นี่คือหนัง 1 ใน 2 เรื่องที่เราตั้งตารอคอยที่จะได้ชมในปีนี้ อีกเรื่องหนึ่งคือ Everybody Wants Some ของผู้กำกับ Richard Linklater
ผลงานจากหนึ่งในผู้กำกับขวัญใจของผม John Carney ที่เราสุดแสนจะประทับใจผลงานของเค้าจากหนังเรื่อง Once หนังที่เล่าเรื่องความสัมพันธ์ของคนธรรมดาได้สมจริงและถึงอารมณ์สุดๆ และกับเรื่อง Begin Again ที่หนังดูง่ายขึ้น แต่ต้องแลกกับความสมจริงที่ลดลงและการถ่ายทอดอารมณ์ที่ไม่เต็มที่เท่าเดิม แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่เรายังยอมรับได้อยู่
มาถึง Sing Street เราค่อนข้างผิดหวังหน่อยๆ อาจจะเพราะเราตั้งความหวังไว้ค่อนข้างสูง หนังมาในแนวทางเดียวกับ Begin Again แต่โดยส่วนตัวเรารู้สึกเข้าถึงอารมณ์ของ Begin Again มากกว่าเรื่องนี้ เราเข้าใจได้ว่า John คงอยากให้หนังมันเข้าถึงคนดูส่วนใหญ่ได้มากขึ้น แต่มันต้องแลกกับความสมจริงที่ลดลงไป และอารมณ์แบบดำดิ่งที่เราเคยสัมผัสใน Once และเราชอบมาก มันกลับเหลือไว้แต่เพียงเบาบางเท่านั้น เรารู้สึกว่าหนังมันไม่เลือกโฟกัสประเด็น ทำให้เล่าหลายประเด็นมากเกินไป และความรู้สึกส่วนตัว เรารู้สึกว่ามันทำได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควรในหลายๆประเด็น และที่สำคัญเราไม่ค่อยชอบตอนจบ เรารู้สึกว่า หนังจบแค่ตอนออกเรือไปก็พอแล้ว อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวสุดๆ
แต่มันก็ยังเป็นหนังดีเรื่องหนึ่งที่เราแนะนำให้ไปดูนะ
เพลงประกอบและดนตรีประกอบยังทำได้ยอดเยี่ยมตามมาตรฐานของ John Carney เราชอบดนตรีป๊อบแปลกๆแบบนี้เป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว และเราชอบเนื้อหาเพลงที่เล่าเรื่องเพื่อสื่อสารแบบนี้ เราชอบเพลง Up ที่ Conor แต่งขึ้น เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกที่เค้ามีต่อ Raphina
Across the street on a grayed-out Monday.
I see the girl with the eyes I can't describe.
And suddeny it's a perfect Sunday.
การถ่ายภาพอาจไม่ใช่จุดเด่นมากนักของหนังเรื่องนี้ ผมว่าทำได้แค่เสมอตัว ไม่ได้โดดเด่น แต่ก็ไม่แย่แต่อย่างใด
แต่สิ่งที่ Sing Street ทำได้ดีมาก คือ หนังเล่าเรื่องได้สนุกน่าติดตามมากๆ เราไม่รู้สึกเบื่อแม้แต่วินาทีเดียว แม้มันจะมีความป๊อบอยู่มากๆก็ตาม แต่ถือว่ามันสะกดเราให้สนใจได้ตลอดทั้งเรื่องเลย
พาร์ทการแสดงผมยังเฉยๆกับการแสดงของ Ferdia Walsh-Peelo ที่เล่นเป็น Conor Lalor ตัวเอกของเรื่อง เรายังรู้สึกว่าหลายๆซีนเค้ายังส่งออกมาได้ไม่เต็มที่ แต่ก็พอเข้าใจได้ว่า บทของตัวละคร Conor มันไม่ใช่ตัวละครที่เล่นได้ง่ายๆ
แต่ผมชอบการแสดงของ Lucy Boynton ที่เล่นเป็น Raphina มากๆ ตัวละครนี้มีความซับซ้อนสูง การแสดงหลายๆฉากที่ต้องกลบเกลื่อนความรู้สึกอีกอย่างของตัวเองเอาไว้ เธอทำได้ยอดเยี่ยมมาก ผมประทับใจ 2-3 ซีนของเธอ ซีนแรกคือฉากแรกที่เจอกับ Conor หน้าโรงเรียน เธอเล่นได้มีเสน่ห์มากๆ เธอเล่นรีแอ็คกับ Conor ตอน Conor ร้องเพลงจบ แล้วเธอตัดสินใจให้เบอร์โทร จังหวะนี้คมสุดๆ ซีนต่อมา คือตอนที่เธอฟังเพลง Up ที่ Conor อัดมาให้เธอฟัง เธอกลับมาถึงบ้าน ล้างเครื่องสำอางออก แล้วฟังเพลงนี้ เธอยิ้มทั้งน้ำตา ซีนนี้หลากหลายอารมณ์มากๆ และซีนที่ผมชอบมาก คือตอนที่เธอกลับมาจากอังกฤษ แล้ว Conor มาหาเธอที่บ้าน แต่เธอบอกว่า เธอคือน้องสาวของ Raphina ซีนนี้ เธอแสดงออกถึงการโกหกผ่านสายตาได้สุดยอดมาก แม้เธอจะบอกแบบนั้นออกไป แต่สายตาเธอกลับบอกสิ่งตรงข้าม เจ๋งมากๆ
อีกคนที่ผมชอบคือ Jack Reynor ที่เล่นเป็น Brendan พี่ชายของ Conor เค้าแสดงได้ดีมาก เราเชื่อว่าเค้าคือตัวละครนี้จริงๆ และซีนระเบิดอารมณ์ของ Brendan คือซีนที่เราต้องนั่งนิ่งและรับฟังในสิ่งที่เค้าระบายออกมา
ชีวิตวัยรุ่นเป็นวัยที่ซับซ้อนมากๆ มีหลากหลายเรื่องราวต้องประสบ ทั้งเรื่องครอบครัว มิตรภาพระหว่างเพื่อน ความรักของวัยหนุ่มสาว และมันไม่เคยง่ายเลยกับสิ่งที่วัยรุ่นแต่ละคนที่ต้องพบเจอ
Conor ต้องย้ายโรงเรียน เนื่องจากที่บ้านไม่สามารถหาเงินมาส่งเค้าเรียนที่โรงเรียนเดิมได้ ชีวิตครอบครัวของเค้าก็ไม่ค่อยจะดีนัก เพราะพ่อแม่ของเค้าทะเลาะกันแทบทุกวัน และถึงขั้นอาจจะแยกกันอยู่เลย Conor เองเป็นเด็กวัยรุ่นที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น สิ่งที่ Conor พอจะทำได้ดี คือการแต่งเพลง ร้องเพลง และวาดรูป เมื่อ Conor บังเอิญได้เจอสาวที่เค้าชอบ สิ่งที่เค้าคิดว่าจะทำให้พิชิตใจเธอให้ได้ ก็คงจะไม่พ้นเสียงเพลงนั่นเอง
หนังเล่าให้เห็นถึงพลังของวัยรุ่นที่เมื่อได้ลองเต็มที่กับเรื่องอะไรบางอย่างแล้ว มันจะมีพลังสุดๆ เรารับรู้ถึงความพยายามในการตั้งวงดนตรี พยายามแต่งเพลงและซ้อมดนตรีด้วยกัน มันทรงพลังมากในการเล่าเรื่องในช่วงนี้ แม้หนังจะไม่ได้เน้นเล่าประเด็นของเพื่อนมากนัก แต่เราก็พอจะรับรู้ได้ถึงความผูกพันและมิตรภาพของพวกเค้า เราชอบความถึงไหนถึงกันของวัยรุ่น หลายครั้ง เราไม่ได้อยากจะทำสิ่งนั้น แต่ในเมื่อถ้าเพื่อนยืนยันที่จะทำสิ่งนั้น เราก็พร้อมจะลุยไปด้วยกัน นี่คือเสน่ห์สุดๆของคนในวัยนี้
เราชอบประเด็นความรู้สึกของ Brendan พี่ชายของ Conor สิ่งที่เค้าเจอมา เราเห็นใจเค้าอย่างสุดซึ้ง ครอบครัวที่พ่อแม่ทะเลาะกันตลอดเวลา และชีวิตวัยรุ่นของเค้า ก็ไม่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่เค้าชอบ สิ่งนั้นถูกส่งผ่านมาที่ Conor ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของเค้า เค้าคอยสนับสนุนน้องชายให้ได้ทำในสิ่งที่น้องชายรัก และแทนความต้องการของเค้าเองด้วย วันที่เค้าระเบิดอารมณ์ระบายความรู้สึกออกมา เรารู้สึกจุกในลำคอ แต่เราก็ชื่นชมสิ่งที่ Brendan ทำมากๆ สุดท้ายเค้าก็คือคนที่ไปส่งน้องชาย ให้เริ่มออกเดินทางไปทำตามความฝันทั้งของเค้าและของน้องชายเอง เราชอบฉากกอดร่ำลาของเค้ากับ Conor ตอนท้ายเรื่องมากๆ มันมีความรู้สึกบางอย่างส่งผ่านอ้อมกอดนั้นไปให้แก่กัน เป็นอ้อมกอดที่ส่งผ่านความฝันของพี่ชายฝากให้น้องชายช่วยไปทำต่อให้สำเร็จด้วย
เราชอบฉากที่ไปถ่ายมิวสิควีดีโอที่ริมทะเล ถึงฉากที่ Raphina ต้องแกล้งกระโดดลงน้ำ แต่พอถึงตอนถ่ายทำจริง เธอกลับเลือกที่จะกระโดดลงทะเลจริงๆ แม้ว่าตัวเธอเองจะว่ายน้ำไม่เป็นก็ตาม หลังจาก Conor กระโดดลงไปช่วยเธอขึ้นมาบนฝั่งแล้ว เธอบอกว่า "เราไม่ควรจะทำอะไรครึ่งๆกลางๆ" มันอาจจะจริงอย่างที่เธอพูด ชีวิตเรามันมีครั้งเดียว และทุกๆนาทีที่ผ่านไปมันก็มีแค่ครั้งเดียว มันคงจะไม่ได้อะไร หากเรายังกล้าๆกลัวๆที่จะทำบางอย่าง ชีวิตเกิดมาแล้ว ก็คงต้องใช้ให้เต็มที่ในทุกทาง
เราชอบที่หนังพูดเรื่องความรัก ในแง่มุมของการเป็นแรงบันดาลใจ เราชอบพลังของแรงบันดาลใจเอามากๆ เราเชื่อว่าทุกคนที่เคยผ่านช่วงวัยนั้นมา จะเข้าใจสิ่งนี้ได้เป็นอย่างดี เราต่างเคยทำอะไรที่เกินความคาดหมายมาแล้วด้วยกันทั้งนั้น เพราะพลังแห่งแรงบันดาลใจนี่แหละที่เป็นพลังแฝงคอยผลักพวกเราให้ไปข้างหน้า คอยหนุนให้เราทำสิ่งที่แม้แต่เราเอง ยังอาจจะไม่เชื่อว่าเราจะทำได้ เรารู้สึกขอบคุณแรงบันดาลใจของเรามากๆ ที่พาชีวิตเรามาได้ไกลขนาดนี้ และทำให้เราเป็นเรามาได้จนถึงทุกวันนี้
เราชอบซีนน่ารักๆที่ Conor ปั่นจักรยานไปส่ง Raphina เค้าแกล้งปั่นวนไปมา เพื่อจะได้ไปอยู่กับ Raphina นานขึ้น และไปส่งเธอช้าขึ้น Rahina เธอทักขึ้นมาว่า เหมือนเราปั่นผ่านมาทางนี้แล้วนะ Conor ตอบเฉไฉกลับไปแบบเขินๆ น่ารักมากๆฉากนี้ มันอาจจะดูเชยหน่อยๆนะ แต่เราชอบมากซีนนี้
เราเชื่อว่าความรู้สึกส่งผ่านถึงกันได้ ทั้งจากคำพูด การกระทำ สายตาหรือบทเพลง และเราเชื่อว่า Raphina รับรู้ถึงสิ่งที่ Conor อยากบอกกับเธอ บทเพลงตอนท้ายเรื่องที่ Conor อัดไปให้เธอฟัง เพลง To Find You สื่อสารความรู้สึกของ Conor ได้เป็นอย่างดี เราชอบประโยคหนึ่งในเพลงนี้มากๆ "I was on my way to find you" แม้เราจะรู้สึกดีกับใครบางคน คิดถึงเค้า อยากเจอเค้าแค่ไหนก็ตาม แต่ในการเดินทางไปหาเค้านั้น เราต้องไปในทางที่เป็นของเรา เมื่อเราเป็นตัวของตัวเองและสามารถไปพบเจอกับใครบางคนได้นั้น ผมคิดว่า มันคงเป็นการพบเจอที่วิเศษสุดๆไปเลย
ความรักในวัยหนุ่มสาวซับซ้อน...แต่สวยงามเสมอ เรารู้สึกว่าหนุ่มสาว เป็นวัยที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้สุดๆ เรามักจะทุ่มไปสุดตัวในทุกครั้งที่มีความรัก ซึ่งแม้ว่ามันจะดูไม่ฉลาดเอาซะเลยในหลายๆครั้ง แต่เราก็ยังคงที่จะยืนข้างการทุ่มตัวสุดในเรื่องความรักเสมอ เราคิดว่าความรักก็เหมือนกับการใช้ชีวิต เราไม่ควรทำอะไรครึ่งๆกลางๆ จะรัก...ก็ควรรักให้เต็มหัวใจ และถึงแม้จะเจ็บ...ก็ควรเจ็บให้มันบาดลึกให้สุดไปเลย แต่เรายังเชื่อเสมอนะว่า ความเจ็บปวด มักจะทำให้เราแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเสมอ
กับประโยคที่ Raphina บอกกับ Conor ว่า "Problem is, you're not happy being sad. That's what love is, Cosmo. Happy sad." เราคิดว่า มันคงจะจริงตามนั้น เราต้องมีความสุขในความเศร้าให้ได้ ความรักและชีวิตมันไม่ได้มีด้านเดียวหรอก ความทุกข์ความเศร้าแม้มันจะยากเมื่อตอนที่เราพบเจอมัน แต่เราต้องเรียนรู้ที่จะมีความสุขในความเศร้าให้ได้ เพราะเมื่อตอนที่เวลาผ่านไปแล้ว มันจะกลายเป็นบทเรียนที่จะช่วยให้เราแข็งแกร่งและเข้าใจชีวิตได้มากขึ้นอีกเยอะเลย
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
Sing Street - บทเพลงแห่งความสุขบนความปวดร้าว (Spoil)
ผลงานจากหนึ่งในผู้กำกับขวัญใจของผม John Carney ที่เราสุดแสนจะประทับใจผลงานของเค้าจากหนังเรื่อง Once หนังที่เล่าเรื่องความสัมพันธ์ของคนธรรมดาได้สมจริงและถึงอารมณ์สุดๆ และกับเรื่อง Begin Again ที่หนังดูง่ายขึ้น แต่ต้องแลกกับความสมจริงที่ลดลงและการถ่ายทอดอารมณ์ที่ไม่เต็มที่เท่าเดิม แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่เรายังยอมรับได้อยู่
มาถึง Sing Street เราค่อนข้างผิดหวังหน่อยๆ อาจจะเพราะเราตั้งความหวังไว้ค่อนข้างสูง หนังมาในแนวทางเดียวกับ Begin Again แต่โดยส่วนตัวเรารู้สึกเข้าถึงอารมณ์ของ Begin Again มากกว่าเรื่องนี้ เราเข้าใจได้ว่า John คงอยากให้หนังมันเข้าถึงคนดูส่วนใหญ่ได้มากขึ้น แต่มันต้องแลกกับความสมจริงที่ลดลงไป และอารมณ์แบบดำดิ่งที่เราเคยสัมผัสใน Once และเราชอบมาก มันกลับเหลือไว้แต่เพียงเบาบางเท่านั้น เรารู้สึกว่าหนังมันไม่เลือกโฟกัสประเด็น ทำให้เล่าหลายประเด็นมากเกินไป และความรู้สึกส่วนตัว เรารู้สึกว่ามันทำได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควรในหลายๆประเด็น และที่สำคัญเราไม่ค่อยชอบตอนจบ เรารู้สึกว่า หนังจบแค่ตอนออกเรือไปก็พอแล้ว อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวสุดๆ
แต่มันก็ยังเป็นหนังดีเรื่องหนึ่งที่เราแนะนำให้ไปดูนะ
เพลงประกอบและดนตรีประกอบยังทำได้ยอดเยี่ยมตามมาตรฐานของ John Carney เราชอบดนตรีป๊อบแปลกๆแบบนี้เป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว และเราชอบเนื้อหาเพลงที่เล่าเรื่องเพื่อสื่อสารแบบนี้ เราชอบเพลง Up ที่ Conor แต่งขึ้น เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกที่เค้ามีต่อ Raphina
Across the street on a grayed-out Monday.
I see the girl with the eyes I can't describe.
And suddeny it's a perfect Sunday.
การถ่ายภาพอาจไม่ใช่จุดเด่นมากนักของหนังเรื่องนี้ ผมว่าทำได้แค่เสมอตัว ไม่ได้โดดเด่น แต่ก็ไม่แย่แต่อย่างใด
แต่สิ่งที่ Sing Street ทำได้ดีมาก คือ หนังเล่าเรื่องได้สนุกน่าติดตามมากๆ เราไม่รู้สึกเบื่อแม้แต่วินาทีเดียว แม้มันจะมีความป๊อบอยู่มากๆก็ตาม แต่ถือว่ามันสะกดเราให้สนใจได้ตลอดทั้งเรื่องเลย
พาร์ทการแสดงผมยังเฉยๆกับการแสดงของ Ferdia Walsh-Peelo ที่เล่นเป็น Conor Lalor ตัวเอกของเรื่อง เรายังรู้สึกว่าหลายๆซีนเค้ายังส่งออกมาได้ไม่เต็มที่ แต่ก็พอเข้าใจได้ว่า บทของตัวละคร Conor มันไม่ใช่ตัวละครที่เล่นได้ง่ายๆ
แต่ผมชอบการแสดงของ Lucy Boynton ที่เล่นเป็น Raphina มากๆ ตัวละครนี้มีความซับซ้อนสูง การแสดงหลายๆฉากที่ต้องกลบเกลื่อนความรู้สึกอีกอย่างของตัวเองเอาไว้ เธอทำได้ยอดเยี่ยมมาก ผมประทับใจ 2-3 ซีนของเธอ ซีนแรกคือฉากแรกที่เจอกับ Conor หน้าโรงเรียน เธอเล่นได้มีเสน่ห์มากๆ เธอเล่นรีแอ็คกับ Conor ตอน Conor ร้องเพลงจบ แล้วเธอตัดสินใจให้เบอร์โทร จังหวะนี้คมสุดๆ ซีนต่อมา คือตอนที่เธอฟังเพลง Up ที่ Conor อัดมาให้เธอฟัง เธอกลับมาถึงบ้าน ล้างเครื่องสำอางออก แล้วฟังเพลงนี้ เธอยิ้มทั้งน้ำตา ซีนนี้หลากหลายอารมณ์มากๆ และซีนที่ผมชอบมาก คือตอนที่เธอกลับมาจากอังกฤษ แล้ว Conor มาหาเธอที่บ้าน แต่เธอบอกว่า เธอคือน้องสาวของ Raphina ซีนนี้ เธอแสดงออกถึงการโกหกผ่านสายตาได้สุดยอดมาก แม้เธอจะบอกแบบนั้นออกไป แต่สายตาเธอกลับบอกสิ่งตรงข้าม เจ๋งมากๆ
อีกคนที่ผมชอบคือ Jack Reynor ที่เล่นเป็น Brendan พี่ชายของ Conor เค้าแสดงได้ดีมาก เราเชื่อว่าเค้าคือตัวละครนี้จริงๆ และซีนระเบิดอารมณ์ของ Brendan คือซีนที่เราต้องนั่งนิ่งและรับฟังในสิ่งที่เค้าระบายออกมา
ชีวิตวัยรุ่นเป็นวัยที่ซับซ้อนมากๆ มีหลากหลายเรื่องราวต้องประสบ ทั้งเรื่องครอบครัว มิตรภาพระหว่างเพื่อน ความรักของวัยหนุ่มสาว และมันไม่เคยง่ายเลยกับสิ่งที่วัยรุ่นแต่ละคนที่ต้องพบเจอ
Conor ต้องย้ายโรงเรียน เนื่องจากที่บ้านไม่สามารถหาเงินมาส่งเค้าเรียนที่โรงเรียนเดิมได้ ชีวิตครอบครัวของเค้าก็ไม่ค่อยจะดีนัก เพราะพ่อแม่ของเค้าทะเลาะกันแทบทุกวัน และถึงขั้นอาจจะแยกกันอยู่เลย Conor เองเป็นเด็กวัยรุ่นที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น สิ่งที่ Conor พอจะทำได้ดี คือการแต่งเพลง ร้องเพลง และวาดรูป เมื่อ Conor บังเอิญได้เจอสาวที่เค้าชอบ สิ่งที่เค้าคิดว่าจะทำให้พิชิตใจเธอให้ได้ ก็คงจะไม่พ้นเสียงเพลงนั่นเอง
หนังเล่าให้เห็นถึงพลังของวัยรุ่นที่เมื่อได้ลองเต็มที่กับเรื่องอะไรบางอย่างแล้ว มันจะมีพลังสุดๆ เรารับรู้ถึงความพยายามในการตั้งวงดนตรี พยายามแต่งเพลงและซ้อมดนตรีด้วยกัน มันทรงพลังมากในการเล่าเรื่องในช่วงนี้ แม้หนังจะไม่ได้เน้นเล่าประเด็นของเพื่อนมากนัก แต่เราก็พอจะรับรู้ได้ถึงความผูกพันและมิตรภาพของพวกเค้า เราชอบความถึงไหนถึงกันของวัยรุ่น หลายครั้ง เราไม่ได้อยากจะทำสิ่งนั้น แต่ในเมื่อถ้าเพื่อนยืนยันที่จะทำสิ่งนั้น เราก็พร้อมจะลุยไปด้วยกัน นี่คือเสน่ห์สุดๆของคนในวัยนี้
เราชอบประเด็นความรู้สึกของ Brendan พี่ชายของ Conor สิ่งที่เค้าเจอมา เราเห็นใจเค้าอย่างสุดซึ้ง ครอบครัวที่พ่อแม่ทะเลาะกันตลอดเวลา และชีวิตวัยรุ่นของเค้า ก็ไม่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่เค้าชอบ สิ่งนั้นถูกส่งผ่านมาที่ Conor ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของเค้า เค้าคอยสนับสนุนน้องชายให้ได้ทำในสิ่งที่น้องชายรัก และแทนความต้องการของเค้าเองด้วย วันที่เค้าระเบิดอารมณ์ระบายความรู้สึกออกมา เรารู้สึกจุกในลำคอ แต่เราก็ชื่นชมสิ่งที่ Brendan ทำมากๆ สุดท้ายเค้าก็คือคนที่ไปส่งน้องชาย ให้เริ่มออกเดินทางไปทำตามความฝันทั้งของเค้าและของน้องชายเอง เราชอบฉากกอดร่ำลาของเค้ากับ Conor ตอนท้ายเรื่องมากๆ มันมีความรู้สึกบางอย่างส่งผ่านอ้อมกอดนั้นไปให้แก่กัน เป็นอ้อมกอดที่ส่งผ่านความฝันของพี่ชายฝากให้น้องชายช่วยไปทำต่อให้สำเร็จด้วย
เราชอบฉากที่ไปถ่ายมิวสิควีดีโอที่ริมทะเล ถึงฉากที่ Raphina ต้องแกล้งกระโดดลงน้ำ แต่พอถึงตอนถ่ายทำจริง เธอกลับเลือกที่จะกระโดดลงทะเลจริงๆ แม้ว่าตัวเธอเองจะว่ายน้ำไม่เป็นก็ตาม หลังจาก Conor กระโดดลงไปช่วยเธอขึ้นมาบนฝั่งแล้ว เธอบอกว่า "เราไม่ควรจะทำอะไรครึ่งๆกลางๆ" มันอาจจะจริงอย่างที่เธอพูด ชีวิตเรามันมีครั้งเดียว และทุกๆนาทีที่ผ่านไปมันก็มีแค่ครั้งเดียว มันคงจะไม่ได้อะไร หากเรายังกล้าๆกลัวๆที่จะทำบางอย่าง ชีวิตเกิดมาแล้ว ก็คงต้องใช้ให้เต็มที่ในทุกทาง
เราชอบที่หนังพูดเรื่องความรัก ในแง่มุมของการเป็นแรงบันดาลใจ เราชอบพลังของแรงบันดาลใจเอามากๆ เราเชื่อว่าทุกคนที่เคยผ่านช่วงวัยนั้นมา จะเข้าใจสิ่งนี้ได้เป็นอย่างดี เราต่างเคยทำอะไรที่เกินความคาดหมายมาแล้วด้วยกันทั้งนั้น เพราะพลังแห่งแรงบันดาลใจนี่แหละที่เป็นพลังแฝงคอยผลักพวกเราให้ไปข้างหน้า คอยหนุนให้เราทำสิ่งที่แม้แต่เราเอง ยังอาจจะไม่เชื่อว่าเราจะทำได้ เรารู้สึกขอบคุณแรงบันดาลใจของเรามากๆ ที่พาชีวิตเรามาได้ไกลขนาดนี้ และทำให้เราเป็นเรามาได้จนถึงทุกวันนี้
เราชอบซีนน่ารักๆที่ Conor ปั่นจักรยานไปส่ง Raphina เค้าแกล้งปั่นวนไปมา เพื่อจะได้ไปอยู่กับ Raphina นานขึ้น และไปส่งเธอช้าขึ้น Rahina เธอทักขึ้นมาว่า เหมือนเราปั่นผ่านมาทางนี้แล้วนะ Conor ตอบเฉไฉกลับไปแบบเขินๆ น่ารักมากๆฉากนี้ มันอาจจะดูเชยหน่อยๆนะ แต่เราชอบมากซีนนี้
เราเชื่อว่าความรู้สึกส่งผ่านถึงกันได้ ทั้งจากคำพูด การกระทำ สายตาหรือบทเพลง และเราเชื่อว่า Raphina รับรู้ถึงสิ่งที่ Conor อยากบอกกับเธอ บทเพลงตอนท้ายเรื่องที่ Conor อัดไปให้เธอฟัง เพลง To Find You สื่อสารความรู้สึกของ Conor ได้เป็นอย่างดี เราชอบประโยคหนึ่งในเพลงนี้มากๆ "I was on my way to find you" แม้เราจะรู้สึกดีกับใครบางคน คิดถึงเค้า อยากเจอเค้าแค่ไหนก็ตาม แต่ในการเดินทางไปหาเค้านั้น เราต้องไปในทางที่เป็นของเรา เมื่อเราเป็นตัวของตัวเองและสามารถไปพบเจอกับใครบางคนได้นั้น ผมคิดว่า มันคงเป็นการพบเจอที่วิเศษสุดๆไปเลย
ความรักในวัยหนุ่มสาวซับซ้อน...แต่สวยงามเสมอ เรารู้สึกว่าหนุ่มสาว เป็นวัยที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้สุดๆ เรามักจะทุ่มไปสุดตัวในทุกครั้งที่มีความรัก ซึ่งแม้ว่ามันจะดูไม่ฉลาดเอาซะเลยในหลายๆครั้ง แต่เราก็ยังคงที่จะยืนข้างการทุ่มตัวสุดในเรื่องความรักเสมอ เราคิดว่าความรักก็เหมือนกับการใช้ชีวิต เราไม่ควรทำอะไรครึ่งๆกลางๆ จะรัก...ก็ควรรักให้เต็มหัวใจ และถึงแม้จะเจ็บ...ก็ควรเจ็บให้มันบาดลึกให้สุดไปเลย แต่เรายังเชื่อเสมอนะว่า ความเจ็บปวด มักจะทำให้เราแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเสมอ
กับประโยคที่ Raphina บอกกับ Conor ว่า "Problem is, you're not happy being sad. That's what love is, Cosmo. Happy sad." เราคิดว่า มันคงจะจริงตามนั้น เราต้องมีความสุขในความเศร้าให้ได้ ความรักและชีวิตมันไม่ได้มีด้านเดียวหรอก ความทุกข์ความเศร้าแม้มันจะยากเมื่อตอนที่เราพบเจอมัน แต่เราต้องเรียนรู้ที่จะมีความสุขในความเศร้าให้ได้ เพราะเมื่อตอนที่เวลาผ่านไปแล้ว มันจะกลายเป็นบทเรียนที่จะช่วยให้เราแข็งแกร่งและเข้าใจชีวิตได้มากขึ้นอีกเยอะเลย
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/