สวัสดีค่ะ นี่เป็นกระทู้แรกของเรา เราแค่อยากแบ่งปันเล่าเรื่องราวประสบการณ์ความรักที่ครั้งนึงได้มาทักทายชีวิตเรา เราขอใช้ชื่อสมมุติแทนตัวเองว่า “เอ” แล้วก็ชื่อสมมุติแทนคุณผู้ชายคนนั้นว่า “ซี” นะคะ
เรารู้จักเขาผ่านทางเว็บหาเพื่อนเพื่อฝึกภาษาเว็บนึงค่ะ พอดีช่วงนั้นเรานึกครึ้มอยากฝึกภาษา เลยลองไปสมัครไว้เล่นๆดูน่ะค่ะ พอสมัครไว้ได้ไม่นานก็มี E-mail เข้ามาว่ามีคนฝากข้อความถึงคุณ เราก็เปิดเข้าไปดูว่าเป็นข้อความของใครส่งมาและเขาว่ายังไงบ้าง ก็ปรากฏว่าเป็นเขา คุณซีค่ะ แต่usernameที่เขาใช้ในเว็บนั้น...ฉันเองก็ลืมไปแล้วค่ะว่าเขาใช้ชื่อว่าอะไร เพราะมันไม่ตรงกับชื่อเขา มันเหมือนเป็น code หรือสัญลักษณ์ของอะไรซักอย่างที่เขาใช้เฉพาะตัวมากกว่าค่ะ และเพราะเราจำusernameนั่นไม่ได้ มันถึงทำให้ฉันเสียใจจนถึงทุกวันนี้ แต่ก็ไม่แน่หรอก ถึงเราจะจำได้ แต่เขาอาจจะลบ Account นั้นไปแล้วก็ได้
หลังจากที่ดิฉันเข้าไปอ่านข้อความก็แอบเข้าไปดูโปรไฟล์เขาก็พบว่าเป็นผู้ชายสิงคโปร์อายุ 27 ปี รู้ภาษาอังกฤษกับจีน มีความสนใจในการเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่น แต่ในข้อความเขาบอกว่าเขาอยากเรียนภาษาไทย เขียนภาษาไทยมาด้วยนะคะ เราก็เอ๊ะ ทำไมในโปรไฟล์บอกอยากเรียนภาษาญี่ปุ่น...แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากคะ เพราะเราก็เป็นพวกแบบว่าอ่อหรอๆอยากเรียนภาษาไทยแต่คงไม่ได้ใส่ข้อมูลลงไปเฉยๆมั้ง อืมก็แบบว่าภาษาไทยเรานี่ขึ้นชื่อว่าเป็นภาษาที่ยากมากๆสำหรับชาวต่างชาติเลยนะคะ แต่เขาเขียนภาษาไทยมาค่ะ ตอนนั้นฉันก็ไม่แน่ใจว่าเขาใช้กูเกิ้ลทรานสเลทรึเปล่านะคะ แต่ก็ตอบกลับข้อความเขาไปเป็นภาษาไทย พอดีเขาขอไอดีไลน์ ฉันก็เลยส่งไปให้น่ะค่ะ แล้วเขาก็ทักไลน์มา
เริ่มแรกที่คุยกัน เราก็คุยกันธรรมดาค่ะ ไม่ได้มีทีท่าว่าจะจีบหรือจะเป็นไปในทางชู้สาวแต่อย่างใด
วันแรกที่เราคุยกันฉันยังจำได้ (พอดีดิฉันเก็บข้อความในไลน์ที่เราคุยกันไว้อ่านน่ะค่ะ555 หลายคนอาจมองว่าจะเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ทำไม อดีตก็คืออดีต ผู้ชายในโลกนี้มีเยอะแยะไป...ก็จริงค่ะ แต่ว่าเราไม่ใช่คนที่จะให้ใจใครง่ายๆ และเขาก็เป็นความทรงจำนึงของเรา เราจึงอยากเก็บไว้ ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ตาม)
ซี: สวัสดีครับ นี่ซีครับ คุณชื่อ...เอรึเปล่าครับ
เอ: ค่ะ ฉันชื่อเอ
ซี: สบายดีบ่
เอ: ฉันก็ตกใจสิคะ ทำไมเขามาแนวอีสาน อยากเรียนภาษาอีสานหรอ พิมพ์ภาษาไทยได้นี่ฉันก็ว่าเลิศแล้ว แต่นี่ดันรู้ภาษาอีสานด้วย ฉันก็งงๆก่งก๊งว่าทำไมอีตานี่มาแปลกจังวะ ก็เลยแซวไปว่า “นี่มันภาษาอีสานนี่คะ” แล้วก็ไม่ลืมที่จะตอบคำถามเขาค่ะว่า “ดิฉันสบายดี” เพราะคิดถึงใจเขาใจเราว่าคนถามเขาก็คงต้องการคำตอบแหละเขาถึงได้ถาม
(บอกไว้ก่อนว่าพออ่านไปเรื่อยๆจะเห็นความเป็นพวกโรคจิตของเจ้าของกระทู้ขึ้นมาเรื่อยๆ การถามคำถามและการตอบคำถามก็เช่นกัน ที่แบบว่าถ้าฉันถามเธอกี่คำถาม เธอก็จะต้องตอบฉันทุกคำถามตามลำดับข้อคำถามที่ฉันถาม ถึงบางทีดิฉันอาจจะพิมพ์คำถามแล้วส่งมาทีเดียว 4 – 5 คำถาม อาจดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจกับการ แค่อยากถามไปงั้นเอง แต่จริงๆแล้วดิฉันใส่ใจทุกคำถามค่ะ และคำถามของดิฉันก็ต้องได้รับคำตอบ คุณจะต้องตอบฉันทุกถาม ต้องตอบให้ครบ ถ้าตอบไม่ครบดิฉันก็จะถามซ้ำค่ะ ถ้าไม่ตอบอีกนี่มีงอนค่ะ โดยเฉพาะกับเพื่อนดิฉันจะแสดงพฤติกรรมนี้ชัดเจนแบบไม่เกรงใจเลย5555 และบางทีก็ต้องใช้วิธีบังคับให้เพื่อนตอบดีๆค่ะ เพราะเพื่อนชอบตอบแบบขอไปที)
เราเริ่มคุยกันผ่านไลน์วันที่ 16 กุมภา ปี 2014 เวลา 20.40 น.
ซี: ยินดีที่ได้รู้จักครับเอ
เอ: เราก็ตอบไปตามมารยาทว่า “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ”
ซี: เอทำงานหรือเรียนอยู่ครับ
เอ: ก็ตอบไปตามตรงว่า “เรียนอยู่ค่ะ คุณล่ะคะ”
ซี: ทำงานครับ เอเรียนคณะอะไรครับ
เอ: เขามาแนวสุภาพ เราก็ตอบไปตามตรง คณะ...ค่ะ
ซี: คนใจดี เรียนปี 4 แล้วใช่มั้ย
เอ: เขาเรียกเราว่าคนใจดี ไอ้เราก็เอ๊ะ ตานี่สายยกยอปอปั้นรึเปล่านะ ก็ตอบไปว่า “ก็ไม่เสมอไปหรอกนะคะ” ส่วนเรื่องเรียนอยู่ปี 4 เรายังไม่ได้บอกเขา แล้วเขารู้ได้ไง ดิฉันก็งงสิคะ ได้แต่ตอบไปว่า “คะ” ก็ไม่ได้ถามว่ารู้ได้ไง เรารู้สึกว่าเขาเริ่มคำถามที่ข้อมูลส่วนตัวเรา เราลอยอยากถอยออกมาหน่อย เพราะเราเป็นพวกขี้ระแวง ไม่ค่อยอยากให้ข้อมูลส่วนตัวกับคนแปลกหน้า แล้วนี่เพิ่งจะรู้จักกันเอง เลยพยายามดึงเขากลับมาที่เรื่องการเรียนภาษาของเขา เลยบอกเขาไปว่า เอไม่แน่ใจว่าคุณต้องการเรียนภาษาไทยที่ออกแนววิชาการหรือว่าแบบใช้ในชีวิตประจำวัน อยากได้แบบไหนบอกได้นะคะ
ซี: ใช้ในชีวิตประจำวันครับ
เอ: ในใจเรารู้สึกว่าเขาสุภาพจังเลย หรือว่าเขาเป็นคนอย่างนี้จริงๆ หรือถูกสอนมาว่าเวลาพูดภาษาต้องมีหางเสียงทุกครั้ง เอ๊ะกำลังเกร็งอยู่รึเปล่า เลยพิมพ์ไลน์ไปว่า “อืม ค่ะ ได้เลย จัดให้ กับเอทำตัวสบายๆ ทำใจสบายๆ อยากรู้อะไรก็ถาม ตอบไม่ได้ก็จะไปหามาตอบให้ค่ะ”
ซี: ครับ จะถามแล้วนะ
เอ: ต้องบอกกันก่อนด้วยว่าจะถามแล้ว แอบงงในใจ “เอออกตัวไว้ก่อนนะว่าเป็นคนที่ค่อนข้างจะตรงไปตรงมา อะไรที่ผิดพลาดไปก็รีบบอก จะได้แก้ไข ถือซะว่าเป็นการเรียนรู้ร่วมกันนะคะ ถามได้เลยค่ะ” มามุขไหนฉันเล่นกลับมุขนั้นแหละจ้ะ 555 แถมส่งสติ๊กเกอร์ยิ้มไปให้ด้วย
ซี: “คุณรู้จักคำไทยกี่คำครับ คนใจดี” ฮีส่งสติ๊กเกอร์ยิ้มมาให้ฉันด้วยค่ะ
เอ: มามุขนี้ดิฉันก็เหวอรับประทานสิคะ จะบ้าหรอ ใครจะมานั่งนับว่าตัวเองรู้จักกี่คำ เอาเป็นว่าฉันฟังพูดอ่านเขียนไทยออกก็แล้วกัน เรารู้สึกได้ถึงความรู้สึกแปลกๆที่เขาแผ่ออกมาแบบผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา เหมือนจะแผนสูงแบบเนียนๆ เป็นจอมวางแผน มาแบบเหนือเมฆ เหมือนเป็นคนพยายามคุมเกมส์ทุกอย่างงั้นแหละ และฉันก็ตอบไปตามความจริงว่า “เอิ่ม ไม่เคยนับค่ะว่ารู้จักกี่คำ ฮ่าๆๆ จำเป็นต้องได้คำตอบที่ชัดเจนมั้ยคะคำถามนี้” หึ แผนสูงใช่มั้ย เป็นจอมวางแผนงั้นหรอ ได้สิ จะเล่นให้หงายเลย เราก็ต่อด้วยประโยค “อืม เอขอเรียกคุณว่าพี่ก็แล้วกันนะคะ เพราะรู้สึกว่าคุณจะอายุมากกว่า ได้มั้ยคะ”
ซี: รู้ได้ไง
เอ: ฮั่นแน่หางเสียงเริ่มหายไป เผยตัวจริงของคุณออกมาเถอะไม่ต้องเก๊กมาก (คิดในใจ) ก็เดินเกมต่อสิคะ “ฮ่าๆๆ ไม่ต้องเขินหรอกค่ะ มากกว่ากันไม่กี่ปีเอง” ตอนนั้นเจ้าของกระทู้อายุ 23 ปี พี่เขาอายุ 27
ซี: คนใจดีเกิดเดือนอะไร
เอ: เดือนเมษายนค่ะ พี่ซีล่ะคะ
ซี: อีก 7 เดือน เอเกิดวันที่ปีใหม่ไทยหรอ
เอ: อีก 7 เดือนจะถึงวันเกิดพี่หรอคะ
ซี: ใช่ ประมาณ
เอ: (หมายถึง อีกเจ็ดเดือนจะวันเกิดเขาหรอ ตอนนั้นก็เดือนกุมภา อีกเจ็ดเดือนก็กันยายน เหมือนเขาจะไม่พอใจนิดๆที่เราไปเรียกเขาว่าพี่ ทั้งที่เขายังไม่อนุญาต หึหึ ก็เลยไม่อยากเซ้าซี้ เลยไม่ถามซ้ำว่าเดือนกันยารึเปล่า ดิฉันก็กลัวเสียมารยาทกับแขกบ้านแขกเมืองค่ะ เขาอุตส่าตั้งใจเรียนภาษาไทยจนถึงขนาดเขียนได้พิมพ์ได้ขนาดนี้ เลยรีบเปลี่ยนคำถามสิคะ) “ทำไมพี่ถึงได้สนใจอยากจะเรียนภาษาไทยคะ” (แต่ก็ยังเรียกพี่นะจ้ะ ก็ไม่ได้คิดอะไร ก็เรียกไปตามอายุ คิดว่ามันเป็นสิ่งสมควรแล้ว ถือเป็นการให้เกียรติในความต่างของอายุ การที่เราเรียกพี่นั่นหมายความว่าเราต้องอ่อนน้อมต่อเขาในฐานะที่เขาเป็นผู้ใหญ่กว่า)
ซี: ภาษาไทยเพราะ
เอ: มีคนบอกว่า เหมือนเสียงร้องเพลง พี่คิดอย่างงั้นรึเปล่าคะ (เราก็เคยเปิดเข้าไปดูในยูทูป เป็นคลิปที่ถามชาวต่างชาติประมาณว่าทำไมถึงชอบภาษาไทย อะไรที่เป็นแรงบันดาลใจหรือทำให้พวกเขาชอบเขาสนใจอยากเรียนภาษาไทย ส่วนตัวเราเราจับความรู้สึกบางอย่างได้ว่าเขางอนเราและอีกความรู้สึกนึงเหมือนมีอะไรพวยพุ่งขึ้นมาในจิตใจเขาเหมือนน้ำพุที่พวยพุ่งขึ้นมาและกำลังเต้นรำอยู่ แต่เราไม่แน่ใจว่าความรู้สึกนั้นคืออะไรกันแน่ แม้ในใจจะสงสัย แต่เราไม่คุ้นเคยกับความรู้สึกนั้น จึงปล่อยผ่านไป มุ่งความสนใจไปที่ความรู้สึกงอนของเขามากกว่า เราไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้เขางอน แต่เรารู้สึกไม่ดีนักเวลาถูกใครงอน เลยพยายามให้เขาหายงอนโดยการพูดหรือพิมพ์อะไรก็ได้ให้เขารู้สึกโอเคมากขึ้น)
ซี: ใช่
เอ: น้อยคนนะคะ ที่จะเรียนถึงขั้นอ่านออกเขียนได้ แสดงว่า...พี่ตั้งใจมาก สู้ๆนะ เอเป็นกำลังใจให้ (ก็ยอไปสิ ให้กำลังใจไปสิ ก็กลัวเค้าโกรธนี่ แต่ก็พูดความจริงทั้งนั้นนะ)
ซี: ส่งสติ๊กเกอร์มา แล้วตามมาด้วยคำเดิมค่ะ “คนใจดี”
เอ: (เฮ้อ ไม่ใช่สายง้อคนซะด้วยสิ ง้อไม่เก่ง แต่เห็นตอบกลับมาแบบนี้ก็เราก็รู้สึกโอเคขึ้น ค่อยโล่งขึ้นหน่อย ปกติเราไม่ค่อยได้ง้อคนนะ ส่วนมากมีแต่คนอื่นมาง้อ เพราะเราไม่ค่อยทำผิดกะใคร เลยไม่ต้องไปง้อใครบ่อย ก็เลยกลายเป็นไม่ถนัดกับการง้อใคร) ส่งสติ๊กเกอร์ยิ้นไปคะ แล้วตามด้วยประโยคอินเตอร์แบบมั่วๆไปว่า “If don't understand some words or sentences, you can ask me, Ok?”
ซี: ได้เลย คนใจดี
เอ: เอก็ไม่ได้ใจดีขนาดนั้นหรอกค่ะ พูดบ่อยซะจนเอเริ่มเขินละเนี่ย คำว่าใจดีเนี่ย
What are you doing?
ซี: 555 แล้วเอ อยากให้ผมช่วยยังไง
เอ: “อืม ก็ช่วยคุยเป็นภาษาอังกฤษบ้างตามความสะดวกน่ะค่ะ ประโยคไหนผิดก็บอกกัน” (แต่จนแล้วจนรอดเราก็พิมพ์เป็นภาษาไทยกันซะส่วนใหญ่ค่ะ ภาษาอังกฤษนี่น้อยมากๆๆๆๆๆ) “อยากให้พีซีแทนตัวเองว่า "พี่" จัง จะได้รู้สึกเป็นกันเองหน่อย แหะๆ” (ตรงประเด็นที่ทำให้เค้างอนเลยค่ะ 555 ก็พอดีเจ้าของกระทู้ก็มีความใจดีเป็นห่วงความรู้สึกคนอื่นอยู่น่ะค่ะ ไม่อยากให้ใครมางอนเรานะ อีกอย่างพอมีปัญหาหรือไม่เข้าใจกันก็ต้องรีบแก้รีบทำความเข้าใจกัน จะได้ไม่มาเป็นปัญหาทีหลัง)
ซี: ได้
เอ: (ทางนี้ก็ดีใจสิคะ เสมือนหนึ่งว่าเราทำสำเร็จแล้ว บอกแล้วว่าไม่ชำนาญเรื่องง้อ ง้อสำเร็จก็ดีใจ แต่เอ๊ะ...เราไม่ได้เป็นอะไรกัน ทำไมต้องดีใจขนาดนั้น ถามใจตัวเอง)
ซี: เอตอนนี้อยู่จังหวัดอะไรครับ (เธอกลับเข้าสู่โหมดมีหางเสียงแล้วค่ะ)
เอ: ตอนนี้อยู่จังหวัดKค่ะ ที่นี่มีภาษาท้องถิ่น คือ ภาษาอีสาน (ขอแทนจังหวัดเป็นตัวอักษรตัวเดียวนะคะ)
ซี: อ๋อ ฮู้เด้อ
เอ: ฮะ??? รู้ด้วยอะ ภาษาเหนือล่ะคะ ได้มั้ย
ซี: ไม่ได้
เอ: ใต้?
ซี: แวบเดียวแค่ดู ก็ทำให้รู้ว่าเธอนะโดนหัวใจ
ซี: ไม่ได้
คือมีเนื้อเพลงของหญิงลีโผล่มากลางการสนทนาค่ะ ดิฉันก็งง เอ๊ะ อะไร ยังไง ตอนนั้นก็ใสๆแบ๊วๆอะนะ ไม่เคยมีแฟน ไม่รู้จักความรัก แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจีบเรารึป่าว แต่จะให้คิดเข้าข้างตัวเองมันก็ไม่ควรซะด้วยสิ เลยถามคำถามต่อ แล้วไม่ลืมที่จะวางไม้กันหมาไว้นิดนึง 555
เอ: พี่ไปเอาเนื้อเพลงมาจากไหนคะเนี่ย คุยกับเอไม่ต้องระแวงว่าเอจะจีบนะ เพราะเอไม่ชอบความวุ่นวายจำพวกนั้น ...มันไม่อิสระน่ะค่ะพี่ (ตอนนั้นพูดจากใจจริง เพราะเหตุผลที่ผ่านมาที่ไม่เคยเปิดใจให้ใครก็เพราะเหตุผลนี้ เลยไม่เคยมีแฟนมาก่อน 555 กำแพงใจนี่สูงลิบลิ่ว และหลังจากที่เขาเข้ามาในชีวิต กำแพงนี่ยิ่งสูงกว่าเดิมอีก ชำนาญด้านการวางไม้กันหมายิ่งกว่าเดิมอีกต่างหาก)
เอ: เออาจมีพูดกวนบ้าง ก็อย่าถือสาเลยนะคะ อิอิ บอกล่วงหน้าไว้ก่อนน่ะ(วางหมากไว้ เผื่อต้องวางไม้กันหมาอีกในครั้งถัดไป จะได้ไม่ดูน่าเกลียดจนเกินงาม)
ซี: ครับ เพราะเพลงนี้ดังมาก เป็นลูกทุ่งด้วย นึกว่าเอเคยฟัง
เอ: เคยฟังค่ะ ถึงได้ถามไงคะว่าพี่ไปได้เนื้อเพลงมาจากไหน ฮ่าๆๆ แสดงว่า พี่ต้องมีเพื่อนคนไทยเยอะแน่ๆเลย (คิดว่าถ้าเขาไม่มีเพื่อนคนไทยเยอะๆไว้คอยฝึกภาษา เขาคงไม่คล่องขนาดนี้แน่)
ซี: พิมพ์เอง เพราะร้องได้ เต้นได้ด้วย 55555 เอเต้นเพลงนี้เป็นไหม
(เหมือนคุณเธอจะพอใจในความสามารถของตัวเองมาก ก็นะ ก็ควรพอใจอยู่หรอก อุตส่าห์ร้องได้ขนาดนี้นี่นา แต่ในใจเรานี่รู้สึกหวั่นๆยังไงชอบกล ความรู้สึกเหมือนเขารู้ทันความคิดเราว่าเรากำลังคิดกำลังวางแผนอะไรอยู่หัวเรา แต่เหมือนเขาแค่แกล้งเดิมตามเกมที่เราวางไว้เท่านั้นเอง ตอนนั้นคิดว่าบางทีอาจเป็นความระแวงของตัวเราเอง เราอาจคิดไปเอง เซนส์เราอาจมีอะไรบกพร่องก็ได้มั้ง แต่พวกที่ตั้งใจสร้างกำแพงไว้ไม่ให้ใครเข้ามามักจะมีเซนส์เฉพาะตัวและยิ่งบวกกับการฝึกอีก แต่ก็ว่าไม่ได้หรอก อาจเป็นแค่ความหวาดระแวงของเราเฉยๆก็ได้ ได้แต่เก็บความหวาดระแวงนั้นไว้ในใจ
รักออนไลน์ของหนุ่มสิงคโปร์กับสาวห้าวกำแพงใจสูง
เรารู้จักเขาผ่านทางเว็บหาเพื่อนเพื่อฝึกภาษาเว็บนึงค่ะ พอดีช่วงนั้นเรานึกครึ้มอยากฝึกภาษา เลยลองไปสมัครไว้เล่นๆดูน่ะค่ะ พอสมัครไว้ได้ไม่นานก็มี E-mail เข้ามาว่ามีคนฝากข้อความถึงคุณ เราก็เปิดเข้าไปดูว่าเป็นข้อความของใครส่งมาและเขาว่ายังไงบ้าง ก็ปรากฏว่าเป็นเขา คุณซีค่ะ แต่usernameที่เขาใช้ในเว็บนั้น...ฉันเองก็ลืมไปแล้วค่ะว่าเขาใช้ชื่อว่าอะไร เพราะมันไม่ตรงกับชื่อเขา มันเหมือนเป็น code หรือสัญลักษณ์ของอะไรซักอย่างที่เขาใช้เฉพาะตัวมากกว่าค่ะ และเพราะเราจำusernameนั่นไม่ได้ มันถึงทำให้ฉันเสียใจจนถึงทุกวันนี้ แต่ก็ไม่แน่หรอก ถึงเราจะจำได้ แต่เขาอาจจะลบ Account นั้นไปแล้วก็ได้
หลังจากที่ดิฉันเข้าไปอ่านข้อความก็แอบเข้าไปดูโปรไฟล์เขาก็พบว่าเป็นผู้ชายสิงคโปร์อายุ 27 ปี รู้ภาษาอังกฤษกับจีน มีความสนใจในการเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่น แต่ในข้อความเขาบอกว่าเขาอยากเรียนภาษาไทย เขียนภาษาไทยมาด้วยนะคะ เราก็เอ๊ะ ทำไมในโปรไฟล์บอกอยากเรียนภาษาญี่ปุ่น...แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากคะ เพราะเราก็เป็นพวกแบบว่าอ่อหรอๆอยากเรียนภาษาไทยแต่คงไม่ได้ใส่ข้อมูลลงไปเฉยๆมั้ง อืมก็แบบว่าภาษาไทยเรานี่ขึ้นชื่อว่าเป็นภาษาที่ยากมากๆสำหรับชาวต่างชาติเลยนะคะ แต่เขาเขียนภาษาไทยมาค่ะ ตอนนั้นฉันก็ไม่แน่ใจว่าเขาใช้กูเกิ้ลทรานสเลทรึเปล่านะคะ แต่ก็ตอบกลับข้อความเขาไปเป็นภาษาไทย พอดีเขาขอไอดีไลน์ ฉันก็เลยส่งไปให้น่ะค่ะ แล้วเขาก็ทักไลน์มา
เริ่มแรกที่คุยกัน เราก็คุยกันธรรมดาค่ะ ไม่ได้มีทีท่าว่าจะจีบหรือจะเป็นไปในทางชู้สาวแต่อย่างใด
วันแรกที่เราคุยกันฉันยังจำได้ (พอดีดิฉันเก็บข้อความในไลน์ที่เราคุยกันไว้อ่านน่ะค่ะ555 หลายคนอาจมองว่าจะเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ทำไม อดีตก็คืออดีต ผู้ชายในโลกนี้มีเยอะแยะไป...ก็จริงค่ะ แต่ว่าเราไม่ใช่คนที่จะให้ใจใครง่ายๆ และเขาก็เป็นความทรงจำนึงของเรา เราจึงอยากเก็บไว้ ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ตาม)
ซี: สวัสดีครับ นี่ซีครับ คุณชื่อ...เอรึเปล่าครับ
เอ: ค่ะ ฉันชื่อเอ
ซี: สบายดีบ่
เอ: ฉันก็ตกใจสิคะ ทำไมเขามาแนวอีสาน อยากเรียนภาษาอีสานหรอ พิมพ์ภาษาไทยได้นี่ฉันก็ว่าเลิศแล้ว แต่นี่ดันรู้ภาษาอีสานด้วย ฉันก็งงๆก่งก๊งว่าทำไมอีตานี่มาแปลกจังวะ ก็เลยแซวไปว่า “นี่มันภาษาอีสานนี่คะ” แล้วก็ไม่ลืมที่จะตอบคำถามเขาค่ะว่า “ดิฉันสบายดี” เพราะคิดถึงใจเขาใจเราว่าคนถามเขาก็คงต้องการคำตอบแหละเขาถึงได้ถาม
(บอกไว้ก่อนว่าพออ่านไปเรื่อยๆจะเห็นความเป็นพวกโรคจิตของเจ้าของกระทู้ขึ้นมาเรื่อยๆ การถามคำถามและการตอบคำถามก็เช่นกัน ที่แบบว่าถ้าฉันถามเธอกี่คำถาม เธอก็จะต้องตอบฉันทุกคำถามตามลำดับข้อคำถามที่ฉันถาม ถึงบางทีดิฉันอาจจะพิมพ์คำถามแล้วส่งมาทีเดียว 4 – 5 คำถาม อาจดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจกับการ แค่อยากถามไปงั้นเอง แต่จริงๆแล้วดิฉันใส่ใจทุกคำถามค่ะ และคำถามของดิฉันก็ต้องได้รับคำตอบ คุณจะต้องตอบฉันทุกถาม ต้องตอบให้ครบ ถ้าตอบไม่ครบดิฉันก็จะถามซ้ำค่ะ ถ้าไม่ตอบอีกนี่มีงอนค่ะ โดยเฉพาะกับเพื่อนดิฉันจะแสดงพฤติกรรมนี้ชัดเจนแบบไม่เกรงใจเลย5555 และบางทีก็ต้องใช้วิธีบังคับให้เพื่อนตอบดีๆค่ะ เพราะเพื่อนชอบตอบแบบขอไปที)
เราเริ่มคุยกันผ่านไลน์วันที่ 16 กุมภา ปี 2014 เวลา 20.40 น.
ซี: ยินดีที่ได้รู้จักครับเอ
เอ: เราก็ตอบไปตามมารยาทว่า “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ”
ซี: เอทำงานหรือเรียนอยู่ครับ
เอ: ก็ตอบไปตามตรงว่า “เรียนอยู่ค่ะ คุณล่ะคะ”
ซี: ทำงานครับ เอเรียนคณะอะไรครับ
เอ: เขามาแนวสุภาพ เราก็ตอบไปตามตรง คณะ...ค่ะ
ซี: คนใจดี เรียนปี 4 แล้วใช่มั้ย
เอ: เขาเรียกเราว่าคนใจดี ไอ้เราก็เอ๊ะ ตานี่สายยกยอปอปั้นรึเปล่านะ ก็ตอบไปว่า “ก็ไม่เสมอไปหรอกนะคะ” ส่วนเรื่องเรียนอยู่ปี 4 เรายังไม่ได้บอกเขา แล้วเขารู้ได้ไง ดิฉันก็งงสิคะ ได้แต่ตอบไปว่า “คะ” ก็ไม่ได้ถามว่ารู้ได้ไง เรารู้สึกว่าเขาเริ่มคำถามที่ข้อมูลส่วนตัวเรา เราลอยอยากถอยออกมาหน่อย เพราะเราเป็นพวกขี้ระแวง ไม่ค่อยอยากให้ข้อมูลส่วนตัวกับคนแปลกหน้า แล้วนี่เพิ่งจะรู้จักกันเอง เลยพยายามดึงเขากลับมาที่เรื่องการเรียนภาษาของเขา เลยบอกเขาไปว่า เอไม่แน่ใจว่าคุณต้องการเรียนภาษาไทยที่ออกแนววิชาการหรือว่าแบบใช้ในชีวิตประจำวัน อยากได้แบบไหนบอกได้นะคะ
ซี: ใช้ในชีวิตประจำวันครับ
เอ: ในใจเรารู้สึกว่าเขาสุภาพจังเลย หรือว่าเขาเป็นคนอย่างนี้จริงๆ หรือถูกสอนมาว่าเวลาพูดภาษาต้องมีหางเสียงทุกครั้ง เอ๊ะกำลังเกร็งอยู่รึเปล่า เลยพิมพ์ไลน์ไปว่า “อืม ค่ะ ได้เลย จัดให้ กับเอทำตัวสบายๆ ทำใจสบายๆ อยากรู้อะไรก็ถาม ตอบไม่ได้ก็จะไปหามาตอบให้ค่ะ”
ซี: ครับ จะถามแล้วนะ
เอ: ต้องบอกกันก่อนด้วยว่าจะถามแล้ว แอบงงในใจ “เอออกตัวไว้ก่อนนะว่าเป็นคนที่ค่อนข้างจะตรงไปตรงมา อะไรที่ผิดพลาดไปก็รีบบอก จะได้แก้ไข ถือซะว่าเป็นการเรียนรู้ร่วมกันนะคะ ถามได้เลยค่ะ” มามุขไหนฉันเล่นกลับมุขนั้นแหละจ้ะ 555 แถมส่งสติ๊กเกอร์ยิ้มไปให้ด้วย
ซี: “คุณรู้จักคำไทยกี่คำครับ คนใจดี” ฮีส่งสติ๊กเกอร์ยิ้มมาให้ฉันด้วยค่ะ
เอ: มามุขนี้ดิฉันก็เหวอรับประทานสิคะ จะบ้าหรอ ใครจะมานั่งนับว่าตัวเองรู้จักกี่คำ เอาเป็นว่าฉันฟังพูดอ่านเขียนไทยออกก็แล้วกัน เรารู้สึกได้ถึงความรู้สึกแปลกๆที่เขาแผ่ออกมาแบบผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา เหมือนจะแผนสูงแบบเนียนๆ เป็นจอมวางแผน มาแบบเหนือเมฆ เหมือนเป็นคนพยายามคุมเกมส์ทุกอย่างงั้นแหละ และฉันก็ตอบไปตามความจริงว่า “เอิ่ม ไม่เคยนับค่ะว่ารู้จักกี่คำ ฮ่าๆๆ จำเป็นต้องได้คำตอบที่ชัดเจนมั้ยคะคำถามนี้” หึ แผนสูงใช่มั้ย เป็นจอมวางแผนงั้นหรอ ได้สิ จะเล่นให้หงายเลย เราก็ต่อด้วยประโยค “อืม เอขอเรียกคุณว่าพี่ก็แล้วกันนะคะ เพราะรู้สึกว่าคุณจะอายุมากกว่า ได้มั้ยคะ”
ซี: รู้ได้ไง
เอ: ฮั่นแน่หางเสียงเริ่มหายไป เผยตัวจริงของคุณออกมาเถอะไม่ต้องเก๊กมาก (คิดในใจ) ก็เดินเกมต่อสิคะ “ฮ่าๆๆ ไม่ต้องเขินหรอกค่ะ มากกว่ากันไม่กี่ปีเอง” ตอนนั้นเจ้าของกระทู้อายุ 23 ปี พี่เขาอายุ 27
ซี: คนใจดีเกิดเดือนอะไร
เอ: เดือนเมษายนค่ะ พี่ซีล่ะคะ
ซี: อีก 7 เดือน เอเกิดวันที่ปีใหม่ไทยหรอ
เอ: อีก 7 เดือนจะถึงวันเกิดพี่หรอคะ
ซี: ใช่ ประมาณ
เอ: (หมายถึง อีกเจ็ดเดือนจะวันเกิดเขาหรอ ตอนนั้นก็เดือนกุมภา อีกเจ็ดเดือนก็กันยายน เหมือนเขาจะไม่พอใจนิดๆที่เราไปเรียกเขาว่าพี่ ทั้งที่เขายังไม่อนุญาต หึหึ ก็เลยไม่อยากเซ้าซี้ เลยไม่ถามซ้ำว่าเดือนกันยารึเปล่า ดิฉันก็กลัวเสียมารยาทกับแขกบ้านแขกเมืองค่ะ เขาอุตส่าตั้งใจเรียนภาษาไทยจนถึงขนาดเขียนได้พิมพ์ได้ขนาดนี้ เลยรีบเปลี่ยนคำถามสิคะ) “ทำไมพี่ถึงได้สนใจอยากจะเรียนภาษาไทยคะ” (แต่ก็ยังเรียกพี่นะจ้ะ ก็ไม่ได้คิดอะไร ก็เรียกไปตามอายุ คิดว่ามันเป็นสิ่งสมควรแล้ว ถือเป็นการให้เกียรติในความต่างของอายุ การที่เราเรียกพี่นั่นหมายความว่าเราต้องอ่อนน้อมต่อเขาในฐานะที่เขาเป็นผู้ใหญ่กว่า)
ซี: ภาษาไทยเพราะ
เอ: มีคนบอกว่า เหมือนเสียงร้องเพลง พี่คิดอย่างงั้นรึเปล่าคะ (เราก็เคยเปิดเข้าไปดูในยูทูป เป็นคลิปที่ถามชาวต่างชาติประมาณว่าทำไมถึงชอบภาษาไทย อะไรที่เป็นแรงบันดาลใจหรือทำให้พวกเขาชอบเขาสนใจอยากเรียนภาษาไทย ส่วนตัวเราเราจับความรู้สึกบางอย่างได้ว่าเขางอนเราและอีกความรู้สึกนึงเหมือนมีอะไรพวยพุ่งขึ้นมาในจิตใจเขาเหมือนน้ำพุที่พวยพุ่งขึ้นมาและกำลังเต้นรำอยู่ แต่เราไม่แน่ใจว่าความรู้สึกนั้นคืออะไรกันแน่ แม้ในใจจะสงสัย แต่เราไม่คุ้นเคยกับความรู้สึกนั้น จึงปล่อยผ่านไป มุ่งความสนใจไปที่ความรู้สึกงอนของเขามากกว่า เราไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้เขางอน แต่เรารู้สึกไม่ดีนักเวลาถูกใครงอน เลยพยายามให้เขาหายงอนโดยการพูดหรือพิมพ์อะไรก็ได้ให้เขารู้สึกโอเคมากขึ้น)
ซี: ใช่
เอ: น้อยคนนะคะ ที่จะเรียนถึงขั้นอ่านออกเขียนได้ แสดงว่า...พี่ตั้งใจมาก สู้ๆนะ เอเป็นกำลังใจให้ (ก็ยอไปสิ ให้กำลังใจไปสิ ก็กลัวเค้าโกรธนี่ แต่ก็พูดความจริงทั้งนั้นนะ)
ซี: ส่งสติ๊กเกอร์มา แล้วตามมาด้วยคำเดิมค่ะ “คนใจดี”
เอ: (เฮ้อ ไม่ใช่สายง้อคนซะด้วยสิ ง้อไม่เก่ง แต่เห็นตอบกลับมาแบบนี้ก็เราก็รู้สึกโอเคขึ้น ค่อยโล่งขึ้นหน่อย ปกติเราไม่ค่อยได้ง้อคนนะ ส่วนมากมีแต่คนอื่นมาง้อ เพราะเราไม่ค่อยทำผิดกะใคร เลยไม่ต้องไปง้อใครบ่อย ก็เลยกลายเป็นไม่ถนัดกับการง้อใคร) ส่งสติ๊กเกอร์ยิ้นไปคะ แล้วตามด้วยประโยคอินเตอร์แบบมั่วๆไปว่า “If don't understand some words or sentences, you can ask me, Ok?”
ซี: ได้เลย คนใจดี
เอ: เอก็ไม่ได้ใจดีขนาดนั้นหรอกค่ะ พูดบ่อยซะจนเอเริ่มเขินละเนี่ย คำว่าใจดีเนี่ย
What are you doing?
ซี: 555 แล้วเอ อยากให้ผมช่วยยังไง
เอ: “อืม ก็ช่วยคุยเป็นภาษาอังกฤษบ้างตามความสะดวกน่ะค่ะ ประโยคไหนผิดก็บอกกัน” (แต่จนแล้วจนรอดเราก็พิมพ์เป็นภาษาไทยกันซะส่วนใหญ่ค่ะ ภาษาอังกฤษนี่น้อยมากๆๆๆๆๆ) “อยากให้พีซีแทนตัวเองว่า "พี่" จัง จะได้รู้สึกเป็นกันเองหน่อย แหะๆ” (ตรงประเด็นที่ทำให้เค้างอนเลยค่ะ 555 ก็พอดีเจ้าของกระทู้ก็มีความใจดีเป็นห่วงความรู้สึกคนอื่นอยู่น่ะค่ะ ไม่อยากให้ใครมางอนเรานะ อีกอย่างพอมีปัญหาหรือไม่เข้าใจกันก็ต้องรีบแก้รีบทำความเข้าใจกัน จะได้ไม่มาเป็นปัญหาทีหลัง)
ซี: ได้
เอ: (ทางนี้ก็ดีใจสิคะ เสมือนหนึ่งว่าเราทำสำเร็จแล้ว บอกแล้วว่าไม่ชำนาญเรื่องง้อ ง้อสำเร็จก็ดีใจ แต่เอ๊ะ...เราไม่ได้เป็นอะไรกัน ทำไมต้องดีใจขนาดนั้น ถามใจตัวเอง)
ซี: เอตอนนี้อยู่จังหวัดอะไรครับ (เธอกลับเข้าสู่โหมดมีหางเสียงแล้วค่ะ)
เอ: ตอนนี้อยู่จังหวัดKค่ะ ที่นี่มีภาษาท้องถิ่น คือ ภาษาอีสาน (ขอแทนจังหวัดเป็นตัวอักษรตัวเดียวนะคะ)
ซี: อ๋อ ฮู้เด้อ
เอ: ฮะ??? รู้ด้วยอะ ภาษาเหนือล่ะคะ ได้มั้ย
ซี: ไม่ได้
เอ: ใต้?
ซี: แวบเดียวแค่ดู ก็ทำให้รู้ว่าเธอนะโดนหัวใจ
ซี: ไม่ได้
คือมีเนื้อเพลงของหญิงลีโผล่มากลางการสนทนาค่ะ ดิฉันก็งง เอ๊ะ อะไร ยังไง ตอนนั้นก็ใสๆแบ๊วๆอะนะ ไม่เคยมีแฟน ไม่รู้จักความรัก แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจีบเรารึป่าว แต่จะให้คิดเข้าข้างตัวเองมันก็ไม่ควรซะด้วยสิ เลยถามคำถามต่อ แล้วไม่ลืมที่จะวางไม้กันหมาไว้นิดนึง 555
เอ: พี่ไปเอาเนื้อเพลงมาจากไหนคะเนี่ย คุยกับเอไม่ต้องระแวงว่าเอจะจีบนะ เพราะเอไม่ชอบความวุ่นวายจำพวกนั้น ...มันไม่อิสระน่ะค่ะพี่ (ตอนนั้นพูดจากใจจริง เพราะเหตุผลที่ผ่านมาที่ไม่เคยเปิดใจให้ใครก็เพราะเหตุผลนี้ เลยไม่เคยมีแฟนมาก่อน 555 กำแพงใจนี่สูงลิบลิ่ว และหลังจากที่เขาเข้ามาในชีวิต กำแพงนี่ยิ่งสูงกว่าเดิมอีก ชำนาญด้านการวางไม้กันหมายิ่งกว่าเดิมอีกต่างหาก)
เอ: เออาจมีพูดกวนบ้าง ก็อย่าถือสาเลยนะคะ อิอิ บอกล่วงหน้าไว้ก่อนน่ะ(วางหมากไว้ เผื่อต้องวางไม้กันหมาอีกในครั้งถัดไป จะได้ไม่ดูน่าเกลียดจนเกินงาม)
ซี: ครับ เพราะเพลงนี้ดังมาก เป็นลูกทุ่งด้วย นึกว่าเอเคยฟัง
เอ: เคยฟังค่ะ ถึงได้ถามไงคะว่าพี่ไปได้เนื้อเพลงมาจากไหน ฮ่าๆๆ แสดงว่า พี่ต้องมีเพื่อนคนไทยเยอะแน่ๆเลย (คิดว่าถ้าเขาไม่มีเพื่อนคนไทยเยอะๆไว้คอยฝึกภาษา เขาคงไม่คล่องขนาดนี้แน่)
ซี: พิมพ์เอง เพราะร้องได้ เต้นได้ด้วย 55555 เอเต้นเพลงนี้เป็นไหม
(เหมือนคุณเธอจะพอใจในความสามารถของตัวเองมาก ก็นะ ก็ควรพอใจอยู่หรอก อุตส่าห์ร้องได้ขนาดนี้นี่นา แต่ในใจเรานี่รู้สึกหวั่นๆยังไงชอบกล ความรู้สึกเหมือนเขารู้ทันความคิดเราว่าเรากำลังคิดกำลังวางแผนอะไรอยู่หัวเรา แต่เหมือนเขาแค่แกล้งเดิมตามเกมที่เราวางไว้เท่านั้นเอง ตอนนั้นคิดว่าบางทีอาจเป็นความระแวงของตัวเราเอง เราอาจคิดไปเอง เซนส์เราอาจมีอะไรบกพร่องก็ได้มั้ง แต่พวกที่ตั้งใจสร้างกำแพงไว้ไม่ให้ใครเข้ามามักจะมีเซนส์เฉพาะตัวและยิ่งบวกกับการฝึกอีก แต่ก็ว่าไม่ได้หรอก อาจเป็นแค่ความหวาดระแวงของเราเฉยๆก็ได้ ได้แต่เก็บความหวาดระแวงนั้นไว้ในใจ