ภาคนี้ผมดูในโรงหรือช่วงที่มันออกฉายไม่ทันหรอก อาศัยตามดูเอาในแผ่น vcd ที่ได้มาจากตลาดนัดคลองถมสมัยนั้น และยังเก็บมาจนถึงปัจจุบันนี้ จริงๆ แล้วผมโตมากับก็อตซิลล่ายุค เฮเซย์ 1989-1995 ซึ่งเป็นยุคที่ภาพยนต์ก็อตซิลล่ารุ่งเรืองจนถึงขีดสุด เรียกได้ว่าเป็นยุคทองของก็อตซิลล่าจริงๆ แต่ในที่นี้เราจะมาพูดถึงก็อตซิลล่า ปี 1954 ซึ่งเป็นภาคแรกของโลก และผม ยังยกให้เป็นภาคหนึ่งในดวงใจอีกภาค ที่พูดถึงชื่อก็อตซิลล่าทีไร ผมจะนึกถึงเจ้าตัวนี้ทันที เช่นเดียวกับเฮเซย์ก็อตซิลล่า
ก็อตซิลล่า 1954 ภาคนี้น่ากลัวมากจริงๆ ครับ นำเสนออกมาในแนวทางของหนังไซไฟ ระทึกขวัญ หายนะ ฯลฯ โทนเรื่อง ความหมนมืด ดาร์กๆ ปริศนาต่างๆ ก็เริ่มจากความเชื่อลึกลับของชาวเกาะ ที่ว่ามีสัตว์ประหลาดหลับไหลอยู่ใต้มหาสมุทร เป็นเหมือนอสูรร้ายในตำนานญี่ปุ่น ที่ทุกๆ ปี ชาวเกาะจะต้องสงหญิงสาวไปเป็นเครื่องเซ่นสังเวย เพื่อให้หมู่บ้านสงบสุข หลัง ๆมา มักมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นถี่ขึ้น กับเหตเรือประมงหาปลามักจะชอบล่มบริเวณปากป่าวใกล้ๆ เกาะที่เกิดเรื่อง ชาวเกาะมีความเชื่อว่าเป็นฝีมือของ โกจิระ(ก็อตซิลล่า) จนทีมสำรวจที่เป็นนักดึกดำบรรพ์วิทยา และนักวิทยาศาตร์ต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวนี้ด้วย ต่อมามีการปรากฏตัวของ ก็อตซิลล่า เจ้าของเรื่องบนเกาะที่เกิดเหต ลุกลามมาจนถึงเจ้าตัวต้นเหตบุกมาอาละวาดถึงบ้าน(โตเกียว) จนเกิดเป็นหายนะ จบท้ายการตอบโต้กลับขอมนุษย์ ด้วยการคิดค้นหาวิธีกำจัดก็อตซิลล่า ก็อตซิลล่า 1954 จึงถือว่าเป็นหนังที่สเกลใหญ่มากๆ สำหรับวงการภาพยนต์ญี่ปุ่นสมัยนั้น รวมทั้งเสียงซาวน์ประกอบ โดยทีมงาน อาคิระ อิฟุคุเบะ บวกกับเทคนิกที่ค่อนข้างจะทันสมัยมากๆ สำหรับยุคนั้น จาก Tsuburaya Toho ทำให้การที่เราได้เห็นสัตว์ประหลาดเหมือนไดโนเสาร์ตัวโตๆ มาเดินเหยียบบ้านเหยียบคน โดยที่กองกำลังป้องกันของทางทหารไม่สามารถทำอะไรมันได้แม้แต่นิดเดียว ทำได้เพียงแค่ไล่มันไปชั่วคราวเท่านั้น ก็ถือว่าเป็นอะไรที่ตื่นเต้นระทึกขวัญแล้วครับ
ดีไซน์ชุดสูทก็อตซิลล่าภาคนั้นดูน่ากลัวมากๆ ตัวเหมือนไดโนเสาร์(ที่ยุคนั้นยังคงอิมเมจว่ามันเดินสองเท้าหลังตรงแบบจิงโจ้)แต่มีผิวหนังหยาบยุ่ยสีเทาเข้ม ดวงตากลมๆ เล็กๆ เหลือกไปเหลือกมาไม่มีเปลือกตา ฟันซีกตรงๆ แหลมๆ เรียงกันแบบไม่เป็นระเบียบในขากรรไกร ครีบหลังที่ดูซ้อนกันยุ่บยับแบบปากะรัง และเสียงร้องที่ก้องกังวาลแต่ทุ่มต่ำที่เป็นเอกลักษณ์ คือลืมภาพก็อตซิลล่าแบ๊วๆ ที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวก็ช่วยกู้โลกของยุคโชวะไปได้เลย และญี่ปุ่นเองก็เพิ่งกลับมาจริงจังและสร้างอิมเมจให้ก็อตซิลล่ากลับไปดูจริงจังแบบเดิมก็เมื่อย่างเข้ายุคเฮเซย์นี้เอง (ช่วง 1989 - 1995) แต่ก็ทำได้แต่เพียงเรียกความอลังการน่าเกรงขามของมันให้กลับมาได้เท่านั้น ส่วนความสยดสยองขนลุกนั้นเพิ่งจะเห็นกลับมาในรูปแบบของ Shin Godzilla 2016 นี้เอง
ฉากที่เป็นตำนานของ ปี 1954 สำหรับสายตาผมมีหลายฉากมาก แต่ที่ผมยกให้เป็นที่หนึ่งเลย มีอยู่ 2 ฉากด้วยกัน คือ
ฉากที่ก็อตซิลล่าปรากฏตัวครั้งแรกบนเกาะกลางทะเล โดยทีแรกมาเป็นเสียงก่อน... มาเป็นเสียงชาวเกาะชาวประมงโวยวายโกลาหลแล้วก็เสียงฝีเท้าคนวิ่ง ตามมาติดๆ ด้วยเสียงการตีฆ้องประกาศเตือนภัยสำหรับชาวเกาะ (ซึ่งสมัยนั้นในสถานที่ยังไม่เจริญแบบนั้นก็ยังไม่มีเสียงไซเรนละนะครับ) สักพักหนึ่งเสียงฝีเท้ามหึมาก็ตังกระทบพื้นดิน ดัง ตึง...ตึง... ตึง...! อันเป็นเสียงฝีเท้าของก็อตซิลล่าในภาคนี้ และยังเป็นเหมือนลายเซ็นต์อย่างหนึ่งของภาค 1954 นี้ด้วย ที่ทางลาดเชิงเขาลูกหนึ่ง ในขณะที่ชาวเกาะกำลังวิ่งสวนทางมากลับคณะพวกตัวเอกที่ต้องการจะตามหาต้นตอของเสียงฝีเท้า พร้อมกับตะโกนว่า "อันตราย อย่าไปทางนั้น!" ทันใดนั้นที่ฉากหลังภูเขาลูกนั้นก็ปรากฏหัวของสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์สูงราว 30 กว่าเมตรชะโงกขึ้นมาพร้อมกับคำรามลั่น ทำเอาพวกคณะตัวละครเอกเหล่านั้นถึงกับตะลึงงันหัวใจแทบหยุดเต้นกันไปทีเดียว ก่อนที่หัวนั้นจะมองสอดส่ายซ้ายขวา และก้มหายไปครู่หนึ่ง ไม่กี่วินาทีต่อมามันโผล่มาอีกครั้ง คราวนี้มันคาบวัวตัวโตไว้ในปาก! และเคี้ยวกินอย่างอร่อย...
ฉากที่สองคือช่วงที่ก็อตซิลล่าบุกขึ้นมาอาละวาดในเมืองหลวง(โตเกียว) ซึ่งคนดูก็คิดไม่ถึงหรอก ว่าหลังจากที่มันอาละวาดบนเกาะแล้วเรื่องราวจะลุกลามมาจนถึงขนาดนี้ การถล่มโตเกียวนี้เป็นฉากใหญ่ เพราะนอกจากผู้กำกับ และทีมทำสเปเชียลเอฟเฟกต์จะต้องเนรมิตในโตเกียวเป็นเหมือนทะเลเพลิง เช่นเดียวกับสภาพที่ฮิโรชิมะโดนระเบิดนิวเคลียร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง และความโกลาหลเอาตัวรอดของผู้คนรุ่นปู่รุ่นย่าเราแล้ว รถไฟขบวนหนึ่งซึ่งกำลังเร่งด้วยความเร็ว ในขบวนมีผู้โดยสารตกใจกับเหตการณ์โกลาหลที่เกิดขึ้น ด้วยเพราะเห็นบ้านเมืองลุกเป็นไฟ โดยควันไฟพวยพุ้งสู่ท้องฟ้าเบื้องหน้า และชาวเมืองที่วิ่งหนีอยู่นอกหน้าต่างรถ โดยที่ในคันรถยังไม่เห็นด้วยซ้ำ ว่าต้นตอของหายนะคืออะไร! ทันใดนั้นก็มีอุ้งเท้าขนาดใหญ่เหยียบกระแทกลงมาที่หัวขบวนรถ ตรงกับห้องผู้ขับพอดี เกิดการระเบิดที่ต้นขบวน โครม...! ขบวนท้ายที่เหลือหยุดกระชากลอยสูงขึ้นเหนือรางรถไปตามๆ กัน ผู้โดยสารกระแทกกระเด็นไปคนละทิศละทาง ก่อนที่เจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์จะก้มลงงับตู้รถไฟไว้ในปากของมัน แล้วกัดขาดเป็นสองท่อน...
จุดจบของก็อตซิลล่า 1954...
ก็อตซิล่าแต่ละตัว แต่ละยุคย่อมมีจุดจบ บางซีรี่ย์ก็อตซิลล่าตายตอนจบ บางซีรี่ย์แค่เดินกลับไปยังทะเลเพื่อสานต่อไปยังภาคถัดมา บางซีรี่ย์ก็อาละวาดทำลายบ้านเมืองเพื่อประกาศให้รู้ว่าตนเองคือ God หรือ King of monsters ก่อนที่ฉากนั้นจะตัดจบลง แต่สำหรับก็อตซิลล่า 1954 นั้น ได้ตายลงในตอนจบของภาพยนต์ โดยต้องขอบออก่อนว่าก็อตซิลล่าตัวนี้ผิวหนังแข็งแกร่งมาก จนไม่มีอาวุธใดของกองกำลังป้องกันตนเองทำร้ายได้ คิดดูว่าสมัย 50 กว่าปีที่แล้ว เครื่องบินรบ รถถัง จรวดมิสไซส์ของญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าเป็นยุทะโะปกรณ์ที่ทรงอานุภาพมาก ยังยิงไม่เข้าผิวหนังก็อตซิลล่า ทำได้เพียงแค่ให้มันรำคาญ จนหนีกลับลงทะเลไป ดร. เซริซาวะ นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังของญีปุ่นในสมัยนั้น(ในเฉพาะภาพยนต์) ทนเห็นความหายนะของบ้านเรือน และผู้คนที่ถูกก็อตซิลล่าทำลายไม่ได้ จึงได้เผยโปรเจกต์ลับของอาวุธที่ตนเองคิดค้นในกับกับตัวละครเอก มันคืออาวุธชีวภาพที่มีสภาพเป็นอ็อกซิเจนทำลายล้าง มันคือ "อ็อกซิเจนเดสทรอยเออร์" โดยเซริซาว่าได้สาธิตให้กับนางเอกเห็นถึงอำนาจการทำลายล้างของมันโดยใส่ไว้ในตู้ปลาเพียงแค่เศษเสี้ยวเดียว ไม่กี่วินาทีต่อมาอาวุธที่ว่านี้ได้กลายสภาพเป็นฟองอากาศกัดกินปลาทั้งหมดในตู้จนเหลือเพียงเศษก้างปลาเท่านั้น เซริซาว่ากล่าวว่า "นี่เป็นแค่เศษเสี้ยวเดียวของอ็อกซิเจนเดสทรอยเออร์ หากนำทั้งหมดของมันหย่อนลงไปในน้ำ ก็จะสามารถทำให้ทั้งอ่าวโตเกียวกลายสภาพเป็นสุสานได้เลย...!" เซริซาว่าบอกว่ามันจะเป็นอาวุธเดียวที่สามารถฆ่าก็อตซิลล่าลงได้
แต่อาวุธที่แสนพิเศษที่เปรียบเสมือนความหวังนี้ ก็ต้องแลกด้วยบางอย่าง ดร. เซริซาว่ากลัวว่าหลังจากที่กำจัดก็อตซิลล่าได้แล้ว อ๊อกซิเจนเดสทรอยเออร์จะถูกนำไปใช้ทางการทหาร ซึ่งมันจะส่งผลร้ายแรง และอาจจะบานปลายทำให้เกิดสงครามโลกตามมาอีกได้ จึงตัดสินใจเป็นผู้นำอ็อกซิเจนเดสทรอยเออร์นี้ไปใช้จัดการกัดก็อตซิลล่าที่ใต้มหาสมุทรเอง และได้ปลิดชีวิตตัวเองไปพร้อมกับการตายของก็อตซิลล่า นับเป็นโศรกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่งในโลกภาพยนต์ "หากโลกใบนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่าอาวุธนิวเคลียร์อยู่ ไม่แน่ว่าอาจจะมีก็อตซิลล่าตัวที่ 2 โผล่มาอีกก็ได้..." ตัวละครเอกคนหนึ่งกล่าวไว้เป็นปมในฉากท้ายของภาพยนต์
ตำนานแห่ง Godzilla 1954
ภาคนี้ผมดูในโรงหรือช่วงที่มันออกฉายไม่ทันหรอก อาศัยตามดูเอาในแผ่น vcd ที่ได้มาจากตลาดนัดคลองถมสมัยนั้น และยังเก็บมาจนถึงปัจจุบันนี้ จริงๆ แล้วผมโตมากับก็อตซิลล่ายุค เฮเซย์ 1989-1995 ซึ่งเป็นยุคที่ภาพยนต์ก็อตซิลล่ารุ่งเรืองจนถึงขีดสุด เรียกได้ว่าเป็นยุคทองของก็อตซิลล่าจริงๆ แต่ในที่นี้เราจะมาพูดถึงก็อตซิลล่า ปี 1954 ซึ่งเป็นภาคแรกของโลก และผม ยังยกให้เป็นภาคหนึ่งในดวงใจอีกภาค ที่พูดถึงชื่อก็อตซิลล่าทีไร ผมจะนึกถึงเจ้าตัวนี้ทันที เช่นเดียวกับเฮเซย์ก็อตซิลล่า
ก็อตซิลล่า 1954 ภาคนี้น่ากลัวมากจริงๆ ครับ นำเสนออกมาในแนวทางของหนังไซไฟ ระทึกขวัญ หายนะ ฯลฯ โทนเรื่อง ความหมนมืด ดาร์กๆ ปริศนาต่างๆ ก็เริ่มจากความเชื่อลึกลับของชาวเกาะ ที่ว่ามีสัตว์ประหลาดหลับไหลอยู่ใต้มหาสมุทร เป็นเหมือนอสูรร้ายในตำนานญี่ปุ่น ที่ทุกๆ ปี ชาวเกาะจะต้องสงหญิงสาวไปเป็นเครื่องเซ่นสังเวย เพื่อให้หมู่บ้านสงบสุข หลัง ๆมา มักมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นถี่ขึ้น กับเหตเรือประมงหาปลามักจะชอบล่มบริเวณปากป่าวใกล้ๆ เกาะที่เกิดเรื่อง ชาวเกาะมีความเชื่อว่าเป็นฝีมือของ โกจิระ(ก็อตซิลล่า) จนทีมสำรวจที่เป็นนักดึกดำบรรพ์วิทยา และนักวิทยาศาตร์ต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวนี้ด้วย ต่อมามีการปรากฏตัวของ ก็อตซิลล่า เจ้าของเรื่องบนเกาะที่เกิดเหต ลุกลามมาจนถึงเจ้าตัวต้นเหตบุกมาอาละวาดถึงบ้าน(โตเกียว) จนเกิดเป็นหายนะ จบท้ายการตอบโต้กลับขอมนุษย์ ด้วยการคิดค้นหาวิธีกำจัดก็อตซิลล่า ก็อตซิลล่า 1954 จึงถือว่าเป็นหนังที่สเกลใหญ่มากๆ สำหรับวงการภาพยนต์ญี่ปุ่นสมัยนั้น รวมทั้งเสียงซาวน์ประกอบ โดยทีมงาน อาคิระ อิฟุคุเบะ บวกกับเทคนิกที่ค่อนข้างจะทันสมัยมากๆ สำหรับยุคนั้น จาก Tsuburaya Toho ทำให้การที่เราได้เห็นสัตว์ประหลาดเหมือนไดโนเสาร์ตัวโตๆ มาเดินเหยียบบ้านเหยียบคน โดยที่กองกำลังป้องกันของทางทหารไม่สามารถทำอะไรมันได้แม้แต่นิดเดียว ทำได้เพียงแค่ไล่มันไปชั่วคราวเท่านั้น ก็ถือว่าเป็นอะไรที่ตื่นเต้นระทึกขวัญแล้วครับ
ดีไซน์ชุดสูทก็อตซิลล่าภาคนั้นดูน่ากลัวมากๆ ตัวเหมือนไดโนเสาร์(ที่ยุคนั้นยังคงอิมเมจว่ามันเดินสองเท้าหลังตรงแบบจิงโจ้)แต่มีผิวหนังหยาบยุ่ยสีเทาเข้ม ดวงตากลมๆ เล็กๆ เหลือกไปเหลือกมาไม่มีเปลือกตา ฟันซีกตรงๆ แหลมๆ เรียงกันแบบไม่เป็นระเบียบในขากรรไกร ครีบหลังที่ดูซ้อนกันยุ่บยับแบบปากะรัง และเสียงร้องที่ก้องกังวาลแต่ทุ่มต่ำที่เป็นเอกลักษณ์ คือลืมภาพก็อตซิลล่าแบ๊วๆ ที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวก็ช่วยกู้โลกของยุคโชวะไปได้เลย และญี่ปุ่นเองก็เพิ่งกลับมาจริงจังและสร้างอิมเมจให้ก็อตซิลล่ากลับไปดูจริงจังแบบเดิมก็เมื่อย่างเข้ายุคเฮเซย์นี้เอง (ช่วง 1989 - 1995) แต่ก็ทำได้แต่เพียงเรียกความอลังการน่าเกรงขามของมันให้กลับมาได้เท่านั้น ส่วนความสยดสยองขนลุกนั้นเพิ่งจะเห็นกลับมาในรูปแบบของ Shin Godzilla 2016 นี้เอง
ฉากที่เป็นตำนานของ ปี 1954 สำหรับสายตาผมมีหลายฉากมาก แต่ที่ผมยกให้เป็นที่หนึ่งเลย มีอยู่ 2 ฉากด้วยกัน คือ ฉากที่ก็อตซิลล่าปรากฏตัวครั้งแรกบนเกาะกลางทะเล โดยทีแรกมาเป็นเสียงก่อน... มาเป็นเสียงชาวเกาะชาวประมงโวยวายโกลาหลแล้วก็เสียงฝีเท้าคนวิ่ง ตามมาติดๆ ด้วยเสียงการตีฆ้องประกาศเตือนภัยสำหรับชาวเกาะ (ซึ่งสมัยนั้นในสถานที่ยังไม่เจริญแบบนั้นก็ยังไม่มีเสียงไซเรนละนะครับ) สักพักหนึ่งเสียงฝีเท้ามหึมาก็ตังกระทบพื้นดิน ดัง ตึง...ตึง... ตึง...! อันเป็นเสียงฝีเท้าของก็อตซิลล่าในภาคนี้ และยังเป็นเหมือนลายเซ็นต์อย่างหนึ่งของภาค 1954 นี้ด้วย ที่ทางลาดเชิงเขาลูกหนึ่ง ในขณะที่ชาวเกาะกำลังวิ่งสวนทางมากลับคณะพวกตัวเอกที่ต้องการจะตามหาต้นตอของเสียงฝีเท้า พร้อมกับตะโกนว่า "อันตราย อย่าไปทางนั้น!" ทันใดนั้นที่ฉากหลังภูเขาลูกนั้นก็ปรากฏหัวของสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์สูงราว 30 กว่าเมตรชะโงกขึ้นมาพร้อมกับคำรามลั่น ทำเอาพวกคณะตัวละครเอกเหล่านั้นถึงกับตะลึงงันหัวใจแทบหยุดเต้นกันไปทีเดียว ก่อนที่หัวนั้นจะมองสอดส่ายซ้ายขวา และก้มหายไปครู่หนึ่ง ไม่กี่วินาทีต่อมามันโผล่มาอีกครั้ง คราวนี้มันคาบวัวตัวโตไว้ในปาก! และเคี้ยวกินอย่างอร่อย...
ฉากที่สองคือช่วงที่ก็อตซิลล่าบุกขึ้นมาอาละวาดในเมืองหลวง(โตเกียว) ซึ่งคนดูก็คิดไม่ถึงหรอก ว่าหลังจากที่มันอาละวาดบนเกาะแล้วเรื่องราวจะลุกลามมาจนถึงขนาดนี้ การถล่มโตเกียวนี้เป็นฉากใหญ่ เพราะนอกจากผู้กำกับ และทีมทำสเปเชียลเอฟเฟกต์จะต้องเนรมิตในโตเกียวเป็นเหมือนทะเลเพลิง เช่นเดียวกับสภาพที่ฮิโรชิมะโดนระเบิดนิวเคลียร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง และความโกลาหลเอาตัวรอดของผู้คนรุ่นปู่รุ่นย่าเราแล้ว รถไฟขบวนหนึ่งซึ่งกำลังเร่งด้วยความเร็ว ในขบวนมีผู้โดยสารตกใจกับเหตการณ์โกลาหลที่เกิดขึ้น ด้วยเพราะเห็นบ้านเมืองลุกเป็นไฟ โดยควันไฟพวยพุ้งสู่ท้องฟ้าเบื้องหน้า และชาวเมืองที่วิ่งหนีอยู่นอกหน้าต่างรถ โดยที่ในคันรถยังไม่เห็นด้วยซ้ำ ว่าต้นตอของหายนะคืออะไร! ทันใดนั้นก็มีอุ้งเท้าขนาดใหญ่เหยียบกระแทกลงมาที่หัวขบวนรถ ตรงกับห้องผู้ขับพอดี เกิดการระเบิดที่ต้นขบวน โครม...! ขบวนท้ายที่เหลือหยุดกระชากลอยสูงขึ้นเหนือรางรถไปตามๆ กัน ผู้โดยสารกระแทกกระเด็นไปคนละทิศละทาง ก่อนที่เจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์จะก้มลงงับตู้รถไฟไว้ในปากของมัน แล้วกัดขาดเป็นสองท่อน...
จุดจบของก็อตซิลล่า 1954...
ก็อตซิล่าแต่ละตัว แต่ละยุคย่อมมีจุดจบ บางซีรี่ย์ก็อตซิลล่าตายตอนจบ บางซีรี่ย์แค่เดินกลับไปยังทะเลเพื่อสานต่อไปยังภาคถัดมา บางซีรี่ย์ก็อาละวาดทำลายบ้านเมืองเพื่อประกาศให้รู้ว่าตนเองคือ God หรือ King of monsters ก่อนที่ฉากนั้นจะตัดจบลง แต่สำหรับก็อตซิลล่า 1954 นั้น ได้ตายลงในตอนจบของภาพยนต์ โดยต้องขอบออก่อนว่าก็อตซิลล่าตัวนี้ผิวหนังแข็งแกร่งมาก จนไม่มีอาวุธใดของกองกำลังป้องกันตนเองทำร้ายได้ คิดดูว่าสมัย 50 กว่าปีที่แล้ว เครื่องบินรบ รถถัง จรวดมิสไซส์ของญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าเป็นยุทะโะปกรณ์ที่ทรงอานุภาพมาก ยังยิงไม่เข้าผิวหนังก็อตซิลล่า ทำได้เพียงแค่ให้มันรำคาญ จนหนีกลับลงทะเลไป ดร. เซริซาวะ นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังของญีปุ่นในสมัยนั้น(ในเฉพาะภาพยนต์) ทนเห็นความหายนะของบ้านเรือน และผู้คนที่ถูกก็อตซิลล่าทำลายไม่ได้ จึงได้เผยโปรเจกต์ลับของอาวุธที่ตนเองคิดค้นในกับกับตัวละครเอก มันคืออาวุธชีวภาพที่มีสภาพเป็นอ็อกซิเจนทำลายล้าง มันคือ "อ็อกซิเจนเดสทรอยเออร์" โดยเซริซาว่าได้สาธิตให้กับนางเอกเห็นถึงอำนาจการทำลายล้างของมันโดยใส่ไว้ในตู้ปลาเพียงแค่เศษเสี้ยวเดียว ไม่กี่วินาทีต่อมาอาวุธที่ว่านี้ได้กลายสภาพเป็นฟองอากาศกัดกินปลาทั้งหมดในตู้จนเหลือเพียงเศษก้างปลาเท่านั้น เซริซาว่ากล่าวว่า "นี่เป็นแค่เศษเสี้ยวเดียวของอ็อกซิเจนเดสทรอยเออร์ หากนำทั้งหมดของมันหย่อนลงไปในน้ำ ก็จะสามารถทำให้ทั้งอ่าวโตเกียวกลายสภาพเป็นสุสานได้เลย...!" เซริซาว่าบอกว่ามันจะเป็นอาวุธเดียวที่สามารถฆ่าก็อตซิลล่าลงได้
แต่อาวุธที่แสนพิเศษที่เปรียบเสมือนความหวังนี้ ก็ต้องแลกด้วยบางอย่าง ดร. เซริซาว่ากลัวว่าหลังจากที่กำจัดก็อตซิลล่าได้แล้ว อ๊อกซิเจนเดสทรอยเออร์จะถูกนำไปใช้ทางการทหาร ซึ่งมันจะส่งผลร้ายแรง และอาจจะบานปลายทำให้เกิดสงครามโลกตามมาอีกได้ จึงตัดสินใจเป็นผู้นำอ็อกซิเจนเดสทรอยเออร์นี้ไปใช้จัดการกัดก็อตซิลล่าที่ใต้มหาสมุทรเอง และได้ปลิดชีวิตตัวเองไปพร้อมกับการตายของก็อตซิลล่า นับเป็นโศรกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่งในโลกภาพยนต์ "หากโลกใบนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่าอาวุธนิวเคลียร์อยู่ ไม่แน่ว่าอาจจะมีก็อตซิลล่าตัวที่ 2 โผล่มาอีกก็ได้..." ตัวละครเอกคนหนึ่งกล่าวไว้เป็นปมในฉากท้ายของภาพยนต์