รักออนไลน์ของหนุ่มสิงคโปร์กับสาวห้าวกำแพงใจสูง

สวัสดีค่ะ  นี่เป็นกระทู้แรกของเรา  เราแค่อยากแบ่งปันเล่าเรื่องราวประสบการณ์ความรักที่ครั้งนึงได้มาทักทายชีวิตเรา  เราขอใช้ชื่อสมมุติแทนตัวเองว่า  “เอ”  แล้วก็ชื่อสมมุติแทนคุณผู้ชายคนนั้นว่า “ซี”  นะคะ
    เรารู้จักเขาผ่านทางเว็บหาเพื่อนเพื่อฝึกภาษาเว็บนึงค่ะ  พอดีช่วงนั้นเรานึกครึ้มอยากฝึกภาษา  เลยลองไปสมัครไว้เล่นๆดูน่ะค่ะ  พอสมัครไว้ได้ไม่นานก็มี E-mail  เข้ามาว่ามีคนฝากข้อความถึงคุณ  เราก็เปิดเข้าไปดูว่าเป็นข้อความของใครส่งมาและเขาว่ายังไงบ้าง  ก็ปรากฏว่าเป็นเขา คุณซีค่ะ  แต่usernameที่เขาใช้ในเว็บนั้น...ฉันเองก็ลืมไปแล้วค่ะว่าเขาใช้ชื่อว่าอะไร  เพราะมันไม่ตรงกับชื่อเขา  มันเหมือนเป็น code หรือสัญลักษณ์ของอะไรซักอย่างที่เขาใช้เฉพาะตัวมากกว่าค่ะ  และเพราะเราจำusernameนั่นไม่ได้  มันถึงทำให้ฉันเสียใจจนถึงทุกวันนี้  แต่ก็ไม่แน่หรอก  ถึงเราจะจำได้  แต่เขาอาจจะลบ Account นั้นไปแล้วก็ได้  
    หลังจากที่ดิฉันเข้าไปอ่านข้อความก็แอบเข้าไปดูโปรไฟล์เขาก็พบว่าเป็นผู้ชายสิงคโปร์อายุ  27  ปี  รู้ภาษาอังกฤษกับจีน  มีความสนใจในการเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่น  แต่ในข้อความเขาบอกว่าเขาอยากเรียนภาษาไทย  เขียนภาษาไทยมาด้วยนะคะ  เราก็เอ๊ะ  ทำไมในโปรไฟล์บอกอยากเรียนภาษาญี่ปุ่น...แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากคะ  เพราะเราก็เป็นพวกแบบว่าอ่อหรอๆอยากเรียนภาษาไทยแต่คงไม่ได้ใส่ข้อมูลลงไปเฉยๆมั้ง อืมก็แบบว่าภาษาไทยเรานี่ขึ้นชื่อว่าเป็นภาษาที่ยากมากๆสำหรับชาวต่างชาติเลยนะคะ  แต่เขาเขียนภาษาไทยมาค่ะ  ตอนนั้นฉันก็ไม่แน่ใจว่าเขาใช้กูเกิ้ลทรานสเลทรึเปล่านะคะ แต่ก็ตอบกลับข้อความเขาไปเป็นภาษาไทย  พอดีเขาขอไอดีไลน์  ฉันก็เลยส่งไปให้น่ะค่ะ  แล้วเขาก็ทักไลน์มา
    เริ่มแรกที่คุยกัน  เราก็คุยกันธรรมดาค่ะ  ไม่ได้มีทีท่าว่าจะจีบหรือจะเป็นไปในทางชู้สาวแต่อย่างใด
วันแรกที่เราคุยกันฉันยังจำได้  (พอดีดิฉันเก็บข้อความในไลน์ที่เราคุยกันไว้อ่านน่ะค่ะ555 หลายคนอาจมองว่าจะเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ทำไม  อดีตก็คืออดีต  ผู้ชายในโลกนี้มีเยอะแยะไป...ก็จริงค่ะ  แต่ว่าเราไม่ใช่คนที่จะให้ใจใครง่ายๆ  และเขาก็เป็นความทรงจำนึงของเรา  เราจึงอยากเก็บไว้  ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ตาม)
ซี:  สวัสดีครับ  นี่ซีครับ  คุณชื่อ...เอรึเปล่าครับ
เอ:  ค่ะ  ฉันชื่อเอ
ซี:  สบายดีบ่
เอ:  ฉันก็ตกใจสิคะ  ทำไมเขามาแนวอีสาน  อยากเรียนภาษาอีสานหรอ  พิมพ์ภาษาไทยได้นี่ฉันก็ว่าเลิศแล้ว  แต่นี่ดันรู้ภาษาอีสานด้วย  ฉันก็งงๆก่งก๊งว่าทำไมอีตานี่มาแปลกจังวะ  ก็เลยแซวไปว่า  “นี่มันภาษาอีสานนี่คะ”  แล้วก็ไม่ลืมที่จะตอบคำถามเขาค่ะว่า  “ดิฉันสบายดี”  เพราะคิดถึงใจเขาใจเราว่าคนถามเขาก็คงต้องการคำตอบแหละเขาถึงได้ถาม
(บอกไว้ก่อนว่าพออ่านไปเรื่อยๆจะเห็นความเป็นพวกโรคจิตของเจ้าของกระทู้ขึ้นมาเรื่อยๆ  การถามคำถามและการตอบคำถามก็เช่นกัน  ที่แบบว่าถ้าฉันถามเธอกี่คำถาม  เธอก็จะต้องตอบฉันทุกคำถามตามลำดับข้อคำถามที่ฉันถาม  ถึงบางทีดิฉันอาจจะพิมพ์คำถามแล้วส่งมาทีเดียว 4 – 5 คำถาม  อาจดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจกับการ  แค่อยากถามไปงั้นเอง   แต่จริงๆแล้วดิฉันใส่ใจทุกคำถามค่ะ  และคำถามของดิฉันก็ต้องได้รับคำตอบ  คุณจะต้องตอบฉันทุกถาม  ต้องตอบให้ครบ   ถ้าตอบไม่ครบดิฉันก็จะถามซ้ำค่ะ  ถ้าไม่ตอบอีกนี่มีงอนค่ะ  โดยเฉพาะกับเพื่อนดิฉันจะแสดงพฤติกรรมนี้ชัดเจนแบบไม่เกรงใจเลย5555   และบางทีก็ต้องใช้วิธีบังคับให้เพื่อนตอบดีๆค่ะ  เพราะเพื่อนชอบตอบแบบขอไปที)
เราเริ่มคุยกันผ่านไลน์วันที่  16  กุมภา  ปี  2014  เวลา  20.40 น.
ซี:  ยินดีที่ได้รู้จักครับเอ
เอ:  เราก็ตอบไปตามมารยาทว่า  “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ”
ซี:  เอทำงานหรือเรียนอยู่ครับ
เอ:  ก็ตอบไปตามตรงว่า  “เรียนอยู่ค่ะ  คุณล่ะคะ”
ซี:  ทำงานครับ  เอเรียนคณะอะไรครับ
เอ:  เขามาแนวสุภาพ  เราก็ตอบไปตามตรง  คณะ...ค่ะ
ซี:  คนใจดี  เรียนปี 4 แล้วใช่มั้ย
เอ:  เขาเรียกเราว่าคนใจดี  ไอ้เราก็เอ๊ะ  ตานี่สายยกยอปอปั้นรึเปล่านะ ก็ตอบไปว่า “ก็ไม่เสมอไปหรอกนะคะ”  ส่วนเรื่องเรียนอยู่ปี 4 เรายังไม่ได้บอกเขา  แล้วเขารู้ได้ไง ดิฉันก็งงสิคะ  ได้แต่ตอบไปว่า “คะ”  ก็ไม่ได้ถามว่ารู้ได้ไง  เรารู้สึกว่าเขาเริ่มคำถามที่ข้อมูลส่วนตัวเรา  เราลอยอยากถอยออกมาหน่อย  เพราะเราเป็นพวกขี้ระแวง  ไม่ค่อยอยากให้ข้อมูลส่วนตัวกับคนแปลกหน้า  แล้วนี่เพิ่งจะรู้จักกันเอง  เลยพยายามดึงเขากลับมาที่เรื่องการเรียนภาษาของเขา  เลยบอกเขาไปว่า  เอไม่แน่ใจว่าคุณต้องการเรียนภาษาไทยที่ออกแนววิชาการหรือว่าแบบใช้ในชีวิตประจำวัน อยากได้แบบไหนบอกได้นะคะ
ซี:  ใช้ในชีวิตประจำวันครับ
เอ:  ในใจเรารู้สึกว่าเขาสุภาพจังเลย  หรือว่าเขาเป็นคนอย่างนี้จริงๆ  หรือถูกสอนมาว่าเวลาพูดภาษาต้องมีหางเสียงทุกครั้ง  เอ๊ะกำลังเกร็งอยู่รึเปล่า  เลยพิมพ์ไลน์ไปว่า  “อืม ค่ะ ได้เลย จัดให้ กับเอทำตัวสบายๆ ทำใจสบายๆ อยากรู้อะไรก็ถาม ตอบไม่ได้ก็จะไปหามาตอบให้ค่ะ”
ซี:  ครับ  จะถามแล้วนะ
เอ:  ต้องบอกกันก่อนด้วยว่าจะถามแล้ว  แอบงงในใจ  “เอออกตัวไว้ก่อนนะว่าเป็นคนที่ค่อนข้างจะตรงไปตรงมา อะไรที่ผิดพลาดไปก็รีบบอก จะได้แก้ไข ถือซะว่าเป็นการเรียนรู้ร่วมกันนะคะ  ถามได้เลยค่ะ”  มามุขไหนฉันเล่นกลับมุขนั้นแหละจ้ะ 555  แถมส่งสติ๊กเกอร์ยิ้มไปให้ด้วย
ซี:  “คุณรู้จักคำไทยกี่คำครับ  คนใจดี”  ฮีส่งสติ๊กเกอร์ยิ้มมาให้ฉันด้วยค่ะ
เอ:  มามุขนี้ดิฉันก็เหวอรับประทานสิคะ  จะบ้าหรอ  ใครจะมานั่งนับว่าตัวเองรู้จักกี่คำ  เอาเป็นว่าฉันฟังพูดอ่านเขียนไทยออกก็แล้วกัน  เรารู้สึกได้ถึงความรู้สึกแปลกๆที่เขาแผ่ออกมาแบบผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา  เหมือนจะแผนสูงแบบเนียนๆ  เป็นจอมวางแผน  มาแบบเหนือเมฆ  เหมือนเป็นคนพยายามคุมเกมส์ทุกอย่างงั้นแหละ  และฉันก็ตอบไปตามความจริงว่า “เอิ่ม ไม่เคยนับค่ะว่ารู้จักกี่คำ ฮ่าๆๆ  จำเป็นต้องได้คำตอบที่ชัดเจนมั้ยคะคำถามนี้”  หึ  แผนสูงใช่มั้ย  เป็นจอมวางแผนงั้นหรอ  ได้สิ  จะเล่นให้หงายเลย  เราก็ต่อด้วยประโยค “อืม เอขอเรียกคุณว่าพี่ก็แล้วกันนะคะ เพราะรู้สึกว่าคุณจะอายุมากกว่า  ได้มั้ยคะ”
ซี:  รู้ได้ไง
เอ:  ฮั่นแน่หางเสียงเริ่มหายไป  เผยตัวจริงของคุณออกมาเถอะไม่ต้องเก๊กมาก (คิดในใจ)  ก็เดินเกมต่อสิคะ  “ฮ่าๆๆ ไม่ต้องเขินหรอกค่ะ มากกว่ากันไม่กี่ปีเอง”  ตอนนั้นเจ้าของกระทู้อายุ  23  ปี  พี่เขาอายุ  27  
ซี:  คนใจดีเกิดเดือนอะไร
เอ:  เดือนเมษายนค่ะ  พี่ซีล่ะคะ
ซี:  อีก 7 เดือน  เอเกิดวันที่ปีใหม่ไทยหรอ
เอ:  อีก 7 เดือนจะถึงวันเกิดพี่หรอคะ  
ซี:  ใช่  ประมาณ
เอ:  (หมายถึง  อีกเจ็ดเดือนจะวันเกิดเขาหรอ  ตอนนั้นก็เดือนกุมภา  อีกเจ็ดเดือนก็กันยายน  เหมือนเขาจะไม่พอใจนิดๆที่เราไปเรียกเขาว่าพี่  ทั้งที่เขายังไม่อนุญาต  หึหึ  ก็เลยไม่อยากเซ้าซี้  เลยไม่ถามซ้ำว่าเดือนกันยารึเปล่า  ดิฉันก็กลัวเสียมารยาทกับแขกบ้านแขกเมืองค่ะ  เขาอุตส่าตั้งใจเรียนภาษาไทยจนถึงขนาดเขียนได้พิมพ์ได้ขนาดนี้  เลยรีบเปลี่ยนคำถามสิคะ)  “ทำไมพี่ถึงได้สนใจอยากจะเรียนภาษาไทยคะ”  (แต่ก็ยังเรียกพี่นะจ้ะ  ก็ไม่ได้คิดอะไร  ก็เรียกไปตามอายุ  คิดว่ามันเป็นสิ่งสมควรแล้ว  ถือเป็นการให้เกียรติในความต่างของอายุ  การที่เราเรียกพี่นั่นหมายความว่าเราต้องอ่อนน้อมต่อเขาในฐานะที่เขาเป็นผู้ใหญ่กว่า)
ซี:  ภาษาไทยเพราะ
เอ:  มีคนบอกว่า เหมือนเสียงร้องเพลง  พี่คิดอย่างงั้นรึเปล่าคะ  (เราก็เคยเปิดเข้าไปดูในยูทูป  เป็นคลิปที่ถามชาวต่างชาติประมาณว่าทำไมถึงชอบภาษาไทย  อะไรที่เป็นแรงบันดาลใจหรือทำให้พวกเขาชอบเขาสนใจอยากเรียนภาษาไทย  ส่วนตัวเราเราจับความรู้สึกบางอย่างได้ว่าเขางอนเราและอีกความรู้สึกนึงเหมือนมีอะไรพวยพุ่งขึ้นมาในจิตใจเขาเหมือนน้ำพุที่พวยพุ่งขึ้นมาและกำลังเต้นรำอยู่  แต่เราไม่แน่ใจว่าความรู้สึกนั้นคืออะไรกันแน่  แม้ในใจจะสงสัย  แต่เราไม่คุ้นเคยกับความรู้สึกนั้น  จึงปล่อยผ่านไป  มุ่งความสนใจไปที่ความรู้สึกงอนของเขามากกว่า  เราไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้เขางอน  แต่เรารู้สึกไม่ดีนักเวลาถูกใครงอน  เลยพยายามให้เขาหายงอนโดยการพูดหรือพิมพ์อะไรก็ได้ให้เขารู้สึกโอเคมากขึ้น)
ซี:  ใช่
เอ:  น้อยคนนะคะ ที่จะเรียนถึงขั้นอ่านออกเขียนได้  แสดงว่า...พี่ตั้งใจมาก  สู้ๆนะ เอเป็นกำลังใจให้  (ก็ยอไปสิ  ให้กำลังใจไปสิ  ก็กลัวเค้าโกรธนี่  แต่ก็พูดความจริงทั้งนั้นนะ)
ซี:  ส่งสติ๊กเกอร์มา  แล้วตามมาด้วยคำเดิมค่ะ  “คนใจดี”
เอ:  (เฮ้อ  ไม่ใช่สายง้อคนซะด้วยสิ  ง้อไม่เก่ง  แต่เห็นตอบกลับมาแบบนี้ก็เราก็รู้สึกโอเคขึ้น  ค่อยโล่งขึ้นหน่อย  ปกติเราไม่ค่อยได้ง้อคนนะ  ส่วนมากมีแต่คนอื่นมาง้อ  เพราะเราไม่ค่อยทำผิดกะใคร  เลยไม่ต้องไปง้อใครบ่อย  ก็เลยกลายเป็นไม่ถนัดกับการง้อใคร)  ส่งสติ๊กเกอร์ยิ้นไปคะ  แล้วตามด้วยประโยคอินเตอร์แบบมั่วๆไปว่า  “If don't understand some words or sentences, you can ask me,  Ok?”
ซี:  ได้เลย  คนใจดี
เอ:  เอก็ไม่ได้ใจดีขนาดนั้นหรอกค่ะ  พูดบ่อยซะจนเอเริ่มเขินละเนี่ย คำว่าใจดีเนี่ย  
What are you doing?
ซี:  555  แล้วเอ  อยากให้ผมช่วยยังไง
เอ:  “อืม ก็ช่วยคุยเป็นภาษาอังกฤษบ้างตามความสะดวกน่ะค่ะ  ประโยคไหนผิดก็บอกกัน”  (แต่จนแล้วจนรอดเราก็พิมพ์เป็นภาษาไทยกันซะส่วนใหญ่ค่ะ  ภาษาอังกฤษนี่น้อยมากๆๆๆๆๆ)  “อยากให้พีซีแทนตัวเองว่า "พี่" จัง จะได้รู้สึกเป็นกันเองหน่อย  แหะๆ” (ตรงประเด็นที่ทำให้เค้างอนเลยค่ะ  555  ก็พอดีเจ้าของกระทู้ก็มีความใจดีเป็นห่วงความรู้สึกคนอื่นอยู่น่ะค่ะ  ไม่อยากให้ใครมางอนเรานะ  อีกอย่างพอมีปัญหาหรือไม่เข้าใจกันก็ต้องรีบแก้รีบทำความเข้าใจกัน  จะได้ไม่มาเป็นปัญหาทีหลัง)
ซี:  ได้
เอ:  (ทางนี้ก็ดีใจสิคะ  เสมือนหนึ่งว่าเราทำสำเร็จแล้ว  บอกแล้วว่าไม่ชำนาญเรื่องง้อ  ง้อสำเร็จก็ดีใจ  แต่เอ๊ะ...เราไม่ได้เป็นอะไรกัน  ทำไมต้องดีใจขนาดนั้น  ถามใจตัวเอง)
ซี:  เอตอนนี้อยู่จังหวัดอะไรครับ  (เธอกลับเข้าสู่โหมดมีหางเสียงแล้วค่ะ)
เอ:  ตอนนี้อยู่จังหวัดKค่ะ  ที่นี่มีภาษาท้องถิ่น คือ ภาษาอีสาน (ขอแทนจังหวัดเป็นตัวอักษรตัวเดียวนะคะ)
ซี:  อ๋อ  ฮู้เด้อ
เอ:  ฮะ???  รู้ด้วยอะ  ภาษาเหนือล่ะคะ ได้มั้ย
ซี:  ไม่ได้
เอ:  ใต้?
ซี:  แวบเดียวแค่ดู ก็ทำให้รู้ว่าเธอนะโดนหัวใจ
ซี:  ไม่ได้
    คือมีเนื้อเพลงของหญิงลีโผล่มากลางการสนทนาค่ะ  ดิฉันก็งง  เอ๊ะ  อะไร  ยังไง  ตอนนั้นก็ใสๆแบ๊วๆอะนะ  ไม่เคยมีแฟน  ไม่รู้จักความรัก  แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจีบเรารึป่าว  แต่จะให้คิดเข้าข้างตัวเองมันก็ไม่ควรซะด้วยสิ  เลยถามคำถามต่อ  แล้วไม่ลืมที่จะวางไม้กันหมาไว้นิดนึง  555
เอ:  พี่ไปเอาเนื้อเพลงมาจากไหนคะเนี่ย  คุยกับเอไม่ต้องระแวงว่าเอจะจีบนะ เพราะเอไม่ชอบความวุ่นวายจำพวกนั้น ...มันไม่อิสระน่ะค่ะพี่  (ตอนนั้นพูดจากใจจริง  เพราะเหตุผลที่ผ่านมาที่ไม่เคยเปิดใจให้ใครก็เพราะเหตุผลนี้  เลยไม่เคยมีแฟนมาก่อน  555  กำแพงใจนี่สูงลิบลิ่ว  และหลังจากที่เขาเข้ามาในชีวิต  กำแพงนี่ยิ่งสูงกว่าเดิมอีก  ชำนาญด้านการวางไม้กันหมายิ่งกว่าเดิมอีกต่างหาก)
เอ:  เออาจมีพูดกวนบ้าง ก็อย่าถือสาเลยนะคะ อิอิ  บอกล่วงหน้าไว้ก่อนน่ะ(วางหมากไว้  เผื่อต้องวางไม้กันหมาอีกในครั้งถัดไป  จะได้ไม่ดูน่าเกลียดจนเกินงาม)
ซี:  ครับ  เพราะเพลงนี้ดังมาก เป็นลูกทุ่งด้วย  นึกว่าเอเคยฟัง
เอ:  เคยฟังค่ะ ถึงได้ถามไงคะว่าพี่ไปได้เนื้อเพลงมาจากไหน  ฮ่าๆๆ  แสดงว่า พี่ต้องมีเพื่อนคนไทยเยอะแน่ๆเลย  (คิดว่าถ้าเขาไม่มีเพื่อนคนไทยเยอะๆไว้คอยฝึกภาษา  เขาคงไม่คล่องขนาดนี้แน่)
ซี:  พิมพ์เอง  เพราะร้องได้  เต้นได้ด้วย  55555   เอเต้นเพลงนี้เป็นไหม
(เหมือนคุณเธอจะพอใจในความสามารถของตัวเองมาก  ก็นะ  ก็ควรพอใจอยู่หรอก  อุตส่าห์ร้องได้ขนาดนี้นี่นา  แต่ในใจเรานี่รู้สึกหวั่นๆยังไงชอบกล  ความรู้สึกเหมือนเขารู้ทันความคิดเราว่าเรากำลังคิดกำลังวางแผนอะไรอยู่หัวเรา  แต่เหมือนเขาแค่แกล้งเดิมตามเกมที่เราวางไว้เท่านั้นเอง  ตอนนั้นคิดว่าบางทีอาจเป็นความระแวงของตัวเราเอง  เราอาจคิดไปเอง  เซนส์เราอาจมีอะไรบกพร่องก็ได้มั้ง  แต่พวกที่ตั้งใจสร้างกำแพงไว้ไม่ให้ใครเข้ามามักจะมีเซนส์เฉพาะตัวและยิ่งบวกกับการฝึกอีก  แต่ก็ว่าไม่ได้หรอก  อาจเป็นแค่ความหวาดระแวงของเราเฉยๆก็ได้  ได้แต่เก็บความหวาดระแวงนั้นไว้ในใจ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่