Day0 Tibetหลังคาโลก กว่าจะมาถึง
http://ppantip.com/topic/34683393
Day1 Tibetหลังคาโลก Landingซะที
http://ppantip.com/topic/35206799
Day2 Lhasa จริงจังวันแรก ( Potala palace , Jokrang Temple , Bakhor street )
http://ppantip.com/topic/35342801
Day3 Lhasa รอบนอก (Drepung , Norbulinga park ,Sera Monestery )
http://ppantip.com/topic/35349123
Day4 Lhasa - Nyingchi
http://ppantip.com/topic/35356357
Day5 Nyingchi -Cypress King garden- Basomtso lake
http://ppantip.com/topic/35357493
Day6 Basomtso lake - Lhasa
http://ppantip.com/topic/35361292
Day7 Lhasa - Yamdrok Lake -Palkhor Monestery-Shigatze
http://ppantip.com/topic/35365905
Day8 Shigatze - Tashihunpo Monestery- Lhasa
http://ppantip.com/topic/35366937
Day9 Depart Lhasa มหากาพย์ Xiamen Airline
http://ppantip.com/topic/35371426
Day2 Tibetหลังคาโลก :Lhasa-Potala Palace ,Yokhang Temple ,Barkhor Street
วันนี้ตื่นเช้ามาอาหารเช้าจะเป็นamerican breakfast แต่รสชาติทิเบตเล็กน้อย นอกจากนี้ยังมี พวกข้าวผัด หมี่ผัดผัดผัก กับ Tsampa porridge คล้ายข้าวโอ๊ดบดแต่ที่นี่เค้าจะใช้ Butter milk แทนนมที่เราเคยใช้ผสม สมาชิกบางคนติดใจต้องผสมกินเองทุกเช้าที่กลับมาพักโรงแรมนี้ แต่เราประเภทคนกินยากไม่ชอบลองของเลยขอเว้น วันนี้ทุกคนดูสดชื่นกันดีเราพกชาcoca ที่ซื้อมาจากtripอเมริกาใต้เลยนำมาแจกจ่ายสมาชิกให้ชงกินเพื่อลดและบรรเทาอาการaltitude sickness ตอนไปเปรู โบลิเวีย โรงแรมทุกที่ก็จะเสริฟเราด้วยชานี้ ตอนนั้นก็รอดพ้นจากอาการaltitude sicknessด้วยดี อิ่มหนำสำราญปฏิบัติภารกิจเรียบร้อยได้เวลาคุณดีเจก็มารับพวกเราเพื่อไปเริ่มต้นท่องเที่ยวในลาซา
วันนี้ที่แรกที่จะไปคือPotala palace อยู่ทางตอนเหนือของเมืองลาซา ห่างจากโรงแรมเราไม่มาก5 นาทีก็ถึง แตถ้าใครมาจากสนามบิน Lhasa Gonggar ระยะ 70กิโลเมตรนั่งรถairport shutter bus ใช้เวลา1ชั่วโมง หรือ ถ้านั่ง รถไฟQinghai railway ต้องมาลงLhasa railway station แล้วต่อแท็กซี่มาอีก20กิโล ดีเจบอกว่าจะให้พวกเราใช้เวลาที่นี่2ชั่วโมง พวกเรามองหน้ากันว่าขอซักสามชั่วโมงรวมเวลาหอบไม่ดีกว่าหรือ เพราะพระราชวังนี้สูงตั้ง 3700 เมตร คุณดีเจได้แต่หัวเราะ
พอมาถึงลงรถดีเจก็พาเราเดินฝ่าฝูงชน โดยมากเป็นชาวทิเบต ผ่านด้านหน้าของ Potala Palace
พอมาถึงตรงลานหน้าทางเข้าดีเจ ดีเจให้เราถ่ายรูปไปพลางระหว่างรอคุณดีเจไปซื้อตั๋ว ถ้ามาเองแนะนำให้ซื้อตั๋วล่วงหน้า1วัน เพราะที่นี่จะจำกัดจำนวนผู้เข้าชม 2300คนต่อวัน เพราะตัวพระราชวังสร้างมาเป็นหลายร้อยปี ค่าเข้าชมช่วงเมษายน-ตุลาคมคนละ200 RMB แต่ถ้าพฤศจิกายน -มีนาคม อากาศหนาวคนไม่ค่อยมาจะเหลือ 100 RMB
จากนั้นเราก็ไปต่อคิวผ่านsecurity เข้าในเขต Potala palace
Palaceนี้ถือว่าเป็นPalaceที่สูงที่สุดในโลก แน่หล่ะสร้างบนหลังคาโลกได้ชื่อว่าที่ราบสูงมาตั้งบนนี้ก็ต้องสูงกว่าที่อื่น เป็นWinter palaceของอดีตองค์ดาไล ลามะ พระราชวังนี้สร้างส่วนสีแดงก่อนบนRed hill โดยกษัตริย์Songtsan Gambo ยุคอาณาจักร Tubo กับพระมเหสีทั้งสอง เจ้าหญิง Bhrikuti แห่งเนปาลและเจ้าหญิง Wencheng จากจีนตรงกับราชวงศ์ถัง
ก่อนจะเข้าไปก็ดูภาพประกอบนิสนึง ส่วนแรกที่สร้างคือส่วนตรงกลางสีแดง สร้างในศตวรรษที่ 7 โดยกษัตริย์Songtsan Gambo ต่อมาในศตวรรษที่ 17 ยุคองค์ดาไล ลามะที่ห้า ได้สร้างต่อเติมส่วนที่เป็นสีขาวเพิ่มเติม และใช้เป็นที่สำหรับบริหารงานการเมือง ที่ทำพุทธศาสนกิจต่างๆ และหลังจากสร้างเสร็จก็ได้ย้ายที่อยู่ขององค์ลามะ จาก Drepung Monestery ที่เราจะไปดูพรุ่งนี้ มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่นั้นมา ส่วนด้านข้างๆออกไปอีกก็ต่อเติมสร้างขึ้นด้วยองค์ดาไล ลามะองค์ถัดๆมา
เสานี้สร้างให้องค์ดาไล ลามะที่ห้า ซึ่งทำคุณประโยชน์มากมายให้กับชาวทิเบต
ดีเจแวะพักให้เราได้หายหอบ พร้อมทั้งเล่าสาระต่างๆไปเรื่อยๆ แต่เนื่องจากสมองเราไปอยู่ในที่สูงซึ่งมีออกซิเจนเบาบาง เราเลยจำอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ที่เห็นตรงกลางคล้ายเจดีย์สีขาวสองอัน เรียก Stupas ถ้าตั้งอยู่ในchapelหรือใน Monestery มักจะเป็นที่เก็บพระศพขององค์ลามะ แต่ถ้าตั้งอยู่ข้างนอก จะเป็นที่ตั้งของพระพุทธรุป จะไม่มีพระศพอยู่ และมองไปทางซ้ายของเจดีย์สีขาวบนเขาจะมีคล้ายอาคารหลังคาสีแดง แต่ก่อนจะเป็นคล้ายโรงพยาบาลให้การรักษากับคนที่เจ็บป่วย แต่ปัจจุบันไม่มีการรักษาพยาบาลแต่อย่างไร
ดูStupas ชัดๆอีกที
ที่นี่จะจำกัดการเข้าชมไม่เกินคนละชั่วโมง แต่ตลอดระยะการเข้าชมก็ไม่มีใครมาคอยเช็คว่าเรามากี่โมง ต้องออกไปกี่โมง เพราะที่นี่สร้างมาเป็นร้อยๆปี จะเห็นว่าโครงสร้างของที่นี่ทำด้วยไม้และหิน คุณดีเจบอกเค้าเอานมผสมในปูนที่ทำผนังเพื่ให้มันคงทน เราก็ไม่รู้ว่าได้อย่างไร ไม่ได้ถามเพราะเหนื่อย
ภายในChapel จะมีพระพุทธรูปสำคัญๆ รวมทั้งพระโพธิสัตว์ปางต่างๆ ซึ่งดีเจจะเรียกBuddha หมด และตามฝาผนังจะมีเรื่องราวเกี่ยวกับอารยธรรมของชาวทิเบตประปราย
พอเข้ามายังส่วนที่เป็นปราสาทสีขาว ทางขวามือจะเป็นห้องน้ำ
เห็นชัดๆที่มีผ้าสีขาวๆ บังอยู่กลิ่นพอใช้ได้ เป็นห้องน้ำที่สูงที่สุดในโลก หนึ่งเดียวบนพระราชวัง
คนต้องรอคิวในการเข้าชมภายใน ยาวมาก
เนื่องจากข้างในไม่ให้ถ่ายรูป พอเราดูถึงส่วนที่เป็นประสาทสีแดง เสร็จก็เริ่มลดระดับไต่ลงจากพระราชวัง แต่ไม่เหนื่อยเท่าตอนขึ้นมา
เราแวะทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารบนถนน Bakhor streetซึ่งอยู่ใกล้กับJokrang monestery ที่ที่เราจะไปดูกันตอนบ่าย
ทานเสร็จเราก็บ่ายหน้าไป Jokrang temple หรือ Monestery
เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดที่หนึ่งสำหรับนักแสวงบุญชาวทิเบต
สร้างในศตวรรษที่ 7 โดย Songtsun Gambo เพื่อเป็นที่เก็บรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์ของ พระพุทธเจ้า Jowo Rinpocheหรือพระศากยมุนีในวัย 12 ปี ที่อัญเชิญเป็นสินสอนสำหรับเจ้าหญิงWencheng แห่งจีนเดิมอยู่ในอินเดียและได้รับการถวายเป็นของขวัญสู่จีน เล่าว่ากษัตริย์ Songtsan Gambo เสี่ยงทายสถานที่ที่จะสร้างวัดด้วยการโยนพระธัมมรงค์ขึ้นไปบนฟ้า และแหวนตกลงที่ใจกลางทะเลสาป และบริเวณที่แหวนตกก็มี Stupas ผุดขึ้นมาจากในน้ำ จากน้ำจึงได้มีการถมทะเลสาปด้วยทรายและดิน และสร้างวัดขึ้นมาใช้เวลา 3 ปีในการสร้าง แต่เดิมเรียก Rasa ยุคนั้นศาสนายังเป็นลัทธิ Bon สัญญลักษณ์จะเป็นคล้ายนาซีแต่วนกลับทางกัน ภายหลังจากที่ศาสนาพุทธเผยแพร่กันอย่างแพร่หลายในลาซา เมืองลาซาถูกใช้เรียกเมืองนี้ตั้งแต่นั้นมา ลาซา แปลว่า ดินแดนแห่งพุทธศาสนา วัดนี้จึงถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Jokhang แปลว่า บ้านของพุทธเช่นกัน
มีอยู่ด้วยกันสี่ชั้น
หลังคาเป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่าง อินเดีย เนปาล จีน และทิเบต ภายในจะเก็บพระพุทธรูปของพระศากยมุนี ซึ่งในช่วงที่ทิเบตถูกรุกรานพระพุทธรูปนี้ถูกนำไปฝังไว้ เพื่อให้ปลอดภัยจากการถุกทำลายโดยพวกต่อต้านพุทธศาสนา ตามผนังต่างๆจะมีภาพวาดเรื่องราวของพระโพธิสัตว์และเรื่องราวการก่อสร้างวัดนี้
ในตอนเช้า บริเวณวัดจะถูกสงวนไว้สำหรับผู้ที่มาแสวงบุญ นักท่องเที่ยวจะเข้าชมได้ตั้งแต่ 11.30-17.00 น.
บนชั้นบนสุดเราสามารถเดินดูวิวด้านล่างในถนนBakhor street
และยังสามารถเห็นพระราชวัง Potala ได้ด้วย เสร็จจากวัดนี้เราก็เดินเล่นดูบรรยากาศผู้คน ซื้อของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆก่อนที่ดีเจ จะเดินพาเรากลับโรงแรม ซึ่งผ่านถนนที่เมื่อวานพวกเรามาเดินสำรวจตลาดไปรอบแล้ว จากนั้นเราก็นัดแนะเวลากับดีเจ พรุ่งนี้ 9โมงเช้า พอดีเจกลับพวกเราบางส่วนก็แยกย้ายขอไปหาร้านกาแฟชิวๆ กิน ที่เหลืออยากชิมอาหารข้างโรงแรม คล้ายเส้นก๋วยเตี๋ยว คนมารอเข้าคิวเยอะมาก แม้แต่รถBenzยังขับมาจอดทาน แสดงว่าต้องน่าลอง ไม่ควรพลาด
เราหารูปอาหารไม่ได้ เผื่อถ้ามีอยู่ในกล้องสมาชิกจะเอามา Postภายหลัง วันนี้ขอไปต่อคิวกินอาหารข้างโรงแรมกันก่อน
[CR] Day2 Lhasa จริงจังวันแรก
Day1 Tibetหลังคาโลก Landingซะที http://ppantip.com/topic/35206799
Day2 Lhasa จริงจังวันแรก ( Potala palace , Jokrang Temple , Bakhor street )http://ppantip.com/topic/35342801
Day3 Lhasa รอบนอก (Drepung , Norbulinga park ,Sera Monestery ) http://ppantip.com/topic/35349123
Day4 Lhasa - Nyingchi http://ppantip.com/topic/35356357
Day5 Nyingchi -Cypress King garden- Basomtso lake http://ppantip.com/topic/35357493
Day6 Basomtso lake - Lhasa http://ppantip.com/topic/35361292
Day7 Lhasa - Yamdrok Lake -Palkhor Monestery-Shigatze http://ppantip.com/topic/35365905
Day8 Shigatze - Tashihunpo Monestery- Lhasa http://ppantip.com/topic/35366937
Day9 Depart Lhasa มหากาพย์ Xiamen Airline http://ppantip.com/topic/35371426
Day2 Tibetหลังคาโลก :Lhasa-Potala Palace ,Yokhang Temple ,Barkhor Street
วันนี้ตื่นเช้ามาอาหารเช้าจะเป็นamerican breakfast แต่รสชาติทิเบตเล็กน้อย นอกจากนี้ยังมี พวกข้าวผัด หมี่ผัดผัดผัก กับ Tsampa porridge คล้ายข้าวโอ๊ดบดแต่ที่นี่เค้าจะใช้ Butter milk แทนนมที่เราเคยใช้ผสม สมาชิกบางคนติดใจต้องผสมกินเองทุกเช้าที่กลับมาพักโรงแรมนี้ แต่เราประเภทคนกินยากไม่ชอบลองของเลยขอเว้น วันนี้ทุกคนดูสดชื่นกันดีเราพกชาcoca ที่ซื้อมาจากtripอเมริกาใต้เลยนำมาแจกจ่ายสมาชิกให้ชงกินเพื่อลดและบรรเทาอาการaltitude sickness ตอนไปเปรู โบลิเวีย โรงแรมทุกที่ก็จะเสริฟเราด้วยชานี้ ตอนนั้นก็รอดพ้นจากอาการaltitude sicknessด้วยดี อิ่มหนำสำราญปฏิบัติภารกิจเรียบร้อยได้เวลาคุณดีเจก็มารับพวกเราเพื่อไปเริ่มต้นท่องเที่ยวในลาซา
วันนี้ที่แรกที่จะไปคือPotala palace อยู่ทางตอนเหนือของเมืองลาซา ห่างจากโรงแรมเราไม่มาก5 นาทีก็ถึง แตถ้าใครมาจากสนามบิน Lhasa Gonggar ระยะ 70กิโลเมตรนั่งรถairport shutter bus ใช้เวลา1ชั่วโมง หรือ ถ้านั่ง รถไฟQinghai railway ต้องมาลงLhasa railway station แล้วต่อแท็กซี่มาอีก20กิโล ดีเจบอกว่าจะให้พวกเราใช้เวลาที่นี่2ชั่วโมง พวกเรามองหน้ากันว่าขอซักสามชั่วโมงรวมเวลาหอบไม่ดีกว่าหรือ เพราะพระราชวังนี้สูงตั้ง 3700 เมตร คุณดีเจได้แต่หัวเราะ
พอมาถึงลงรถดีเจก็พาเราเดินฝ่าฝูงชน โดยมากเป็นชาวทิเบต ผ่านด้านหน้าของ Potala Palace
พอมาถึงตรงลานหน้าทางเข้าดีเจ ดีเจให้เราถ่ายรูปไปพลางระหว่างรอคุณดีเจไปซื้อตั๋ว ถ้ามาเองแนะนำให้ซื้อตั๋วล่วงหน้า1วัน เพราะที่นี่จะจำกัดจำนวนผู้เข้าชม 2300คนต่อวัน เพราะตัวพระราชวังสร้างมาเป็นหลายร้อยปี ค่าเข้าชมช่วงเมษายน-ตุลาคมคนละ200 RMB แต่ถ้าพฤศจิกายน -มีนาคม อากาศหนาวคนไม่ค่อยมาจะเหลือ 100 RMB
จากนั้นเราก็ไปต่อคิวผ่านsecurity เข้าในเขต Potala palace
Palaceนี้ถือว่าเป็นPalaceที่สูงที่สุดในโลก แน่หล่ะสร้างบนหลังคาโลกได้ชื่อว่าที่ราบสูงมาตั้งบนนี้ก็ต้องสูงกว่าที่อื่น เป็นWinter palaceของอดีตองค์ดาไล ลามะ พระราชวังนี้สร้างส่วนสีแดงก่อนบนRed hill โดยกษัตริย์Songtsan Gambo ยุคอาณาจักร Tubo กับพระมเหสีทั้งสอง เจ้าหญิง Bhrikuti แห่งเนปาลและเจ้าหญิง Wencheng จากจีนตรงกับราชวงศ์ถัง
ก่อนจะเข้าไปก็ดูภาพประกอบนิสนึง ส่วนแรกที่สร้างคือส่วนตรงกลางสีแดง สร้างในศตวรรษที่ 7 โดยกษัตริย์Songtsan Gambo ต่อมาในศตวรรษที่ 17 ยุคองค์ดาไล ลามะที่ห้า ได้สร้างต่อเติมส่วนที่เป็นสีขาวเพิ่มเติม และใช้เป็นที่สำหรับบริหารงานการเมือง ที่ทำพุทธศาสนกิจต่างๆ และหลังจากสร้างเสร็จก็ได้ย้ายที่อยู่ขององค์ลามะ จาก Drepung Monestery ที่เราจะไปดูพรุ่งนี้ มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่นั้นมา ส่วนด้านข้างๆออกไปอีกก็ต่อเติมสร้างขึ้นด้วยองค์ดาไล ลามะองค์ถัดๆมา
เสานี้สร้างให้องค์ดาไล ลามะที่ห้า ซึ่งทำคุณประโยชน์มากมายให้กับชาวทิเบต
ดีเจแวะพักให้เราได้หายหอบ พร้อมทั้งเล่าสาระต่างๆไปเรื่อยๆ แต่เนื่องจากสมองเราไปอยู่ในที่สูงซึ่งมีออกซิเจนเบาบาง เราเลยจำอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ที่เห็นตรงกลางคล้ายเจดีย์สีขาวสองอัน เรียก Stupas ถ้าตั้งอยู่ในchapelหรือใน Monestery มักจะเป็นที่เก็บพระศพขององค์ลามะ แต่ถ้าตั้งอยู่ข้างนอก จะเป็นที่ตั้งของพระพุทธรุป จะไม่มีพระศพอยู่ และมองไปทางซ้ายของเจดีย์สีขาวบนเขาจะมีคล้ายอาคารหลังคาสีแดง แต่ก่อนจะเป็นคล้ายโรงพยาบาลให้การรักษากับคนที่เจ็บป่วย แต่ปัจจุบันไม่มีการรักษาพยาบาลแต่อย่างไร
ดูStupas ชัดๆอีกที
ที่นี่จะจำกัดการเข้าชมไม่เกินคนละชั่วโมง แต่ตลอดระยะการเข้าชมก็ไม่มีใครมาคอยเช็คว่าเรามากี่โมง ต้องออกไปกี่โมง เพราะที่นี่สร้างมาเป็นร้อยๆปี จะเห็นว่าโครงสร้างของที่นี่ทำด้วยไม้และหิน คุณดีเจบอกเค้าเอานมผสมในปูนที่ทำผนังเพื่ให้มันคงทน เราก็ไม่รู้ว่าได้อย่างไร ไม่ได้ถามเพราะเหนื่อย
ภายในChapel จะมีพระพุทธรูปสำคัญๆ รวมทั้งพระโพธิสัตว์ปางต่างๆ ซึ่งดีเจจะเรียกBuddha หมด และตามฝาผนังจะมีเรื่องราวเกี่ยวกับอารยธรรมของชาวทิเบตประปราย
พอเข้ามายังส่วนที่เป็นปราสาทสีขาว ทางขวามือจะเป็นห้องน้ำ
เห็นชัดๆที่มีผ้าสีขาวๆ บังอยู่กลิ่นพอใช้ได้ เป็นห้องน้ำที่สูงที่สุดในโลก หนึ่งเดียวบนพระราชวัง
คนต้องรอคิวในการเข้าชมภายใน ยาวมาก
เนื่องจากข้างในไม่ให้ถ่ายรูป พอเราดูถึงส่วนที่เป็นประสาทสีแดง เสร็จก็เริ่มลดระดับไต่ลงจากพระราชวัง แต่ไม่เหนื่อยเท่าตอนขึ้นมา
เราแวะทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารบนถนน Bakhor streetซึ่งอยู่ใกล้กับJokrang monestery ที่ที่เราจะไปดูกันตอนบ่าย
ทานเสร็จเราก็บ่ายหน้าไป Jokrang temple หรือ Monestery
เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดที่หนึ่งสำหรับนักแสวงบุญชาวทิเบต
สร้างในศตวรรษที่ 7 โดย Songtsun Gambo เพื่อเป็นที่เก็บรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์ของ พระพุทธเจ้า Jowo Rinpocheหรือพระศากยมุนีในวัย 12 ปี ที่อัญเชิญเป็นสินสอนสำหรับเจ้าหญิงWencheng แห่งจีนเดิมอยู่ในอินเดียและได้รับการถวายเป็นของขวัญสู่จีน เล่าว่ากษัตริย์ Songtsan Gambo เสี่ยงทายสถานที่ที่จะสร้างวัดด้วยการโยนพระธัมมรงค์ขึ้นไปบนฟ้า และแหวนตกลงที่ใจกลางทะเลสาป และบริเวณที่แหวนตกก็มี Stupas ผุดขึ้นมาจากในน้ำ จากน้ำจึงได้มีการถมทะเลสาปด้วยทรายและดิน และสร้างวัดขึ้นมาใช้เวลา 3 ปีในการสร้าง แต่เดิมเรียก Rasa ยุคนั้นศาสนายังเป็นลัทธิ Bon สัญญลักษณ์จะเป็นคล้ายนาซีแต่วนกลับทางกัน ภายหลังจากที่ศาสนาพุทธเผยแพร่กันอย่างแพร่หลายในลาซา เมืองลาซาถูกใช้เรียกเมืองนี้ตั้งแต่นั้นมา ลาซา แปลว่า ดินแดนแห่งพุทธศาสนา วัดนี้จึงถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Jokhang แปลว่า บ้านของพุทธเช่นกัน
มีอยู่ด้วยกันสี่ชั้น
หลังคาเป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่าง อินเดีย เนปาล จีน และทิเบต ภายในจะเก็บพระพุทธรูปของพระศากยมุนี ซึ่งในช่วงที่ทิเบตถูกรุกรานพระพุทธรูปนี้ถูกนำไปฝังไว้ เพื่อให้ปลอดภัยจากการถุกทำลายโดยพวกต่อต้านพุทธศาสนา ตามผนังต่างๆจะมีภาพวาดเรื่องราวของพระโพธิสัตว์และเรื่องราวการก่อสร้างวัดนี้
ในตอนเช้า บริเวณวัดจะถูกสงวนไว้สำหรับผู้ที่มาแสวงบุญ นักท่องเที่ยวจะเข้าชมได้ตั้งแต่ 11.30-17.00 น.
บนชั้นบนสุดเราสามารถเดินดูวิวด้านล่างในถนนBakhor street
และยังสามารถเห็นพระราชวัง Potala ได้ด้วย เสร็จจากวัดนี้เราก็เดินเล่นดูบรรยากาศผู้คน ซื้อของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆก่อนที่ดีเจ จะเดินพาเรากลับโรงแรม ซึ่งผ่านถนนที่เมื่อวานพวกเรามาเดินสำรวจตลาดไปรอบแล้ว จากนั้นเราก็นัดแนะเวลากับดีเจ พรุ่งนี้ 9โมงเช้า พอดีเจกลับพวกเราบางส่วนก็แยกย้ายขอไปหาร้านกาแฟชิวๆ กิน ที่เหลืออยากชิมอาหารข้างโรงแรม คล้ายเส้นก๋วยเตี๋ยว คนมารอเข้าคิวเยอะมาก แม้แต่รถBenzยังขับมาจอดทาน แสดงว่าต้องน่าลอง ไม่ควรพลาด
เราหารูปอาหารไม่ได้ เผื่อถ้ามีอยู่ในกล้องสมาชิกจะเอามา Postภายหลัง วันนี้ขอไปต่อคิวกินอาหารข้างโรงแรมกันก่อน
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น