ว้าว ว้าว ว้าว.....วันนี้คงต้องบอกว่าหากใครที่อยู่ในแวดวงกล้องๆเลนส์มาสักพักแล้ว คงไม่มีใครไม่รู้จักกับเจ้าเลนส์มหากาฬ เกรย๋กู้ดรูดม่าน อย่างเจ้า Leica Noctilux-M 50mm f/0.95 ASPH ตัวนี้เป็นอย่างแน่นอนครับ เปิดตัวในปี 2008 โดยค่าย Leica ด้วยสนนราคาระเบิดกระเป๋า เผาสมุดบัญชีกันให้แหลกไปข้างนึง ราคา (ปี 2016) อยู่ที่ 10,650 USD หรือประมาณ 375,000 บาท แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ ในช่วงปี 2009-2011 (ช่วงดังระเบิดระเบ้อของกล้อง M8/M9) นั้นเลนส์ตัวนี้ขาดตลาดทั่วโลก อย่างรุนแรงถึงขนาดที่ว่าต้องสั่งซื้อแล้วรอคิวกันเป็นปีเลยก็มี ส่งผลให้ราคาของมือสองและ gray market แพงกว่าของใหม่ซะอีกครับ โอ้ววววว มาย กรู้ดดด เกริ่นกันมาตั้งนานแล้วมาเริ่มเข้าเรื่องเลยดีกว่าว่าเลนส์ตัวนี้เมื่อได้ใช้แล้วมันเป็นยังไงกันนะ มีข้อดีข้อเสียเป็นอย่างไรบ้างในมุมมองของผม
Disclaimer: บทความนี้เขียนจากความเห็นและประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียนที่ตั้งใจสรุปออกมาแบ่งปันกับท่านที่ชื่นชอบการถ่ายรูปท่านอื่นๆ โดยเป็นการรีวิวในลักษณะของการใช้งานจริง (real world) โดยไม่เน้นไปทางการทดสอบด้านเทคนิคต่างๆ เช่นการถ่ายแผ่นวัดความคมหรือ resolution การถ่ายภาพเปรียบเทียบแบบ pixel ต่อ pixel เพราะขี้เกียจครับ ทั้งความเห็นส่วนตัวที่ว่าน่าเบื่อและไม่เห็นประโยชน์มากนักเมื่อเทียบกับการแสดงภาพและความคิดเห็นจากการใช้งานจริง ทั้งนี้ภาพทุกภาพผ่านการแต่ง ผ่าน process ในการทำภาพแบบเดียวกับภาพทที่ผมใช้งานจริงๆ เช่นถ่ายพรีเวดดิ้ง (pre-wedding), พอร์เทรต (portrait) หรืโปรเจคส่วนตัว เอาละครับ! ถ้าท่านพร้อมแล้วกับการบ่นไปถ่ายไปของผม เราก็มาเริ่มกันเลยครับ
ผมมีโอกาสได้ใช้เลนส์ตัวนี้เป็นเวลาประมาณ 4 ปีกว่าแล้วครับและเป็นเลนส์ที่ผมใช้บ่อยที่สุดด้วย วันนี้ก็จะมาแชร์ประสบการณ์และความรู้สึกเกี่ยวกับมันก็ละกันครับ ก่อนอื่นก็คงต้องพูดถึงขนาดและน้ำหนักของมันกันก่อนครับ เจ้าเลนส์ตัวนี้ถือว่าหนักและมีขนาดใหญ่ที่เดียวครับสำหรับเลนส์ที่ใช้กับกล้องแบบ Rangefinder ที่ปกติเลนส์จะมีขนาดเล็ก และมีน้ำหนักที่เอาเรื่องทีเดียว ตามสเป็กแล้วเลนส์ตัวนี้หนักถึง 700 กรัมครับ แต่ถ้าเทียบกับเลนส์ DSLR แล้วละก็ ถือว่าเล็กและเบาอยู่ครับ
ในแง่ของการสะพายและการใช้ เมื่อใส่เลนส์ตัวนี้เข้ากับ leica M และสายสะพายแล้ว จะค่อนข้างทิ้งน้ำหนักไปข้างหน้ามากพอตัวที่เดียวครับ ไม่ค่อยบาลานซ์เวลาสะพายเจ้าเลนส์จะชี้ลงดินและแกว่งได้ง่ายเมื่อเดิน อาจต้องระวังกระแทกนิดนึงครับ ส่วนในเรื่อง ergonomic ตอนถ่ายภาพนั้นถ้าใช้ทั้งสองมือประคองก็ถือว่าจับได้ถนัดเข้ามือพอดีครับ แถ่ถ้าต้องถือมือเดียวและใช้ถ่ายรูปตลอดทั้งวันก็อาจจะล้าได้ทีเดียวครับ บางครั้งผมถ่ายตลอดทั้งวันก็มีอาการล้าเหมือนกัน หลักๆก็เป็นเรื่องของน้ำหนักนี่ล่ะครับ ส่วนขนาดถือว่าเหมาะมือหมุนโฟกัสคล่องตัว
แน่นอนครับเจ้าเลนส์ leica M mount ตัวนี้เป็น prime and full manual lens ครับ ไม่มีออโต้โฟกัสหรือฟังก์ชันซูมแต่อย่างใด มือหมุนเอาเองในการปรับโฟกัสและซูมด้วยเท้า จะเดินหน้าจะถอยหลังก็เอาตามที่สบายใจเลย ทั้งนี้ DOF ที่บางมากเพราะรูรับแสงที่กว้างแบบสุดๆ (f/0.95) การโฟกัสให้ "เข้า" จึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญและท้าทายอย่างยิ่ง และ ค่าย Leicaเองก็ตะหนักในข้อนี้ดีก็เลยออกแบบให้มี focus throw (ขอแปลว่าระยะในการหมุนปรับวงแหวนโฟกัส)ที่กว้าง เพื่อช่วยให้สามารถปรับโฟกัสได้ละเอียดและแม่นยำมากขึ้น ซึ่งหากเปรียบเทียบกับเลนส์ตัวอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น APO Summicron-M 75mm f/2.0 จะรู้สึกได้เลยว่ามันต่างกันจริงๆครับ โดย Noctilux มีระยะหมุนปรับโฟกัสที่นานและฝืดกว่าทำให้ผิดพลาดได้ยากขึ้น
ตัวบอดี้เป็นโลหะล้วนๆครับไม่มีส่วนที่เป็นพลาสติกเลยแม้กระทั่งวงแหวนโฟกัสหรือเลนส์ hood ในช่วงแรกๆของการผลิตนั้นมีแต่ที่เป็นสีดำครับ ในปีหลังๆมีการผลิตรุ่นที่เป็นสีเงินอออกมาจำหน่ายแล้วด้วยราคาที่สูงกว่าสีดำนิดหน่อย งานสวยเนี้ยบมาก ตัววงแหวนปรับรูรับแสงเป็นแบบ step โดยปรับได้ทีละ ครึ่ง stop เจ้าตัวตัววงแหวนปรับรูรับแสงนี้สามารถหมุนได้ลื่นดีครับ แต่ไม่ลื่นหรือว่าฝืดจนเกินไปเวลาหมุนปรับจะมีเสียงเมื่อถึง step ของมัน การมีเสียงนี้ก็ช่วยให้ปรับรูรับแสงได้โดยไม่ต้องละสายตาจาก viewfinder ได้ด้วยครับ สำหรับหน้าเลนส์นั้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางที่ 60mm ครับและมี thread ที่เป็นเกลียวสำหรับใส่ filter ที่หน้าเลนส์ filter ที่ผมใส่เอาไว้ตลอดเวลาก็คือ UV/Haze protecting filter ครับเพื่อปกป้องหน้าเลนส์ที่แสนแพงเอาไว้และก็พก ND filter แบบ 3 stop และ 6 stop เอาไว้ด้วยเผื่อถ่ายที่ f/0.95 กลางแจ้งครับ
หลังจากได้แตะๆเรื่องของขนาด, น้ำหนักและ ergonomic ไปบ้างแล้วก็เห็นจะต้องมาพูดเรื่องที่สำคัญที่สุดว่าทำไมผมถึงชอบเลนส์ตัวนี้มาก (และมันถึงแพงมาก) มันมีดีอย่างไร และมันดีกว่าเลนส์ตัวอื่นๆหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน เรามาเริ่มที่เรื่องแรกก่อนครับ
1. มันไม่เหมือนใครด้วยรูรับแสงที่กว้างสุดๆที่ f/0.95
ตอนที่มันเปิดตัวในช่วงปี 2008 เนี่ยมันเป็นเลนส์ 50mm ตัวแรกของโลกที่มีรูรับแสงกว้างถึง f/0.95 และใช้ Asperical surface (ต่อไปนี้ขอย่อว่า ASPH นะครับ)ในตอนนั้นไม่มีค่ายไหนเลยที่กล้าทำเลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างขนาดนี้ (ความเห็นส่วนตัวของผมเองเลยนะครับเรื่องขนาดรูรับแสงกว้างๆเนี่ย ค่ายไหนก็ทำได้แต่จะทำออกมาแล้วให้ "ภาพ" ที่ออกมาจากการถ่ายด้วยรูรับแสงที่กว้างขนาดนั้นมีคุณภาพที่รับได้และมีราคาที่สามารถขายให้กับคนส่วนใหญ่ได้นั้นเป็นเรื่องยาก แต่ Leica ทำได้และกล้าทำ (เพราะยังไงก็ขายแพงอยู่แล้ว) ก่อนหน้านั้น Canon เองก็เคยทำเลนส์ rangefinder ที่มีขนาดรูรับแสงกว้างถึง f/0.95 (discontinued) หรือแม้กระทั่ง 50mm f/1.0 ของ EF mount (discontinued) มาแล้ว แต่คุณภาพทางเทคนิคยังไม่ดีเท่ากับ Leica อันนี้ยังไม่พูดถึง Noctilux ตัวก่อนๆของค่าย Leica เองนะครับ เอาเป็นว่าในช่วงปี 2008 เนี่ยเลนส์ของค่ายต่างๆที่อยู่ในไลน์การผลิตปัจจุบัน ไม่มีใครมีรูรับแสงกว้างขนาดนี้แล้ว สำหรับท่านที่ชอบ DOF บางๆให้โบเก้นุ่มๆละลายหลังกันชิลล์ๆไป เลนส์ตัวนี้ก็เหมือนพระเจ้าส่งมาเลยครับ สำหรับท่านที่ถ่ายแนว street ก็เช่นกันสามารถที่จะถ่ายในที่แสงน้อยๆได้สบายมาก ยุคนั้นนี่เป็นเลนส์จากพระเจ้าจริงๆครับ เพราะ ISO performance ของเจ้ากล้อง M8/M9 ถือว่ากระจอกมาก ใช่แล้วครับ กระจอกง่อกง่อยมาก สำหรับมาตรฐานเทคโนโลยีปัจจุบัน เจ้า M8/M9 นี่ดัน ISO ไปไม่ได้เยอะครับ noise เต็มจนภาพใช้ไม่ได้ ดังนั้นรูรับแสงกว้างๆของเจ้า Noctilux ตัวนี้นี่มาช่วยชีวิตเลยครับ
2. Image Quality
เรื่องที่สำคัญที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นเรื่องของ "คุณภาพ" ของไฟล์ภาพที่ได้ ด้วยสนนราคาค่าตัวขนาดนี้ ด้วยขนาดรูรับแสงกว้างขนาดนี้ ถ้าภาพที่ได้ออกมาไม่ดีก็คงจะไม่มีประโยชน์หรือความน่าใช้อะไรใช่มั้ยครับ เอาละทีนี้ลองมาดูกันว่าในแง่ของ image quality แล้วมันมีดีอย่างไร
ความคม (sharpness) ความคมของเจ้า Noctilux ตัวนี้ ที่ f/0.95 นั้นถือว่าคมมากทีเดียว (ถ้าโฟกัสได้ถูกต้องถูกจุดนะครับ) โดยเฉพาะตรงกลางภาพ คมกว่าเลนส์ 50mm อื่นๆที่ผมเคยใช้มาเสียอีก ด้วยขนาดของรูรับแสงที่กว้างขนาดนี้ การจะทำให้ภาพคมได้ขนาดนี้ ถือว่าต้องมีการออกแบบเลนส์มาให้แก้ข้อบกพร่องได้อย่างดีมากๆ
สำหรับผม ความคมของเลนส์ค่าย leica นี้จะทำให้ภาพที่ได้มีความชัดเจน เส้นเป็นเส้น แยกรายละเอียดออกมาได้ชัดดีครับ ยิ่งเวลาซุมเข้าไปดูแบบ 100% เนี่ยเห็นความแตกต่างชัดเจนมากเลยครับ
Leica Noctilux-M 50mm f/0.95 ASPH ที่ f/0.95 โฟกัสที่ดวงตาของแบบ
Canon EF 50mm f/1.2L ภาพที่ได้ก็สวยนุ่มนวล และมีเสน่ห์ไปอีกแบบ แต่คเรียบเทียบในแง่ความคมแล้วยังแพ้เจ้า Noctilux ครับ ภาพนี้ถ่าย f/1.2
แน่นอนครับ เหตุผลที่เราจะซื้อเลนส์ที่มีรูรับแสงเวอร์วังขนาดนี้มาใช้ ก็เพื่อสิ่งนี้ครับ "Depth of Field (DOF)" ที่บางมากๆและผลลัพธ์คือฉากหลังที่ละลายหายไปอย่างนุ่มนวล สามารถแยกเอาส่วนที่อยู่ในโฟกัสออกมาจากส่วนอื่นได้อย่างชัดเจนและดูมีมิติ ในสมัยก่อนตอนที่เทคโนโลยีของ ISO ยังไม่ก้าวหน้านัก การมีเลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างๆจะช่วยให้สามารถถ่ายภาพในที่ๆแสงน้อยๆได้ดีเพราะสามารถรับแสงเข้ามายัง ฟิล์มหรือเซนเซอร์ได้มากกว่า เมื่อเทคโนโลยีของ ISO ก้าวหน้าขึ้นเราสามารถใช้ค่า ISO สูงๆได้โดยไม่เสียคุณภาพของไฟล์มากนัก หลายๆท่านก็อาจจะคิดว่า รูรับแสงแคบกว่าหน่อย (เช่น f/2.8) ก็ไม่เห็นเป็นไร ดัน ISO เอาก็ได้จะเสียเงินซื้อเลนส์แพงๆไปทำไม ครับถ้ามองในแง่ของการถ่ายรูปในที่แสงน้อยละก็เจ้า ISO นี่มันก็ช่วยได้เป็นอย่างดีเลยครับ เลนส์ที่ f/2.8 หรือมากกว่าก็ไม่มีปัญหาอะไร เรียกว่าเอามาแก้ไขทดแทนกันไปได้ แต่สิ่งที่ทดแทนกันไม่ได้คือ DOF ไงล่ะครับ เจ้า โบเก้ (bokeh) หรือส่วนของภาพที่เบลอ ไม่ได้อยู่ในโฟกัส (โบเก้ เป็นภาษาญี่ปุ่น แปลว่าเบลอ) นั้น ถ้าเอาไปทำใน photoshop เนี่ยก็ไม่เนียนด้วยครับ ความสวยมันต่างกันมาก ดังนั้นหากท่านอยากได้ภาพที่มี DOF บางๆเพื่อแยกส่วนที่ท่านอยากให้ผู้ชมดูออกจากส่วนอื่นๆของภาพ และมีโบเก้นุ่มๆแบบที่ฝรั่งเค้าชอบอธิบายว่า creamy bokeh เจ้ารูรับแสงแบบกว้างๆนี่เป็นคำตอบเดียวเลยครับ
ในแง่ของ การเก็บรายละเอียด (resolution)และ contrast นั้นที่ก็ถือว่าเป็นเลนส์ที่ยอดเยี่ยมมากทีเดียวโดยเฉพาะเมื่อ stop down ลงมาที่รูรับแสงแคบๆ ถือว่าไม่แพ้ summicron หรือ summilux เลยทีเดียวครับโดยเฉพาะช่วง f/5.6 ถึง f/8 ที่เป็นช่วง sweet spot ของเลนส์ไลกาหลายๆตัว ดีเทลต่างๆนั้นถูกบันทึกเอาไว้ได้ดี แม้จะซูมที่ 100% ก็ยังสามารถเห็นรายละเอียดของภาพได้สบาย ส่วนที่ f/0.95 นั้น resolution นั้นไม่ดีโดยเฉพาะขอบภาพซึ่ง MTF ของเลนส์ก็บอกอยู่แล้ว แต่มันมีความหมายอะไรหรือเปล่า? สำหรับผมไม่เลยครับเพราะเมื่อถ่ายที่ f/0.95 แล้วเนี่ยส่วนอื่นๆนอกจากตรงที่จุดโฟกัสก้จะเบลอออกไปหมดอยู่ดี จากภาพต่างๆที่ได้ลงในบทความนี้แสดงให้เห็นถึง contrast ที่ดีของเจ้าเลนส์ตัวนี้ภาพดูคมชัด แยกรายละเอียดออกจากกันชัดเจน และดู "ใส (clarity)" มาก ผมว่านี่เป็นจุดเด่นของค่ายไลกาเลยที่ภาพจะคมมี contrast และ clarity สูงทำให้ภาพใสและเป็นเอกลักษณ์ และเจ้าเลนส์ตัวนี้ก็ทำได้ดี
สีสันที่เลนส์ตัวนี้วาดออกมาก็ถือว่าให้สีที่อิ่มและเป็นกลางดีครับ ในบางครั้งผมสังเกตูเห็นสีแดงที่อิ่มจนเกินไป (oversaturated) จนถูกคลิปออกไปจาก histogram เลยก็มี แต่คิดว่าเป็นปัญหาจากเซ็นเซอร์ของเจ้า M240 และ M9 มากกว่าครับจำไม่ได้เลยว่าเคยมีปัญหานี้กับ A7II ซักครั้ง
TO BE CONTINUED....
[CR] Review: Noctilux-M 50mm f/0,95 ASPH รีวิวเลนส์ไลกา รูรับแสง 0.95!!!
ว้าว ว้าว ว้าว.....วันนี้คงต้องบอกว่าหากใครที่อยู่ในแวดวงกล้องๆเลนส์มาสักพักแล้ว คงไม่มีใครไม่รู้จักกับเจ้าเลนส์มหากาฬ เกรย๋กู้ดรูดม่าน อย่างเจ้า Leica Noctilux-M 50mm f/0.95 ASPH ตัวนี้เป็นอย่างแน่นอนครับ เปิดตัวในปี 2008 โดยค่าย Leica ด้วยสนนราคาระเบิดกระเป๋า เผาสมุดบัญชีกันให้แหลกไปข้างนึง ราคา (ปี 2016) อยู่ที่ 10,650 USD หรือประมาณ 375,000 บาท แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ ในช่วงปี 2009-2011 (ช่วงดังระเบิดระเบ้อของกล้อง M8/M9) นั้นเลนส์ตัวนี้ขาดตลาดทั่วโลก อย่างรุนแรงถึงขนาดที่ว่าต้องสั่งซื้อแล้วรอคิวกันเป็นปีเลยก็มี ส่งผลให้ราคาของมือสองและ gray market แพงกว่าของใหม่ซะอีกครับ โอ้ววววว มาย กรู้ดดด เกริ่นกันมาตั้งนานแล้วมาเริ่มเข้าเรื่องเลยดีกว่าว่าเลนส์ตัวนี้เมื่อได้ใช้แล้วมันเป็นยังไงกันนะ มีข้อดีข้อเสียเป็นอย่างไรบ้างในมุมมองของผม
Disclaimer: บทความนี้เขียนจากความเห็นและประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียนที่ตั้งใจสรุปออกมาแบ่งปันกับท่านที่ชื่นชอบการถ่ายรูปท่านอื่นๆ โดยเป็นการรีวิวในลักษณะของการใช้งานจริง (real world) โดยไม่เน้นไปทางการทดสอบด้านเทคนิคต่างๆ เช่นการถ่ายแผ่นวัดความคมหรือ resolution การถ่ายภาพเปรียบเทียบแบบ pixel ต่อ pixel เพราะขี้เกียจครับ ทั้งความเห็นส่วนตัวที่ว่าน่าเบื่อและไม่เห็นประโยชน์มากนักเมื่อเทียบกับการแสดงภาพและความคิดเห็นจากการใช้งานจริง ทั้งนี้ภาพทุกภาพผ่านการแต่ง ผ่าน process ในการทำภาพแบบเดียวกับภาพทที่ผมใช้งานจริงๆ เช่นถ่ายพรีเวดดิ้ง (pre-wedding), พอร์เทรต (portrait) หรืโปรเจคส่วนตัว เอาละครับ! ถ้าท่านพร้อมแล้วกับการบ่นไปถ่ายไปของผม เราก็มาเริ่มกันเลยครับ
ผมมีโอกาสได้ใช้เลนส์ตัวนี้เป็นเวลาประมาณ 4 ปีกว่าแล้วครับและเป็นเลนส์ที่ผมใช้บ่อยที่สุดด้วย วันนี้ก็จะมาแชร์ประสบการณ์และความรู้สึกเกี่ยวกับมันก็ละกันครับ ก่อนอื่นก็คงต้องพูดถึงขนาดและน้ำหนักของมันกันก่อนครับ เจ้าเลนส์ตัวนี้ถือว่าหนักและมีขนาดใหญ่ที่เดียวครับสำหรับเลนส์ที่ใช้กับกล้องแบบ Rangefinder ที่ปกติเลนส์จะมีขนาดเล็ก และมีน้ำหนักที่เอาเรื่องทีเดียว ตามสเป็กแล้วเลนส์ตัวนี้หนักถึง 700 กรัมครับ แต่ถ้าเทียบกับเลนส์ DSLR แล้วละก็ ถือว่าเล็กและเบาอยู่ครับ
ในแง่ของการสะพายและการใช้ เมื่อใส่เลนส์ตัวนี้เข้ากับ leica M และสายสะพายแล้ว จะค่อนข้างทิ้งน้ำหนักไปข้างหน้ามากพอตัวที่เดียวครับ ไม่ค่อยบาลานซ์เวลาสะพายเจ้าเลนส์จะชี้ลงดินและแกว่งได้ง่ายเมื่อเดิน อาจต้องระวังกระแทกนิดนึงครับ ส่วนในเรื่อง ergonomic ตอนถ่ายภาพนั้นถ้าใช้ทั้งสองมือประคองก็ถือว่าจับได้ถนัดเข้ามือพอดีครับ แถ่ถ้าต้องถือมือเดียวและใช้ถ่ายรูปตลอดทั้งวันก็อาจจะล้าได้ทีเดียวครับ บางครั้งผมถ่ายตลอดทั้งวันก็มีอาการล้าเหมือนกัน หลักๆก็เป็นเรื่องของน้ำหนักนี่ล่ะครับ ส่วนขนาดถือว่าเหมาะมือหมุนโฟกัสคล่องตัว
แน่นอนครับเจ้าเลนส์ leica M mount ตัวนี้เป็น prime and full manual lens ครับ ไม่มีออโต้โฟกัสหรือฟังก์ชันซูมแต่อย่างใด มือหมุนเอาเองในการปรับโฟกัสและซูมด้วยเท้า จะเดินหน้าจะถอยหลังก็เอาตามที่สบายใจเลย ทั้งนี้ DOF ที่บางมากเพราะรูรับแสงที่กว้างแบบสุดๆ (f/0.95) การโฟกัสให้ "เข้า" จึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญและท้าทายอย่างยิ่ง และ ค่าย Leicaเองก็ตะหนักในข้อนี้ดีก็เลยออกแบบให้มี focus throw (ขอแปลว่าระยะในการหมุนปรับวงแหวนโฟกัส)ที่กว้าง เพื่อช่วยให้สามารถปรับโฟกัสได้ละเอียดและแม่นยำมากขึ้น ซึ่งหากเปรียบเทียบกับเลนส์ตัวอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น APO Summicron-M 75mm f/2.0 จะรู้สึกได้เลยว่ามันต่างกันจริงๆครับ โดย Noctilux มีระยะหมุนปรับโฟกัสที่นานและฝืดกว่าทำให้ผิดพลาดได้ยากขึ้น
ตัวบอดี้เป็นโลหะล้วนๆครับไม่มีส่วนที่เป็นพลาสติกเลยแม้กระทั่งวงแหวนโฟกัสหรือเลนส์ hood ในช่วงแรกๆของการผลิตนั้นมีแต่ที่เป็นสีดำครับ ในปีหลังๆมีการผลิตรุ่นที่เป็นสีเงินอออกมาจำหน่ายแล้วด้วยราคาที่สูงกว่าสีดำนิดหน่อย งานสวยเนี้ยบมาก ตัววงแหวนปรับรูรับแสงเป็นแบบ step โดยปรับได้ทีละ ครึ่ง stop เจ้าตัวตัววงแหวนปรับรูรับแสงนี้สามารถหมุนได้ลื่นดีครับ แต่ไม่ลื่นหรือว่าฝืดจนเกินไปเวลาหมุนปรับจะมีเสียงเมื่อถึง step ของมัน การมีเสียงนี้ก็ช่วยให้ปรับรูรับแสงได้โดยไม่ต้องละสายตาจาก viewfinder ได้ด้วยครับ สำหรับหน้าเลนส์นั้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางที่ 60mm ครับและมี thread ที่เป็นเกลียวสำหรับใส่ filter ที่หน้าเลนส์ filter ที่ผมใส่เอาไว้ตลอดเวลาก็คือ UV/Haze protecting filter ครับเพื่อปกป้องหน้าเลนส์ที่แสนแพงเอาไว้และก็พก ND filter แบบ 3 stop และ 6 stop เอาไว้ด้วยเผื่อถ่ายที่ f/0.95 กลางแจ้งครับ
หลังจากได้แตะๆเรื่องของขนาด, น้ำหนักและ ergonomic ไปบ้างแล้วก็เห็นจะต้องมาพูดเรื่องที่สำคัญที่สุดว่าทำไมผมถึงชอบเลนส์ตัวนี้มาก (และมันถึงแพงมาก) มันมีดีอย่างไร และมันดีกว่าเลนส์ตัวอื่นๆหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน เรามาเริ่มที่เรื่องแรกก่อนครับ
1. มันไม่เหมือนใครด้วยรูรับแสงที่กว้างสุดๆที่ f/0.95
ตอนที่มันเปิดตัวในช่วงปี 2008 เนี่ยมันเป็นเลนส์ 50mm ตัวแรกของโลกที่มีรูรับแสงกว้างถึง f/0.95 และใช้ Asperical surface (ต่อไปนี้ขอย่อว่า ASPH นะครับ)ในตอนนั้นไม่มีค่ายไหนเลยที่กล้าทำเลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างขนาดนี้ (ความเห็นส่วนตัวของผมเองเลยนะครับเรื่องขนาดรูรับแสงกว้างๆเนี่ย ค่ายไหนก็ทำได้แต่จะทำออกมาแล้วให้ "ภาพ" ที่ออกมาจากการถ่ายด้วยรูรับแสงที่กว้างขนาดนั้นมีคุณภาพที่รับได้และมีราคาที่สามารถขายให้กับคนส่วนใหญ่ได้นั้นเป็นเรื่องยาก แต่ Leica ทำได้และกล้าทำ (เพราะยังไงก็ขายแพงอยู่แล้ว) ก่อนหน้านั้น Canon เองก็เคยทำเลนส์ rangefinder ที่มีขนาดรูรับแสงกว้างถึง f/0.95 (discontinued) หรือแม้กระทั่ง 50mm f/1.0 ของ EF mount (discontinued) มาแล้ว แต่คุณภาพทางเทคนิคยังไม่ดีเท่ากับ Leica อันนี้ยังไม่พูดถึง Noctilux ตัวก่อนๆของค่าย Leica เองนะครับ เอาเป็นว่าในช่วงปี 2008 เนี่ยเลนส์ของค่ายต่างๆที่อยู่ในไลน์การผลิตปัจจุบัน ไม่มีใครมีรูรับแสงกว้างขนาดนี้แล้ว สำหรับท่านที่ชอบ DOF บางๆให้โบเก้นุ่มๆละลายหลังกันชิลล์ๆไป เลนส์ตัวนี้ก็เหมือนพระเจ้าส่งมาเลยครับ สำหรับท่านที่ถ่ายแนว street ก็เช่นกันสามารถที่จะถ่ายในที่แสงน้อยๆได้สบายมาก ยุคนั้นนี่เป็นเลนส์จากพระเจ้าจริงๆครับ เพราะ ISO performance ของเจ้ากล้อง M8/M9 ถือว่ากระจอกมาก ใช่แล้วครับ กระจอกง่อกง่อยมาก สำหรับมาตรฐานเทคโนโลยีปัจจุบัน เจ้า M8/M9 นี่ดัน ISO ไปไม่ได้เยอะครับ noise เต็มจนภาพใช้ไม่ได้ ดังนั้นรูรับแสงกว้างๆของเจ้า Noctilux ตัวนี้นี่มาช่วยชีวิตเลยครับ
2. Image Quality
เรื่องที่สำคัญที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นเรื่องของ "คุณภาพ" ของไฟล์ภาพที่ได้ ด้วยสนนราคาค่าตัวขนาดนี้ ด้วยขนาดรูรับแสงกว้างขนาดนี้ ถ้าภาพที่ได้ออกมาไม่ดีก็คงจะไม่มีประโยชน์หรือความน่าใช้อะไรใช่มั้ยครับ เอาละทีนี้ลองมาดูกันว่าในแง่ของ image quality แล้วมันมีดีอย่างไร
ความคม (sharpness) ความคมของเจ้า Noctilux ตัวนี้ ที่ f/0.95 นั้นถือว่าคมมากทีเดียว (ถ้าโฟกัสได้ถูกต้องถูกจุดนะครับ) โดยเฉพาะตรงกลางภาพ คมกว่าเลนส์ 50mm อื่นๆที่ผมเคยใช้มาเสียอีก ด้วยขนาดของรูรับแสงที่กว้างขนาดนี้ การจะทำให้ภาพคมได้ขนาดนี้ ถือว่าต้องมีการออกแบบเลนส์มาให้แก้ข้อบกพร่องได้อย่างดีมากๆ
สำหรับผม ความคมของเลนส์ค่าย leica นี้จะทำให้ภาพที่ได้มีความชัดเจน เส้นเป็นเส้น แยกรายละเอียดออกมาได้ชัดดีครับ ยิ่งเวลาซุมเข้าไปดูแบบ 100% เนี่ยเห็นความแตกต่างชัดเจนมากเลยครับ
Leica Noctilux-M 50mm f/0.95 ASPH ที่ f/0.95 โฟกัสที่ดวงตาของแบบ
Canon EF 50mm f/1.2L ภาพที่ได้ก็สวยนุ่มนวล และมีเสน่ห์ไปอีกแบบ แต่คเรียบเทียบในแง่ความคมแล้วยังแพ้เจ้า Noctilux ครับ ภาพนี้ถ่าย f/1.2
แน่นอนครับ เหตุผลที่เราจะซื้อเลนส์ที่มีรูรับแสงเวอร์วังขนาดนี้มาใช้ ก็เพื่อสิ่งนี้ครับ "Depth of Field (DOF)" ที่บางมากๆและผลลัพธ์คือฉากหลังที่ละลายหายไปอย่างนุ่มนวล สามารถแยกเอาส่วนที่อยู่ในโฟกัสออกมาจากส่วนอื่นได้อย่างชัดเจนและดูมีมิติ ในสมัยก่อนตอนที่เทคโนโลยีของ ISO ยังไม่ก้าวหน้านัก การมีเลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างๆจะช่วยให้สามารถถ่ายภาพในที่ๆแสงน้อยๆได้ดีเพราะสามารถรับแสงเข้ามายัง ฟิล์มหรือเซนเซอร์ได้มากกว่า เมื่อเทคโนโลยีของ ISO ก้าวหน้าขึ้นเราสามารถใช้ค่า ISO สูงๆได้โดยไม่เสียคุณภาพของไฟล์มากนัก หลายๆท่านก็อาจจะคิดว่า รูรับแสงแคบกว่าหน่อย (เช่น f/2.8) ก็ไม่เห็นเป็นไร ดัน ISO เอาก็ได้จะเสียเงินซื้อเลนส์แพงๆไปทำไม ครับถ้ามองในแง่ของการถ่ายรูปในที่แสงน้อยละก็เจ้า ISO นี่มันก็ช่วยได้เป็นอย่างดีเลยครับ เลนส์ที่ f/2.8 หรือมากกว่าก็ไม่มีปัญหาอะไร เรียกว่าเอามาแก้ไขทดแทนกันไปได้ แต่สิ่งที่ทดแทนกันไม่ได้คือ DOF ไงล่ะครับ เจ้า โบเก้ (bokeh) หรือส่วนของภาพที่เบลอ ไม่ได้อยู่ในโฟกัส (โบเก้ เป็นภาษาญี่ปุ่น แปลว่าเบลอ) นั้น ถ้าเอาไปทำใน photoshop เนี่ยก็ไม่เนียนด้วยครับ ความสวยมันต่างกันมาก ดังนั้นหากท่านอยากได้ภาพที่มี DOF บางๆเพื่อแยกส่วนที่ท่านอยากให้ผู้ชมดูออกจากส่วนอื่นๆของภาพ และมีโบเก้นุ่มๆแบบที่ฝรั่งเค้าชอบอธิบายว่า creamy bokeh เจ้ารูรับแสงแบบกว้างๆนี่เป็นคำตอบเดียวเลยครับ
ในแง่ของ การเก็บรายละเอียด (resolution)และ contrast นั้นที่ก็ถือว่าเป็นเลนส์ที่ยอดเยี่ยมมากทีเดียวโดยเฉพาะเมื่อ stop down ลงมาที่รูรับแสงแคบๆ ถือว่าไม่แพ้ summicron หรือ summilux เลยทีเดียวครับโดยเฉพาะช่วง f/5.6 ถึง f/8 ที่เป็นช่วง sweet spot ของเลนส์ไลกาหลายๆตัว ดีเทลต่างๆนั้นถูกบันทึกเอาไว้ได้ดี แม้จะซูมที่ 100% ก็ยังสามารถเห็นรายละเอียดของภาพได้สบาย ส่วนที่ f/0.95 นั้น resolution นั้นไม่ดีโดยเฉพาะขอบภาพซึ่ง MTF ของเลนส์ก็บอกอยู่แล้ว แต่มันมีความหมายอะไรหรือเปล่า? สำหรับผมไม่เลยครับเพราะเมื่อถ่ายที่ f/0.95 แล้วเนี่ยส่วนอื่นๆนอกจากตรงที่จุดโฟกัสก้จะเบลอออกไปหมดอยู่ดี จากภาพต่างๆที่ได้ลงในบทความนี้แสดงให้เห็นถึง contrast ที่ดีของเจ้าเลนส์ตัวนี้ภาพดูคมชัด แยกรายละเอียดออกจากกันชัดเจน และดู "ใส (clarity)" มาก ผมว่านี่เป็นจุดเด่นของค่ายไลกาเลยที่ภาพจะคมมี contrast และ clarity สูงทำให้ภาพใสและเป็นเอกลักษณ์ และเจ้าเลนส์ตัวนี้ก็ทำได้ดี
สีสันที่เลนส์ตัวนี้วาดออกมาก็ถือว่าให้สีที่อิ่มและเป็นกลางดีครับ ในบางครั้งผมสังเกตูเห็นสีแดงที่อิ่มจนเกินไป (oversaturated) จนถูกคลิปออกไปจาก histogram เลยก็มี แต่คิดว่าเป็นปัญหาจากเซ็นเซอร์ของเจ้า M240 และ M9 มากกว่าครับจำไม่ได้เลยว่าเคยมีปัญหานี้กับ A7II ซักครั้ง
TO BE CONTINUED....