ผู้จัดการแผนกขายต้องการทดสอบความสามารถของลูกน้อง จึงออกคำสั่งว่า "ให้เอาหวีไปขายให้พระ"
พนักงานคนแรก พอก้าวออกจากสำนักงานก็เริ่มบ่น พระไม่มีผม เอาหวีไปขายได้ไง หาเหล้ากินแล้วนอนสักงีบดีกว่า หลังจากนั้นก็กลับไปรายงานเจ้านายว่า ขายไม่ได้เพราะพระไม่มีผม เจ้านายหัวเราะแล้วคิดในใจ พระไม่มีผมต้องรอให้เองมารายงาน
พนง คนที่สองมาถึงวัด เสนอขายหวีให้พระ พระท่านปฏิเสธว่าคงไม่มีโอกาสได้ใช้ พนง เลยต้องขอความเห็นใจจากพระ ว่าหากขายไม่ได้อาจต้องตกงาน พระท่านเห็นใจ เลยอุดหนุนหวีไปหนึ่งเล่ม
พนง คนที่สามก็ได้รับคำปฏิเสธจากพระแต่แรก พนง หลังจากเดินสำรวจผู้คนรอบวัด แล้วเรียนพระว่า คนมาไหว้พระต้องตั้งใจและมีความศรัทธาใช่ไหม แล้วเขาเหล่านั้นต้องเดินทางมาไกลด้วยความศรัทธา เจอแดดเจอลม ผมเผ้าหยุ่งเหยิง จะให้ไหว้พระแบบใจสงบได้ไง ถ้าทางวัดจะเตรียมหวีให้ผู้คนหวีผมให้เรียบร้อย ล้างหน้าล้างตาให้สะอาด ผู้คนจะได้ไหว้พระด้วยความสบายใจ พระท่านยอมรับในเหตุผล จึงได้อุดหนุนหวีไปสิบเล่ม
พนง คนที่สี่ก็เจอการปฏิเสธจากพระเช่นกัน พนง จึงได้เสนอความคิดแก่พระท่านว่า หากทางวัดจะเตรียมหวีไว้เป็นของชำร่วยแจกจ่ายแก่ผู้มาไหว้พระทั้งหลาย มันย่อมมีประโยชน์ มีความหมาย ผู้คนจะได้มาไหว้พระมากขึ้น พระท่านตรึกตรองถึงเหตุผล เลยอุดหนุนหวีไปหนึ่งร้อยเล่ม
พนง คนที่ห้าหลังจากได้รับคำปฏิเสธ จึงเรียนพระไปว่า ท่านเป็นพระผู้ใหญ่ที่สูงไปด้วยสมณะศักดิ์ ลายมือคัดหนังสือของท่านก็ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี หากสามารถนำลายมือของท่านสลักไว้บนหวี อาจสลักเป็น"หวีแคล้วคลาด" "หวีสะสมบุญ" แล้วมอบให้ผู้มีจิตรศรัทธาทั้งหลาย มันสามารถช่วยจรรโลงศาสนา และยังได้อวดลายมือสวยๆของท่านไว้บนหวี พระท่านยิ้มด้วยความพอใจ เลยอุดหนุนหวีไปหนึ่งพันเล่ม
พนง คนที่หกก็ได้มาถึงวัดอีกแห่ง แต่แรกพระท่านได้ปฏิเสธเช่นกัน แต่หลังจากได้นั่งคุยสนทนากับพระท่านแล้ว เขาสามารถขายหวีได้หนึ่งหมื่นเล่ม
น่าสนใจ พนง คนนี้ได้สนทนาอะไรกับพระท่าน
เขาเรียนพระท่านว่า หวีเป็นของจำเป็นที่เหล่าศิษย์ยานุศิษย์ ไม่ว่าชายหญิงมักพกติดตัว ถ้าท่านจะทำพิธีปลุกเสกหวีพวกนี้ ก็จะกลายเป็นของขลังที่ไว้ปกป้องผู้คน มันเป็นบุญกุศล และสามารถปกป้องภัยอันตรายให้พวกเขา ผู้มีจิตรศรัทธาทั้งหลายไม่เพียงแค่เช่าหวีมงคลไว้ติดตัว แต่จะเช่าไปฝากญาติมิตรสหายทั้งหลาย เพื่อเป็นวัตถุมงคล เผยแพร่ศาสนา เผยแพร่ชื่อเสียงวัด น่าเป็นเรื่องศิริมงคลอย่างยิ่ง พระท่านปฏิเสธข้อเสนออันนี้ไม่ได้ เลยตกลงซื้อหวีหนึ่งหมื่นเล่ม ตั้งชื่อหวีว่า"หวีสะสมบุญ"และ "หวีแคล้วคลาด"พระท่านได้ทำพิธีปลุกเสกด้วยตนเอง เลยกลายเป็นวัตถุมงคลที่นิยมกันในหมู่ศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย แน่นอน เงินบริจาคทำบุญเข้าวัดมีมากมายแบบไหลมาเทมา
เรามาวิเคราะห์ถึงฝีมือการขายของแต่ละคน
คนแรก ใช้ความคิดแบบดั้งเดิมและพื้นฐานเกินไป ไม่มีลูกเล่น ไม่เหมาะจะเป็น พนง ขาย
คนที่สอง ขายความเห็นใจ เป็นเทคนิคขั้นพื้นฐานที่สุด เปรียบเป็นการ"ขายแบบกราบเท้า" ยืนระยะไม่ได้นาน
คนที่สามและสี่ช่วยออกความคิดแทนลูกค้า เป็นลักษณะ"ทำให้ลูกค้าพอใจที่สุด" ผลลัพธ์ของมันจึงออกมาไม่เลว
คนที่ห้าไม่เพียงแค่ทำให้ลูกค้าพอใจ แต่ยังมีจิตวิทยาเสริมใส่ลงไปให้ถูกใจลูกค้า ผลจึงออกมาดี
ส่วนคนที่หกนั้น สามารถทำให้ตัวสินค้าและตัวลูกค้าเกิดความสำคัญเท่าเทียมกัน เขาไม่ได้ขายหวี แต่เป็นการให้เช่าวัตถุมงคล เป็นการยกย่องคุณค่าสูงสุดของลูกค้า ผลจึงออกมาดีแบบไม่ต้องแปลกใจ
พนง ห้าคนแรกเดินทางกลับไปรายงานเจ้านายเรียบร้อยแล้ว แต่คนที่หกไม่ได้กลับไป เขากำลังเดินสายเข้าหาวัดอื่นๆอีกมากมาย เขาได้สร้างตลาดใหญ่โตขึ้นมาด้วยตัวเขาเอง เขามุ่งมั่นตัดสินใจที่จะทำธุรกิจอันนี้ด้วยตัวเขาเอง แน่นอน เขาได้ประสพความสำเร็จอย่างน่าพอใจ เขาเดินสายไปทั่วทุกวัดเพื่อเสนอขายหวีของเขา และนี่คือขุนทรัพย์ที่เขาได้ค้นพบและสร้างขึ้นด้วยตัวเขาเอง
มีแต่ พนง ขายระดับประถมเท่านั้น ที่จะมุ่งขายแต่ตัวสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่หนักงานที่มีฝีมือ เขาจะขายสินค้าด้วยความคิดสร้างสรรค์ และจิตรวิญญาณที่เป็นรูปแบบแห่งปรัชญา
"ขจรศักดิ์"
แปลและเรียบเรียง
28/6/16
http://mp.weixin.qq.com/s?__biz=MzAxNDA3Mzk1OA==&mid=2652958831&idx=3&sn=517793b329e4f5a2a5c7e7c794e919ef&scene=1&srcid=0610lKFvrvLlmOk2O1bG6Ite&from=groupmessage&isappinstalled=0#wechat_redirect
วิธีขายหวีให้พระ
พนักงานคนแรก พอก้าวออกจากสำนักงานก็เริ่มบ่น พระไม่มีผม เอาหวีไปขายได้ไง หาเหล้ากินแล้วนอนสักงีบดีกว่า หลังจากนั้นก็กลับไปรายงานเจ้านายว่า ขายไม่ได้เพราะพระไม่มีผม เจ้านายหัวเราะแล้วคิดในใจ พระไม่มีผมต้องรอให้เองมารายงาน
พนง คนที่สองมาถึงวัด เสนอขายหวีให้พระ พระท่านปฏิเสธว่าคงไม่มีโอกาสได้ใช้ พนง เลยต้องขอความเห็นใจจากพระ ว่าหากขายไม่ได้อาจต้องตกงาน พระท่านเห็นใจ เลยอุดหนุนหวีไปหนึ่งเล่ม
พนง คนที่สามก็ได้รับคำปฏิเสธจากพระแต่แรก พนง หลังจากเดินสำรวจผู้คนรอบวัด แล้วเรียนพระว่า คนมาไหว้พระต้องตั้งใจและมีความศรัทธาใช่ไหม แล้วเขาเหล่านั้นต้องเดินทางมาไกลด้วยความศรัทธา เจอแดดเจอลม ผมเผ้าหยุ่งเหยิง จะให้ไหว้พระแบบใจสงบได้ไง ถ้าทางวัดจะเตรียมหวีให้ผู้คนหวีผมให้เรียบร้อย ล้างหน้าล้างตาให้สะอาด ผู้คนจะได้ไหว้พระด้วยความสบายใจ พระท่านยอมรับในเหตุผล จึงได้อุดหนุนหวีไปสิบเล่ม
พนง คนที่สี่ก็เจอการปฏิเสธจากพระเช่นกัน พนง จึงได้เสนอความคิดแก่พระท่านว่า หากทางวัดจะเตรียมหวีไว้เป็นของชำร่วยแจกจ่ายแก่ผู้มาไหว้พระทั้งหลาย มันย่อมมีประโยชน์ มีความหมาย ผู้คนจะได้มาไหว้พระมากขึ้น พระท่านตรึกตรองถึงเหตุผล เลยอุดหนุนหวีไปหนึ่งร้อยเล่ม
พนง คนที่ห้าหลังจากได้รับคำปฏิเสธ จึงเรียนพระไปว่า ท่านเป็นพระผู้ใหญ่ที่สูงไปด้วยสมณะศักดิ์ ลายมือคัดหนังสือของท่านก็ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี หากสามารถนำลายมือของท่านสลักไว้บนหวี อาจสลักเป็น"หวีแคล้วคลาด" "หวีสะสมบุญ" แล้วมอบให้ผู้มีจิตรศรัทธาทั้งหลาย มันสามารถช่วยจรรโลงศาสนา และยังได้อวดลายมือสวยๆของท่านไว้บนหวี พระท่านยิ้มด้วยความพอใจ เลยอุดหนุนหวีไปหนึ่งพันเล่ม
พนง คนที่หกก็ได้มาถึงวัดอีกแห่ง แต่แรกพระท่านได้ปฏิเสธเช่นกัน แต่หลังจากได้นั่งคุยสนทนากับพระท่านแล้ว เขาสามารถขายหวีได้หนึ่งหมื่นเล่ม
น่าสนใจ พนง คนนี้ได้สนทนาอะไรกับพระท่าน
เขาเรียนพระท่านว่า หวีเป็นของจำเป็นที่เหล่าศิษย์ยานุศิษย์ ไม่ว่าชายหญิงมักพกติดตัว ถ้าท่านจะทำพิธีปลุกเสกหวีพวกนี้ ก็จะกลายเป็นของขลังที่ไว้ปกป้องผู้คน มันเป็นบุญกุศล และสามารถปกป้องภัยอันตรายให้พวกเขา ผู้มีจิตรศรัทธาทั้งหลายไม่เพียงแค่เช่าหวีมงคลไว้ติดตัว แต่จะเช่าไปฝากญาติมิตรสหายทั้งหลาย เพื่อเป็นวัตถุมงคล เผยแพร่ศาสนา เผยแพร่ชื่อเสียงวัด น่าเป็นเรื่องศิริมงคลอย่างยิ่ง พระท่านปฏิเสธข้อเสนออันนี้ไม่ได้ เลยตกลงซื้อหวีหนึ่งหมื่นเล่ม ตั้งชื่อหวีว่า"หวีสะสมบุญ"และ "หวีแคล้วคลาด"พระท่านได้ทำพิธีปลุกเสกด้วยตนเอง เลยกลายเป็นวัตถุมงคลที่นิยมกันในหมู่ศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย แน่นอน เงินบริจาคทำบุญเข้าวัดมีมากมายแบบไหลมาเทมา
เรามาวิเคราะห์ถึงฝีมือการขายของแต่ละคน
คนแรก ใช้ความคิดแบบดั้งเดิมและพื้นฐานเกินไป ไม่มีลูกเล่น ไม่เหมาะจะเป็น พนง ขาย
คนที่สอง ขายความเห็นใจ เป็นเทคนิคขั้นพื้นฐานที่สุด เปรียบเป็นการ"ขายแบบกราบเท้า" ยืนระยะไม่ได้นาน
คนที่สามและสี่ช่วยออกความคิดแทนลูกค้า เป็นลักษณะ"ทำให้ลูกค้าพอใจที่สุด" ผลลัพธ์ของมันจึงออกมาไม่เลว
คนที่ห้าไม่เพียงแค่ทำให้ลูกค้าพอใจ แต่ยังมีจิตวิทยาเสริมใส่ลงไปให้ถูกใจลูกค้า ผลจึงออกมาดี
ส่วนคนที่หกนั้น สามารถทำให้ตัวสินค้าและตัวลูกค้าเกิดความสำคัญเท่าเทียมกัน เขาไม่ได้ขายหวี แต่เป็นการให้เช่าวัตถุมงคล เป็นการยกย่องคุณค่าสูงสุดของลูกค้า ผลจึงออกมาดีแบบไม่ต้องแปลกใจ
พนง ห้าคนแรกเดินทางกลับไปรายงานเจ้านายเรียบร้อยแล้ว แต่คนที่หกไม่ได้กลับไป เขากำลังเดินสายเข้าหาวัดอื่นๆอีกมากมาย เขาได้สร้างตลาดใหญ่โตขึ้นมาด้วยตัวเขาเอง เขามุ่งมั่นตัดสินใจที่จะทำธุรกิจอันนี้ด้วยตัวเขาเอง แน่นอน เขาได้ประสพความสำเร็จอย่างน่าพอใจ เขาเดินสายไปทั่วทุกวัดเพื่อเสนอขายหวีของเขา และนี่คือขุนทรัพย์ที่เขาได้ค้นพบและสร้างขึ้นด้วยตัวเขาเอง
มีแต่ พนง ขายระดับประถมเท่านั้น ที่จะมุ่งขายแต่ตัวสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่หนักงานที่มีฝีมือ เขาจะขายสินค้าด้วยความคิดสร้างสรรค์ และจิตรวิญญาณที่เป็นรูปแบบแห่งปรัชญา
"ขจรศักดิ์"
แปลและเรียบเรียง
28/6/16
http://mp.weixin.qq.com/s?__biz=MzAxNDA3Mzk1OA==&mid=2652958831&idx=3&sn=517793b329e4f5a2a5c7e7c794e919ef&scene=1&srcid=0610lKFvrvLlmOk2O1bG6Ite&from=groupmessage&isappinstalled=0#wechat_redirect