้วก็ซ้ำๆ กับที่กินมาทุกวัน อ้อ! ลืมบอกไปว่าที่พวกผมสามารถกินอะไรง่ายๆได้เป็นเพราะมีพริกขี้หนูสดติดมาจากเมืองไทย เวลาจะกินอะไรก็แค่เอาพริกมาแนมแค่นี้ก็แซ่บแล้ว ครั้งนี้เปลี่ยนใจซื้อแค่กล้วยหอมแล้วเข้าไปหาอะไรกินในร้านสีเหลืองแดงที่ชื่อร้านขึ้นต้นด้วยตัวเอ็ม (คงจะเดาได้นะว่าร้านอะไร)
ทริปสวิสครั้งนี้พยากรณ์อากาศถ้าไม่ Thunderstorm (ฝนตกหนัก) ก็ Cloudy (มีเมฆมาก) ฝนที่ Zermatt ตกปรอยๆ มาตั้งแต่ตอนที่ลงรถไฟแล้ว โอกาสที่จะขึ้นยอด Matterhorn ก็คงจะหมดสิทธิ์อีกเช่นเคย ต้องปรับแผนใหม่ ลูกชายเสนอให้ขึ้นเขาไปที่ Sunnegga เพราะว่าใช้เวลาเดินทางไม่มาก ค่าขึ้นก็ไม่แพง ถ้าอากาศบนนั้นไม่ดีก็ไม่เสียดายค่าตั๋ว แต่ถ้าอากาศดีก็จะได้เห็นยอด Matterhorn แบบเต็มๆ
จาก Zermatt ขึ้นไป Sunnegga แทนที่จะใช้ Cable Car เขาใช้รถรางวิ่งในอุโมงค์ที่เจาะจากตีนเขาขึ้นไปถึง Sunnegga ระหว่างที่เดินไปสถานีรถรางอุโมงค์ ฝนก็เริ่มตกหนักขึ้น ดีนะที่ยืมร่มสีแดงมาจากโรงแรม
ค่าตั๋วคนละ 12 ฟรัง (หลังใช้ Swiss Pass ลด 50%) ลูกชายซื้อตั๋วแค่ขาเดียว (8 ฟรัง) เพราะขากลับจะเดินลง (ใช้เวลาเดิน 2 ช.ม.) ขึ้นไปถึงอากาศก็ยังไม่ดี มอง Matterhorn ไม่เห็น มีเมฆคลุมตลอดเวลา
ถ่ายภูเขาไม่ได้ ก็ถ่ายดอกไม้ถ่ายมดแมงไปเรื่อยๆ
นั่งเฝ้ามอง Matterhorn แต่เธอก็ไม่ยอมเผยตัวซะที จนถึงประมาณสี่โมงเย็น (อยู่บนนั้นเกือบสองชั่วโมงแล้ว) ลูกๆ มาบอกว่าพวกเขาจะต้องเดินลงแล้วนะเพราะกว่าจะถึงข้างล่างก็คงหกโมงเย็น ผมกับภรรยาก็ยังคงนั่งเล่นชิลๆ ต่อไป ตอนห้าโมงภรรยาถามว่าจะลงเลยหรือยัง ผมบอกว่าขาลงรถรางในอุโมงค์ใช้เวลาแค่ห้านาที รอใกล้ๆ หกโมงค่อยลงไปก็ได้ จะได้ไปถึงเวลาเดียวกันกับลูก พูดเสร็จภรรยาก็เดินไปเช็คเวลาที่สถานีรถราง แล้วก็วิ่งหน้าตื่นมาพร้อมตะโกนมาแต่ไกลว่ารถรางที่จะลงไป “เที่ยวสุดท้าย” กำลังจะออกภายในสิบนาที ได้ยินดังนั้นผมก็รีบวิ่งอ้าวในทันที มาถึงสถานีพบว่ารถแน่นเอี้ยดเลย ต้องแยกกันอยู่คนละโบกี้กับภรรยา แล้วไม่ถึงห้านาทีรถก็ออกจาก Sunnegga กลับลงไปที่ Zermatt
ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าพลาดรถเที่ยวสุดท้ายนี้ ก็คงต้องเดินลง อย่างพวกผมคงต้องใช้เวลาสามชั่วโมง กว่าจะลงไปถึงก็สองทุ่มพอดี แค่นึกก็หนาวขึ้นมาทันที ดันมัวแต่นั่งชมวิวชิลๆ อยู่ได้ ต่อไปนี้จะไปไหนมาไหนคงต้องเช็ครถเที่ยวสุดท้ายไว้ให้ดี
ลงมาถึง Zermatt มองเห็น Matterhorn ชัดกว่าที่เห็นบน Sunnegga ซะอีก
เข้าไปเดินชมใน Matterhorn Museum ก่อนเขาปิดไม่กี่นาที (ทริปนี้วิ่งชมพิพิธภัณฑ์ตอนใกล้ปิดทุกที) ระหว่างเดินกลับโรงแรมผ่านร้านอาหารไทยด้วยแต่ไม่ได้แวะไปดูเมนู เพราะมื้อเย็นนี้มีรายการซาชิมิอยู่ในใจแล้ว หมายตาไว้ตั้งแต่ตอนไป Coop เมื่อเที่ยงแล้ว
ถนนคนเดินใน Zermatt
หกโมงเย็นลูกๆ เดินมาถึง ระหว่างทางได้เจออะไรๆ แปลกๆ มากมาย เอารูปบางส่วนมาให้ดู
ภาพ Matterhorn ที่ลูกถ่ายได้ระหว่างทาง (สวยมากๆ)
ภาพ Matterhorn ที่ผมถ่ายจากระเบียงห้องพัก (มุมภาพแคบกว่าที่ลูกถ่ายมา)
ภาพจากระเบียงถ่ายไปที่ด้านข้างโรงแรมที่พัก
มื้อเย็นวันนี้ซื้อแซลมอนสดมาสองแพ็ค ซื้อมะนาวมาด้วย ตั้งใจว่าจะมาทำซาชิมิ และยำแซลมอนกินกันตรงระเบียงห้องพัก ดู Matterhorn ไปด้วย จิบ . . . ไปด้วย แค่นี้เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม แต่ แต่ พอเริ่มทำจริงๆ สิ่งที่หายไป หาไม่เจอ อยู่ในกระเป๋าใคร หามาให้ได้นะ รื้อกระเป๋าของทุกคน หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ เธออยู่ไหน? พริกขี้หนูคู่บ้านที่นำมาจากเมืองไทย เธออยู่ไหน? อารมณ์บรรยากาศตอนนั้นเปลี่ยนไปหมดเลย มีแซลมอนมีมะนาวแต่ขาดพริกขี้หนู ความหดหู่เริ่มเข้ามาเยือนเหมือนเมฆที่ลอยมาบังยอดเขา Matterhorn แม่ครัวยังทำใจไม่ได้ ใครทิ้งพริกของฉันไป ต้องเป็นเมื่อวานตอนที่ไปใช้ครัวของ Hostel ที่ Grindelwal แน่ๆ เลย ใครทิ้งลงถังขยะไปหรือเปล่า?
วันที่แปดของการเดินทาง ตื่นขึ้นมามองออกไปนอกหน้าต่างเห็น Matterhorn เต็มตา เพียงแต่ว่ามีเมฆปกคลุมบริเวณยอดเล็กน้อย ลงไปทานอาหารเช้าขึ้นมาอีกที เห็นเต็มตาเลยคราวนี้
ถึงเวลาที่จะต้องออกจาก Zermatt แล้ว เดินมาถึงสถานีรถไฟ ร่ำลายอดเขา Matterhorn ที่ยังพอมองเห็นได้บริเวณใกล้ๆ สถานี
วันนี้จะนั่งรถไฟสายกลาเซียร์เอ็กซเพรซ (Glacier Express) ไปจนสุดสายที่เมืองซังต์มอริตซ์ (St. Moritz) รถไฟสายนี้เน้นกระจกรอบด้าน (พาโนรามา) เพื่อให้ผู้โดยสารเห็นวิวที่อลังการสองข้างทาง
เดิมทีเดียวผมตั้งใจจะไปแค่เมืองคูร์ (Chur) แต่ลูกบอกว่ารุ่นพี่เขาบอกว่าไฮไลน์ของทางรถไฟสายนี้อยู่ที่ช่วงจาก Chur ไป St. Moritz ก็เลยต้องเปลี่ยนแผนนั่งไปจนสุดสาย โดยจองโรงแรมไว้ที่ St. Moritz 1 คืน ผู้โดยสารที่จะนั่งรถไฟสายนี้จำเป็นต้องจองที่นั่ง ถึงแม้เราจะมี Swiss Pass แล้วก็ตาม ยังต้องไปจองอยู่ดี รถไฟที่ออกจาก Zermatt มีสามเที่ยวให้เลือก 7.52 น. 8.52 น. และ 9.52 น. พวกผมไปจองตั้งแต่วันที่ถึงลูเซิร์น แต่เนื่องจากจองช้าไป สองเที่ยวแรกหาที่นั่งติดกันไม่ได้ จึงต้องจองเที่ยวสุดท้าย 9.52 น. ซึ่งกว่าจะถึง St. Moritz ก็ประมาณหกโมงเย็น ค่าจองที่นั่งคนละ 33 ฟรัง (1,200 บาท) ไม่ว่าจะนั่งใกล้ไกลแค่ไหนก็ราคานี้ ได้ยินคนบอกว่าให้จองที่นั่งทางขวาเพื่อว่าจะได้เห็นวิวสวย แต่ครั้นพอขึ้นไปบนรถไฟ อ้าว! ทำไมที่ที่เราจองไว้กลายเป็นอยู่ทางด้านซ้ายล่ะ น่าจะถูกพนักงานรถไฟมั่วเข้าให้แล้ว ได้แต่เตือนตัวเองว่าอย่าคิดมาก อย่าคิดมาก ซึ่งข้อดีของการนั่งทางซ้ายกลายเป็นว่าถูกแดดน้อยกว่าทางขวา รถไฟนี้พวกฝรั่งคงชอบเพราะต้องการอาบแดด แต่คนไทยตัวดำๆ อย่างพวกเราพยายามหลบแดดกันจ้าละหวั่น ใส่หมวกเอาครีมกันแดดขึ้นมาทา ผมได้แต่นั่งลุ้นว่าภรรยาอย่าหยิบร่มขึ้นมากางก็แล้วกัน ส่วนตัวผมสนุกสนานไปกับการถ่ายวิวข้างทาง ซ้ายบ้างขวาบ้างเชิญชมภาพบางส่วนครับ
หลังจากรถไฟไปถึงเมือง Chur ส่วนที่เป็นท้ายขบวนก็กลายมาเป็นหัวขบวน จากที่ผมนั่งด้านซ้ายตอนนี้กลายมาเป็นด้านขวา แสดงว่าที่จองมา ไม่ได้ผิดพลาดแต่ประการใด ไฮไลท์การเดินทางช่วงนี้อยู่ตรงที่รถไฟข้ามสะพานแล้วมุดเข้าอุโมงค์ ชื่อสะพานลันด์วัสเซอร์ (Landwasser Viadukt) สะพานรูปหินโค้งสูง 65 เมตร ยาว 142 เมตร ที่งานวิศวกรรมชิ้นนี้มีชื่อเสียงโด่งดังก็เพราะสร้างโดยอาศัยภูมิปัญญาของชาวโรมันที่ใช้สร้างสะพานวางท่อส่งน้ำในสมัยก่อน การนั่งทางขวาทำให้สามารถถ่ายภาพตอนรถไฟตีโค้งข้ามสะพานแล้วมุดเข้าอุโมงค์ได้อย่างชัดเจน
รถไฟถึง St. Moritz หกโมงเย็น โรงแรมที่จองไว้อยู่ค่อนข้างไกลจากสถานีต้องนั่งบัสไป เมืองนี้เป็นเมืองรีสอร์ตชื่อดัง มีชื่อเสียงเรื่องบ่อน้ำพุร้อนด้วย ผู้คนนิยมมาพักตากอากาศกัน มีทะเลสาบใหญ่ หลังจากเอากระเป๋าไปไว้ที่โรงแรมพวกผมก็มาเดินเล่นและหาอะไรทานกันริมทะเลสาบ
บรรยากาศริมทะเลสาบ
ผู้คนออกมาเดินเล่นกัน ทั้งๆ ที่อากาศก็ค่อนข้างเย็น
ที่ผมชอบคือโบสถ์ริมแม่น้ำ
สำหรับข้อสรุปเรื่องอย่าคิดมากประจำตอนนี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องพริกขี้หนูหาย สิ่งทั้งหลายเมื่อมีเจอก็ต้องมีจาก ทุกสิ่งทุกอย่างต่างก็ล้วนแต่ “เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป” สิ่งสำคัญคือต้องทำใจให้ได้ เรื่องของเสียของแตกของหาย ถ้าทำใจได้ก็จะทุกข์ใจไม่นาน
[CR] ไปเที่ยวสวิส อย่าคิดมาก (5)
ตอนที่ 2: Luzern - Zug – Kussnacht – Interlaken – Bern http://ppantip.com/topic/35323829
ตอนที่ 3: Schynige Platte – Lauterbrunnen - Murren – Wengen http://ppantip.com/topic/35332007
ตอนที่ 4: Grindelwald – First - Vevey – Montreux http://ppantip.com/topic/35338489
ไปเที่ยวสวิส อย่าคิดมาก ตอนที่ 5: Zermatt – Sunnegga – St. Moritz
วันที่เจ็ดของการเดินทาง ออกจาก Grindelwald เพื่อเดินทางต่อไปยังแซร์มัตต์ (Zermatt) บ้านของยอดเขามัทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn) รูปข้างกล่องช็อกโกแล๊ต Toblerone ที่หลายคนเคยเห็น
(cr. ภาพ http://ppantip.com/topic/32051220)
ถึง Zermatt เดินไปตามถนนสายหลัก ผู้คนคึกคัก เมืองเล็กๆ น่ารัก
เดินแค่สิบนาทีก็ถึงโรงแรมที่จองไว้ ครั้งนี้จองเป็นห้อง 2 เตียงสองห้อง (ที่ผ่านมาบางครั้งก็เป็นห้อง 4 เตียง หรือไม่ก็เป็น Hostel) ได้ห้องติดกันด้านนอกเป็นระเบียงที่เดินถึงกัน สามารถมองเห็น Matterhorn ได้ชัดเจน เพียงแต่ตอนที่ไปถึงนั้นมีเมฆบังอยู่
วางกระเป๋าแล้วเดินกลับไปทางสถานีรถไฟ เข้าร้าน Coop ที่อยู่ตรงข้ามสถานี ดูอาหารแล้วก็ซ้ำๆ กับที่กินมาทุกวัน อ้อ! ลืมบอกไปว่าที่พวกผมสามารถกินอะไรง่ายๆได้เป็นเพราะมีพริกขี้หนูสดติดมาจากเมืองไทย เวลาจะกินอะไรก็แค่เอาพริกมาแนมแค่นี้ก็แซ่บแล้ว ครั้งนี้เปลี่ยนใจซื้อแค่กล้วยหอมแล้วเข้าไปหาอะไรกินในร้านสีเหลืองแดงที่ชื่อร้านขึ้นต้นด้วยตัวเอ็ม (คงจะเดาได้นะว่าร้านอะไร)
ทริปสวิสครั้งนี้พยากรณ์อากาศถ้าไม่ Thunderstorm (ฝนตกหนัก) ก็ Cloudy (มีเมฆมาก) ฝนที่ Zermatt ตกปรอยๆ มาตั้งแต่ตอนที่ลงรถไฟแล้ว โอกาสที่จะขึ้นยอด Matterhorn ก็คงจะหมดสิทธิ์อีกเช่นเคย ต้องปรับแผนใหม่ ลูกชายเสนอให้ขึ้นเขาไปที่ Sunnegga เพราะว่าใช้เวลาเดินทางไม่มาก ค่าขึ้นก็ไม่แพง ถ้าอากาศบนนั้นไม่ดีก็ไม่เสียดายค่าตั๋ว แต่ถ้าอากาศดีก็จะได้เห็นยอด Matterhorn แบบเต็มๆ
จาก Zermatt ขึ้นไป Sunnegga แทนที่จะใช้ Cable Car เขาใช้รถรางวิ่งในอุโมงค์ที่เจาะจากตีนเขาขึ้นไปถึง Sunnegga ระหว่างที่เดินไปสถานีรถรางอุโมงค์ ฝนก็เริ่มตกหนักขึ้น ดีนะที่ยืมร่มสีแดงมาจากโรงแรม
ค่าตั๋วคนละ 12 ฟรัง (หลังใช้ Swiss Pass ลด 50%) ลูกชายซื้อตั๋วแค่ขาเดียว (8 ฟรัง) เพราะขากลับจะเดินลง (ใช้เวลาเดิน 2 ช.ม.) ขึ้นไปถึงอากาศก็ยังไม่ดี มอง Matterhorn ไม่เห็น มีเมฆคลุมตลอดเวลา
ถ่ายภูเขาไม่ได้ ก็ถ่ายดอกไม้ถ่ายมดแมงไปเรื่อยๆ
นั่งเฝ้ามอง Matterhorn แต่เธอก็ไม่ยอมเผยตัวซะที จนถึงประมาณสี่โมงเย็น (อยู่บนนั้นเกือบสองชั่วโมงแล้ว) ลูกๆ มาบอกว่าพวกเขาจะต้องเดินลงแล้วนะเพราะกว่าจะถึงข้างล่างก็คงหกโมงเย็น ผมกับภรรยาก็ยังคงนั่งเล่นชิลๆ ต่อไป ตอนห้าโมงภรรยาถามว่าจะลงเลยหรือยัง ผมบอกว่าขาลงรถรางในอุโมงค์ใช้เวลาแค่ห้านาที รอใกล้ๆ หกโมงค่อยลงไปก็ได้ จะได้ไปถึงเวลาเดียวกันกับลูก พูดเสร็จภรรยาก็เดินไปเช็คเวลาที่สถานีรถราง แล้วก็วิ่งหน้าตื่นมาพร้อมตะโกนมาแต่ไกลว่ารถรางที่จะลงไป “เที่ยวสุดท้าย” กำลังจะออกภายในสิบนาที ได้ยินดังนั้นผมก็รีบวิ่งอ้าวในทันที มาถึงสถานีพบว่ารถแน่นเอี้ยดเลย ต้องแยกกันอยู่คนละโบกี้กับภรรยา แล้วไม่ถึงห้านาทีรถก็ออกจาก Sunnegga กลับลงไปที่ Zermatt
ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าพลาดรถเที่ยวสุดท้ายนี้ ก็คงต้องเดินลง อย่างพวกผมคงต้องใช้เวลาสามชั่วโมง กว่าจะลงไปถึงก็สองทุ่มพอดี แค่นึกก็หนาวขึ้นมาทันที ดันมัวแต่นั่งชมวิวชิลๆ อยู่ได้ ต่อไปนี้จะไปไหนมาไหนคงต้องเช็ครถเที่ยวสุดท้ายไว้ให้ดี
ลงมาถึง Zermatt มองเห็น Matterhorn ชัดกว่าที่เห็นบน Sunnegga ซะอีก
เข้าไปเดินชมใน Matterhorn Museum ก่อนเขาปิดไม่กี่นาที (ทริปนี้วิ่งชมพิพิธภัณฑ์ตอนใกล้ปิดทุกที) ระหว่างเดินกลับโรงแรมผ่านร้านอาหารไทยด้วยแต่ไม่ได้แวะไปดูเมนู เพราะมื้อเย็นนี้มีรายการซาชิมิอยู่ในใจแล้ว หมายตาไว้ตั้งแต่ตอนไป Coop เมื่อเที่ยงแล้ว
ถนนคนเดินใน Zermatt
หกโมงเย็นลูกๆ เดินมาถึง ระหว่างทางได้เจออะไรๆ แปลกๆ มากมาย เอารูปบางส่วนมาให้ดู
ภาพ Matterhorn ที่ลูกถ่ายได้ระหว่างทาง (สวยมากๆ)
ภาพ Matterhorn ที่ผมถ่ายจากระเบียงห้องพัก (มุมภาพแคบกว่าที่ลูกถ่ายมา)
ภาพจากระเบียงถ่ายไปที่ด้านข้างโรงแรมที่พัก
มื้อเย็นวันนี้ซื้อแซลมอนสดมาสองแพ็ค ซื้อมะนาวมาด้วย ตั้งใจว่าจะมาทำซาชิมิ และยำแซลมอนกินกันตรงระเบียงห้องพัก ดู Matterhorn ไปด้วย จิบ . . . ไปด้วย แค่นี้เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม แต่ แต่ พอเริ่มทำจริงๆ สิ่งที่หายไป หาไม่เจอ อยู่ในกระเป๋าใคร หามาให้ได้นะ รื้อกระเป๋าของทุกคน หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ เธออยู่ไหน? พริกขี้หนูคู่บ้านที่นำมาจากเมืองไทย เธออยู่ไหน? อารมณ์บรรยากาศตอนนั้นเปลี่ยนไปหมดเลย มีแซลมอนมีมะนาวแต่ขาดพริกขี้หนู ความหดหู่เริ่มเข้ามาเยือนเหมือนเมฆที่ลอยมาบังยอดเขา Matterhorn แม่ครัวยังทำใจไม่ได้ ใครทิ้งพริกของฉันไป ต้องเป็นเมื่อวานตอนที่ไปใช้ครัวของ Hostel ที่ Grindelwal แน่ๆ เลย ใครทิ้งลงถังขยะไปหรือเปล่า?
วันที่แปดของการเดินทาง ตื่นขึ้นมามองออกไปนอกหน้าต่างเห็น Matterhorn เต็มตา เพียงแต่ว่ามีเมฆปกคลุมบริเวณยอดเล็กน้อย ลงไปทานอาหารเช้าขึ้นมาอีกที เห็นเต็มตาเลยคราวนี้
ถึงเวลาที่จะต้องออกจาก Zermatt แล้ว เดินมาถึงสถานีรถไฟ ร่ำลายอดเขา Matterhorn ที่ยังพอมองเห็นได้บริเวณใกล้ๆ สถานี
วันนี้จะนั่งรถไฟสายกลาเซียร์เอ็กซเพรซ (Glacier Express) ไปจนสุดสายที่เมืองซังต์มอริตซ์ (St. Moritz) รถไฟสายนี้เน้นกระจกรอบด้าน (พาโนรามา) เพื่อให้ผู้โดยสารเห็นวิวที่อลังการสองข้างทาง
เดิมทีเดียวผมตั้งใจจะไปแค่เมืองคูร์ (Chur) แต่ลูกบอกว่ารุ่นพี่เขาบอกว่าไฮไลน์ของทางรถไฟสายนี้อยู่ที่ช่วงจาก Chur ไป St. Moritz ก็เลยต้องเปลี่ยนแผนนั่งไปจนสุดสาย โดยจองโรงแรมไว้ที่ St. Moritz 1 คืน ผู้โดยสารที่จะนั่งรถไฟสายนี้จำเป็นต้องจองที่นั่ง ถึงแม้เราจะมี Swiss Pass แล้วก็ตาม ยังต้องไปจองอยู่ดี รถไฟที่ออกจาก Zermatt มีสามเที่ยวให้เลือก 7.52 น. 8.52 น. และ 9.52 น. พวกผมไปจองตั้งแต่วันที่ถึงลูเซิร์น แต่เนื่องจากจองช้าไป สองเที่ยวแรกหาที่นั่งติดกันไม่ได้ จึงต้องจองเที่ยวสุดท้าย 9.52 น. ซึ่งกว่าจะถึง St. Moritz ก็ประมาณหกโมงเย็น ค่าจองที่นั่งคนละ 33 ฟรัง (1,200 บาท) ไม่ว่าจะนั่งใกล้ไกลแค่ไหนก็ราคานี้ ได้ยินคนบอกว่าให้จองที่นั่งทางขวาเพื่อว่าจะได้เห็นวิวสวย แต่ครั้นพอขึ้นไปบนรถไฟ อ้าว! ทำไมที่ที่เราจองไว้กลายเป็นอยู่ทางด้านซ้ายล่ะ น่าจะถูกพนักงานรถไฟมั่วเข้าให้แล้ว ได้แต่เตือนตัวเองว่าอย่าคิดมาก อย่าคิดมาก ซึ่งข้อดีของการนั่งทางซ้ายกลายเป็นว่าถูกแดดน้อยกว่าทางขวา รถไฟนี้พวกฝรั่งคงชอบเพราะต้องการอาบแดด แต่คนไทยตัวดำๆ อย่างพวกเราพยายามหลบแดดกันจ้าละหวั่น ใส่หมวกเอาครีมกันแดดขึ้นมาทา ผมได้แต่นั่งลุ้นว่าภรรยาอย่าหยิบร่มขึ้นมากางก็แล้วกัน ส่วนตัวผมสนุกสนานไปกับการถ่ายวิวข้างทาง ซ้ายบ้างขวาบ้างเชิญชมภาพบางส่วนครับ
หลังจากรถไฟไปถึงเมือง Chur ส่วนที่เป็นท้ายขบวนก็กลายมาเป็นหัวขบวน จากที่ผมนั่งด้านซ้ายตอนนี้กลายมาเป็นด้านขวา แสดงว่าที่จองมา ไม่ได้ผิดพลาดแต่ประการใด ไฮไลท์การเดินทางช่วงนี้อยู่ตรงที่รถไฟข้ามสะพานแล้วมุดเข้าอุโมงค์ ชื่อสะพานลันด์วัสเซอร์ (Landwasser Viadukt) สะพานรูปหินโค้งสูง 65 เมตร ยาว 142 เมตร ที่งานวิศวกรรมชิ้นนี้มีชื่อเสียงโด่งดังก็เพราะสร้างโดยอาศัยภูมิปัญญาของชาวโรมันที่ใช้สร้างสะพานวางท่อส่งน้ำในสมัยก่อน การนั่งทางขวาทำให้สามารถถ่ายภาพตอนรถไฟตีโค้งข้ามสะพานแล้วมุดเข้าอุโมงค์ได้อย่างชัดเจน
รถไฟถึง St. Moritz หกโมงเย็น โรงแรมที่จองไว้อยู่ค่อนข้างไกลจากสถานีต้องนั่งบัสไป เมืองนี้เป็นเมืองรีสอร์ตชื่อดัง มีชื่อเสียงเรื่องบ่อน้ำพุร้อนด้วย ผู้คนนิยมมาพักตากอากาศกัน มีทะเลสาบใหญ่ หลังจากเอากระเป๋าไปไว้ที่โรงแรมพวกผมก็มาเดินเล่นและหาอะไรทานกันริมทะเลสาบ
บรรยากาศริมทะเลสาบ
ผู้คนออกมาเดินเล่นกัน ทั้งๆ ที่อากาศก็ค่อนข้างเย็น
ที่ผมชอบคือโบสถ์ริมแม่น้ำ
สำหรับข้อสรุปเรื่องอย่าคิดมากประจำตอนนี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องพริกขี้หนูหาย สิ่งทั้งหลายเมื่อมีเจอก็ต้องมีจาก ทุกสิ่งทุกอย่างต่างก็ล้วนแต่ “เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป” สิ่งสำคัญคือต้องทำใจให้ได้ เรื่องของเสียของแตกของหาย ถ้าทำใจได้ก็จะทุกข์ใจไม่นาน