ขอเล่าย้อนกลับไปนิดหนึ่งนะครับ
เมื่อเดือน มิ.ย. ปีที่แล้ว ผมได้ซื้อโครงการคอนโดบนเส้นรัชดาบริเวณแยกพระราม9(แยกฟอร์จูน) ชื่อโครงการคอนโด "AQ ARIA" ซึ่งตอนนั้นบริษัทผู้พัฒนาโครงการ คือ บริษัท เอคิว เอสเตท จำกัด(มหาชน)
จากนั้นได้มีจดหมายส่งมาในเดือนนี้มี 2 ฉบับ อยู่ในซองเดียวกัน
ฉบับแรก จากทางบริษัท เอคิว เอสเตท จำกัด(มหาชน) เป็นจดหมายแจ้งเปลี่ยนบริษัทผู้พัฒนาโครงการ
ฉบับที่สอง จากทางบริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) เป็นจดหมายแจ้งให้เข้าร่วมทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด ภายใต้ชื่อโครงการ ชีวาทัย เรสซิเด้นท์ อโศก ในวันที่ 25-26 มิ.ย.59
และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้เข้าไปที่สำนักงานขายโครงการ และได้พบกับผู้บริหารท่านหนึ่ง
ในมุมของผมที่สนทนา คือการซื้อคอนโดในทีแรกนั้น หมายถึงต้องการได้ตามเอกสาร Brochure ตามห้องตัวอย่าง หน้าตาตึก ชื่อโครงการ ฯลฯ ตามที่ทางเอคิวนำเสนอ
ทางบริหารแจ้งว่า จะสานต่อผู้รับเหมา การก่อสร้าง เหมือนเดิมทั้งหมด
ผมถามว่าแล้ว แล้วชื่อโครงการ? เนื่องจากตอนแรกที่ผมซื้อผมซื้อตัวตนของโครงการนี้ทั้งหมด ซึ่งผมพอใจในชื่อโครงการAQ ARIA และสิ่งที่เป็นตัวตน จิตวิญญาณของAQ ARIA
ผู้บริหาร ตอบว่าไม่ได้ อีกทั้งทางชีวาทัยจ่ายเงินไปห้าร้อยกว่าล้านเพื่อซื้อโครงการ ก็อยากจะเปลี่ยนชื่อมาเป็นชื่อตัวเอง
ผู้บริหารได้ให้ทางเลือกให้กับลูกค้าอย่างไรกับเรื่องนี้
1. ให้ยกเลิกสัญญาฯและคืนเงิน แต่ขอหักค่าลำโพงซึ่งเป็นของแถมที่ได้รับตอนนั้น เป็นเงิน 15,000 บาท หรือหมายถึงได้รับเงินคืนไม่เต็มจำนวน
2. ก็ให้ทำสัญญาซื้อขายกับทางชีวาทัย ซึ่งโครงการนี้จะชื่อโครงการ "ชีวาทัย เรสซิเด้นท์ อโศก"
ผมได้แจ้งไปว่าอยากให้ทางชีวาทัยเสนอวิธีที่วิน วิน กันทั้งสองฝ่าย ซึ่งทางเลือกทั้ง 2 ข้อที่เสนอมานั้น ทางผมเป็นลูกค้ามีแต่เสีย คือ ตามข้อ1 โดนหักเงิน 15,000 บาท ,ตามข้อ2 จะต้องยอมรับกับชื่อโครงการใหม่
ซึ่งผมไม่แน่ใจการแก้ปัญหานี้ กลายเป็นให้ลูกค้าตัดสินใจกับทางเลือกทั้งสองซึ่งลูกค้าได้รับผลกระทบ แต่ทางผู้บริหารชีวาทัย ตอบได้ว่ามี 2 ทางเลือก และชื่อไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และได้บอกว่าให้ลูกค้าตัดสินใจถึง 15 ก.ค. มิฉะนั้นคงต้องเอาห้องกลับมาขายใหม่
ขอยกตัวอย่างหนึ่ง
ลูกค้าจองมัดจำหนึ่งแสนบาท เพื่อซื้อกระเป๋ายี่ห้อH และได้มีสัญลักษณ์ที่กระเป๋าบ่งบอกว่าเป็นยี่ห้อH ราคาหลักล้านบาท และได้แถมเข็มขัดมูลค่าหมื่นบาทให้ โดยจะส่งมอบกระเป๋าอีก 1 ปี แต่ต่อมาบริษัทที่ขายกระเป๋ายี่ห้อH ถูกเทคโอเวอร์โดยบริษัท ก ด้วยมูลค่านับหมื่นล้านบาท
บริษัท ก ก็ผลิดกระเป๋านี้ได้ตรงตามคุณภาพและสเปคเดิมทุกอย่างเพื่อจะส่งมอลูกค้าภายในกำหนดตามเดิม แต่ขอเปลี่ยนสัญลักษณ์ชื่อในกระเป๋าเป็น ก แทน
ถ้าเป็นลูกค้าจะรับได้หรือไม่? และบริษัท ก จำเป็นต้องถามลูกค้าหรือไม่ว่ายอมให้เปลี่ยนหรือไม่?
ซึ่งไม่ได้บอกว่าบริษัท ก ดีหรือไม่ดี หรือ ก กับ H อะได้ดีกว่ากัน แต่ลูกค้าซื้อตอนแรกนั้นพึงพอใจที่จะซื้อกระเป๋าที่มีสัญญลักษณ์ H มากกว่า
บริษัท ก เสนอทางเลือกให้ คืนเงิน แต่คืนไม่เต็มจำนวนหักค่าเข็มขัดที่เคยให้ไปหนึ่งหมื่นบาท และเงินที่ลูกค้าวางมัดจำไปแล้วหนึ่งปีนั้นจะไม่มีการจ่ายดอกเบี้ยให้เช่นกัน
ถ้าเป็นลูกค้า คิดเห็นอย่างไร?
ย้อนกลับไปการเทคโอเวอร์โครงการนี้ โดยเฉพาะเป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ วิธีการดังกล่าวเพื่อนๆคิดว่าการบริหารการจัดการกับลูกค้าที่ดีพอหรือยังครับ? และการเทคโอเวอร์และการเปลี่ยนชื่อโครงการจำเป็นต้องได้รับคำยินยอมหรือฟังเสียงจากลูกค้าหรือไม่ครับ?
คอนโด"AQ Aria Asoke" เปลี่ยนเป็น"ชีวาทัย เรสซิเด้นท์ อโศก" กับทางเลือกให้กับลูกค้าจากระดับผู้บริหาร
เมื่อเดือน มิ.ย. ปีที่แล้ว ผมได้ซื้อโครงการคอนโดบนเส้นรัชดาบริเวณแยกพระราม9(แยกฟอร์จูน) ชื่อโครงการคอนโด "AQ ARIA" ซึ่งตอนนั้นบริษัทผู้พัฒนาโครงการ คือ บริษัท เอคิว เอสเตท จำกัด(มหาชน)
จากนั้นได้มีจดหมายส่งมาในเดือนนี้มี 2 ฉบับ อยู่ในซองเดียวกัน
ฉบับแรก จากทางบริษัท เอคิว เอสเตท จำกัด(มหาชน) เป็นจดหมายแจ้งเปลี่ยนบริษัทผู้พัฒนาโครงการ
ฉบับที่สอง จากทางบริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) เป็นจดหมายแจ้งให้เข้าร่วมทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด ภายใต้ชื่อโครงการ ชีวาทัย เรสซิเด้นท์ อโศก ในวันที่ 25-26 มิ.ย.59
และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้เข้าไปที่สำนักงานขายโครงการ และได้พบกับผู้บริหารท่านหนึ่ง
ในมุมของผมที่สนทนา คือการซื้อคอนโดในทีแรกนั้น หมายถึงต้องการได้ตามเอกสาร Brochure ตามห้องตัวอย่าง หน้าตาตึก ชื่อโครงการ ฯลฯ ตามที่ทางเอคิวนำเสนอ
ทางบริหารแจ้งว่า จะสานต่อผู้รับเหมา การก่อสร้าง เหมือนเดิมทั้งหมด
ผมถามว่าแล้ว แล้วชื่อโครงการ? เนื่องจากตอนแรกที่ผมซื้อผมซื้อตัวตนของโครงการนี้ทั้งหมด ซึ่งผมพอใจในชื่อโครงการAQ ARIA และสิ่งที่เป็นตัวตน จิตวิญญาณของAQ ARIA
ผู้บริหาร ตอบว่าไม่ได้ อีกทั้งทางชีวาทัยจ่ายเงินไปห้าร้อยกว่าล้านเพื่อซื้อโครงการ ก็อยากจะเปลี่ยนชื่อมาเป็นชื่อตัวเอง
ผู้บริหารได้ให้ทางเลือกให้กับลูกค้าอย่างไรกับเรื่องนี้
1. ให้ยกเลิกสัญญาฯและคืนเงิน แต่ขอหักค่าลำโพงซึ่งเป็นของแถมที่ได้รับตอนนั้น เป็นเงิน 15,000 บาท หรือหมายถึงได้รับเงินคืนไม่เต็มจำนวน
2. ก็ให้ทำสัญญาซื้อขายกับทางชีวาทัย ซึ่งโครงการนี้จะชื่อโครงการ "ชีวาทัย เรสซิเด้นท์ อโศก"
ผมได้แจ้งไปว่าอยากให้ทางชีวาทัยเสนอวิธีที่วิน วิน กันทั้งสองฝ่าย ซึ่งทางเลือกทั้ง 2 ข้อที่เสนอมานั้น ทางผมเป็นลูกค้ามีแต่เสีย คือ ตามข้อ1 โดนหักเงิน 15,000 บาท ,ตามข้อ2 จะต้องยอมรับกับชื่อโครงการใหม่
ซึ่งผมไม่แน่ใจการแก้ปัญหานี้ กลายเป็นให้ลูกค้าตัดสินใจกับทางเลือกทั้งสองซึ่งลูกค้าได้รับผลกระทบ แต่ทางผู้บริหารชีวาทัย ตอบได้ว่ามี 2 ทางเลือก และชื่อไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และได้บอกว่าให้ลูกค้าตัดสินใจถึง 15 ก.ค. มิฉะนั้นคงต้องเอาห้องกลับมาขายใหม่
ขอยกตัวอย่างหนึ่ง
ลูกค้าจองมัดจำหนึ่งแสนบาท เพื่อซื้อกระเป๋ายี่ห้อH และได้มีสัญลักษณ์ที่กระเป๋าบ่งบอกว่าเป็นยี่ห้อH ราคาหลักล้านบาท และได้แถมเข็มขัดมูลค่าหมื่นบาทให้ โดยจะส่งมอบกระเป๋าอีก 1 ปี แต่ต่อมาบริษัทที่ขายกระเป๋ายี่ห้อH ถูกเทคโอเวอร์โดยบริษัท ก ด้วยมูลค่านับหมื่นล้านบาท
บริษัท ก ก็ผลิดกระเป๋านี้ได้ตรงตามคุณภาพและสเปคเดิมทุกอย่างเพื่อจะส่งมอลูกค้าภายในกำหนดตามเดิม แต่ขอเปลี่ยนสัญลักษณ์ชื่อในกระเป๋าเป็น ก แทน
ถ้าเป็นลูกค้าจะรับได้หรือไม่? และบริษัท ก จำเป็นต้องถามลูกค้าหรือไม่ว่ายอมให้เปลี่ยนหรือไม่?
ซึ่งไม่ได้บอกว่าบริษัท ก ดีหรือไม่ดี หรือ ก กับ H อะได้ดีกว่ากัน แต่ลูกค้าซื้อตอนแรกนั้นพึงพอใจที่จะซื้อกระเป๋าที่มีสัญญลักษณ์ H มากกว่า
บริษัท ก เสนอทางเลือกให้ คืนเงิน แต่คืนไม่เต็มจำนวนหักค่าเข็มขัดที่เคยให้ไปหนึ่งหมื่นบาท และเงินที่ลูกค้าวางมัดจำไปแล้วหนึ่งปีนั้นจะไม่มีการจ่ายดอกเบี้ยให้เช่นกัน
ถ้าเป็นลูกค้า คิดเห็นอย่างไร?
ย้อนกลับไปการเทคโอเวอร์โครงการนี้ โดยเฉพาะเป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ วิธีการดังกล่าวเพื่อนๆคิดว่าการบริหารการจัดการกับลูกค้าที่ดีพอหรือยังครับ? และการเทคโอเวอร์และการเปลี่ยนชื่อโครงการจำเป็นต้องได้รับคำยินยอมหรือฟังเสียงจากลูกค้าหรือไม่ครับ?