ไปกอดเขา แม้เขาจะกอดเรากลับไม่ได้แต่ก็อุ่นใจอย่างประหลาด
ภูทับเบิกขอฉันกอดเธอหน่อยนะ ช่วยสงสารฉันหน่อย
เริ่มต้นที่ท่าอากาศยานนานาชาติหมอชิต เราเลือกจองรถทัวร์เวลาดึกสุดเท่าที่มีคือ 22.00 น.ลงที่หล่มเก่า กับบ.เพชรประเสริฐทัวร์ ราคา 295 บาทเป็นป.1 แต่หลายคนที่มาทับเบิกนี่ส่วนใหญ่เลือกลงที่หล่มสักกัน ทั้งหล่มเก่าและหล่มสักมีข้อดีข้อเสียต่างกันดังนี้ครับ
หล่มเก่า หากเลือกลงที่นี่จะไกล้สามแยกขึ้นภูทับเบิกมากกว่า แต่ว่าจะไม่ค่อยมีรถมาหล่มเก่ามากนักมีแค่ไม่กี่เที่ยวต่อวัน ต้องจองล่วงหน้าถึงจะดี
หล่มสัก ไกลจากภูทับเบิกหน่อย หากมาลงที่นี่ต้องหารถต่อมาหล่มเก่าอีกที มีรถสองแถววิ่งอยู่ครับคนละ 15 บาท แต่หายากอยู่ครับ เพราะส่วนใหญ่อยากให้เหมา หรือจะเหมาให้มาส่งที่สามแยกขึ้นทับเบิกก็ได้ ขอโทษไม่ทราบราคา ข้อดีคือมีรถหลายเที่ยว หลายบริษัทมาหล่มสัก หากไม่มีรถไปหล่มเก่าก็เลือกมาหล่มสักก็ได้ครับ
รถทัวร์มาถึงตัวเมืองหล่มเก่าเวลา 04.30 น. แล้วก็ถีบเราลงหน้าโลตัสเอ๊กเพรส หุหุ จึงเดินๆหาน้ำอุ่นๆดื่มก่อน เดินมาเรื่อยจนเจอตลาดสด สดจริงๆครับ มีแต่ของสดไม่มีของกินได้ ณ บัดนั้นเลย เดินไปเรื่อยๆ เจอข้าวขาหมูพอดีปรากฎร้านยังไม่เปิดแต่แม่ค้าใจดี ทำให้กินได้แม้ยังไม่เปิดร้านก็ตาม
จนเวลาตีห้า เดินกลับไปตลาดอีกทีถามหารถที่จะขึ้นไปทับเบิก วันนั้นโชคไม่ดีครับ ไม่มีชาวม้งเอากระหล่ำมาขายเลย จึงตัดสินใจเหมารถสามล้อให้ไปส่งที่สามแยกแทน ด้วยราคา 150 บาท
จนมาถึงสามแยกมี 7-11 น่าจะเปิดใหม่ด้วยครับ เพราะดูรีวิวของทุกคนไม่เห็นมีใครกล่าวถึง 7-11 เลย ตรงนี้หอบอะไรขึ้นไปได้ก็รีบตุนเลย
ไฮไล้ของทับเบิกที่สำคัญเลยนี่ผมว่าคือการโบกครับ ว่าแล้วก็ปฎิบัติการโบกรถทันที ยืนรอให้ผู้โชคร้ายผ่านมา เอ้ยไม่ช่ายยย..ผู้ใจดีผ่านมาเราก็ขอติดรถไปด้วย คันแรกมาแล้วเย้ๆ แต่เขาบอกว่าไปถึงแค่หมู่บ้านน้ำเพียงดินนะ ซึ่งถึงแค่ครึ่งทางครับ จึงขอโบกคันต่อไป ซึ่งคันต่อไปก็จอดต่อท้ายคันแรกเลย เหมือนเข้าคิวให้เราโบกยังไงยังงั้น ฮ้าๆๆ ทั้งๆที่จะวิ่งออกขวาแล้วก็แซงไปก็ได้ แต่กลับไม่ทำ มีน้ำใจมากครับ เรายังไม่ได้เจรจาเลย เขาก็ถามว่าจะไปหอดูดาวใช่มั้ยขึ้นมาเลย จึงโดดขึ้นกระบะหลังทันที ซึ่งเป็นกระบะเสริมโครงเหล็กเพื่อให้ขนของได้เยอะๆ บนรถจะมีพ่อค้าแม่ค้าอีกหลายคนครับ เห็นว่าจะขึ้นไปชื้อผักกันบนทับเบิก คงนึกภาพนะครับ เสียดายถ่ายรูปมาได้แค่ข้างหลัง
ระหว่างทางขึ้นเขา มันส์มากครับ โค้งแต่ละอันโยกไปโยกมา จนมาถึงหอชมดาวในเวลา 06.20 น. กล่าวขอบคุณแล้วอำลาผู้ใจดีแล้วจึงเดินต่อไปยังหอดูดาวครับ รู้สึกได้เลยว่าอุณภูมิบนทับเบิกกับข้างล่างต่างกันลิบลับ หนาวมากๆ แวะข้างทางถ่ายรูปนั้นนี่ไปเรื่อย อุณภูมิจากหอดูดาววัดมา 20 องศาครับ
ถ่ายรูป ชมวิวที่นี่จนพอใจแล้วจึงเดินหาที่พักถามราคา ต่อรอง ประมาณสามที่ จนสุดท้ายมาได้ ไร่ภูทะเลหมอกทับเบิก คืนละ 800 บาทพร้อมอาหารเช้า เป็นห้องพัดลม มีเครื่องทำน้ำอุ่น และทีวี อย่าถามถึงแอร์ครับ แค่นี้ก็หนาวแทบดิ้น ซึ่งเราว่าคุ้มสุดละ และได้วิวแบบสุดๆอีก ฮ่าๆๆ ตัดหน้าหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งมาซ้ากว่าเราไปเพียง 3 นาทีเท่านั้น บ่นใหญ่เลย ใครๆ ใครกันที่เอาไปก่อน อยากเห็นหน้าจริงๆเลย ฮ่าๆ อยากบอกอยู่นะว่าเราเองแหละ แต่เงียบไว้ดีกว่า อิอิ
ทีแรกตั้งใจว่าจะนอนเต๊น แต่กลัวฝนตกเลยไม่เอาดีกว่า
เช็คอินเข้าที่พักเป็นที่เรียบร้อย นอนพักแปบนึงตั้งนาฬิกาปลุกไว้ สายๆหน่อยจะไปวัดป่าภูทับเบิก
หากคุณรักดอกไม้ คุณต้องรักหนามของมันด้วย ยิ่งสวยมากหนามยิ่งคม ความรักก็เช่นกันยิ่งมีความสุขมากก็ทำให้เจ็บมาก
เมื่อลุกมาได้แล้วภารกิจต่อไปคือโบกอีกแล้ว หารถที่จะไปวัดครับ มาถึงถนนก็เจอคันแรกขอติดรถไปด้วยจะไปวัด พี่เขามาส่งให้ถึงวัดเลย ทั้งๆที่ไม่ได้ตั้งใจจะมาทางนี้ชะหน่อย แต่ก็มาส่งให้ ขอบคุณมากครับ
บรรยากาศภายในวัด มีพ่อขาวแม่ขาวมาปฎิบัติธรรมกันหลายสิบคน
อยู่วัดจนถึงเที่ยง ก็เริ่มหิว หิวมากจนตัวสั่น เคยเป็นกันมั้ยครับ
เดินออกมาหน้าวัดทำภารกิจโบกอีกรอบ คราวนี้เป็นรถกระบะป้ายแดงสี่ประตู ลักษณะเหมือนเอารถมาเจิมครับ วิ่งผ่านมาจึงขอติดรถไปด้วย ทีแรกจะให้นั่งหน้าด้วยกัน แต่ผมอยากดูวิวเลยขอนั่งหลังดีกว่าครับ ไปได้สักพักฝนตกปรอยๆจ้า พี่คนขับใจดีจอดข้างทางแล้วเรียกเราไปนั่งหน้าด้วยกัน ในรถมีกันอยู่สามคนครับ พี่ผู้ชายคนขับ และคุณผู้หญิงเป็นครูสอนที่โรงเรียนทับเบิกนี่เอง และเด็กน้อยอีกหนึ่งคน ทีแรกคิดว่าเป็นสามีภรรยาและลูกสาว ไม่ใช่จ้า เป็นพี่น้องกันและเด็กคือหลาน ฮ้าๆ เดามั่วได้อีก ระหว่างทางก็คุยกันเฮฮา จนมาถึงทางขึ้นที่พัก ขอบคุณและกล่าวลากัน
ของกินเล่นของที่นี่ ขาดไม่ได้เลยนะ เบบี้แครอท ต้องลองซิมนะครับ รสชาติหวาน กรอบ
ทานข้าวเที่ยงเสร็จประมาณบ่ายๆ ออกไปเดินเล่นถ่ายรูป
จนถึงเวลาเย็น 18.20 น.พระอาทิตย์ยังไม่ตกเลยครับ
นี่คือโอ่งในตำนาน ในสมัยก่อนทับเบิกไม่มีรีสอร์ท ไม่มีระบบปะปาเหมือนปัจจุบันนะครับ โอ่งเหล่านี้แหละจะทำหน้าเป็นปะปาจ่ายน้ำให้กับทุกคน และนี้คือโอ่งชุดแรกของทับเบิก จึงได้ชื่อว่าโอ่งในตำนาน
ถ้าจะนอนเต๊นก็ได้นะครับ ทางรีสอร์ทมีเต๊นให้เช่า ราคาก็ 400-800 บาท พร้อมเครื่องนอนครบชุด
ทานอาหารเย็นเสร็จนั่งเล่นสักพัก ตั้งใจว่าจะไปถ่ายดาวประดับดินสักหน่อย รอให้มืดกว่านี้ก่อน
มืดค่ำได้ที่ เอาละไปถ่ายรูปดาวกันดีกว่า
ภาพนี้แอบน่ากลัวแฮะ เหมือนมีตาบางอย่างจ้องมาที่เรา ลองนึกถึงเรื่อง เดอะ ลอต ออฟ เดอะ ริงค์ นะครับ
...เหมือนๆจะไม่คิดถึงแล้ว แต่ก็แค่เหมือน...
สี่ทุ่มกว่าแล้ว วันนี้พอแค่นี้ละเนอะ กลับที่พักอาบน้ำนอนกันดีกว่า ขอบอกเลยว่าน้ำเย็นสุดๆ หากไม่มีหม้อต้มน้ำอุ่นละก็ ขอเน่าละกัน ฮ้าๆๆ โชคดีที่มีเลยอาบได้
ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ 6 นาฬิกาจะไปถ่ายพระอาทิตย์ขึ้น แต่เราตื่น 05.45 น. โอ้แม่เจ้าพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ผิดคาด แต่ไม่เป็นไรตอนนี้ก็สวย สปีดระดับ 10 รีบเด้งตัวขึ้นมาทันที เปิดประตูออกมา ลมหนาวประทะหน้า แทบอยากวิ่งกลับไปมุดใต้ผ่าห่มเลยทีเดียวแต่ก็ฝืนต้านลมหนาวไปถ่ายรูป เพราะเราไม่ได้มาบ่อยๆ นี่นาเราต้องสู้สิ
จนจะเที่ยงแล้ว เตรียมตัวเดินทางต่อดีกว่า เพื่อจะลงไปข้างล่างแล้วชื้อตั๋วกลับกรุงเทพ
แล้วก็โบกอีกเช่นเคยเป็นการโบกครั้งสุดท้ายแล้ว แต่ครั้งนี้นานจริงๆ กว่าจะมีรถมาสักคัน เหมือนๆกับว่าไม่อยากให้เราไปงั้นแหละ ...ในที่สุดก็มาครับ เป็นรถของรีสอร์ทภูภาทับเบิก คนขับเป็นเจ้าของเลย แม้เราจะไม่ได้พักกับเขาแต่ก็ยินดีให้ติดรถไปด้วยครับ
ลงมาถึงพื้นล่างประมาณบ่ายกว่าๆ จึงเหมารถสองแถว ให้ไปส่งหล่มสักครับ เพราะหากเข้าหล่มเก่าคงหารถกลับกรุงเทพยาก ราคาเหมา 200 บาทครับซึ่งถึอว่าไม่แพง
ขนาดมาหล่มสักยังหารถกลับกรุงเทพยากเลย ได้ตั๋วเบาะหลังสุด เอนก็ไม่ได้ เอาน่ายังดีที่มีรถกลับ เวลาออกบ่ายสองตรงครับ
ถึงท่าอากาศยานนานาชาติหมอชิต เวลาประมาณ สี่ทุ่ม นั่งรถเมล์กลับ ต่อด้วยเดินเข้าหอ วันนั้นวินไม่มีชะงั้นเดินเอากะดั้ย เป็นอันจบทริปนี้ครับ
ข้อแนะนำสำหรับผู้อยากไปภูทับเบิก หากไม่คิดมากเรื่องรถมีน้อยละก็เลือกมาลงที่หล่มเก่าจะไกล้กว่าลงหล่มสักนะครับ ช่วยให้ประหยัดตังค์ค่าเหมารถสองแถวมาหล่มเก่าได้ แต่ควรจองล่วงหน้า หรือมาก่อนเวลารถออกเยอะๆหน่อย
การโบกรถนั้นไม่ยาก หากเรากล้าขอ ทุกคันยินดีช่วยครับ ผมโบกมาห้าหรือหกคันนี่ละ ไม่มีเลยสักคันที่จะปฎิเสธ คนทับเบิกนี่ใจดีมากครับยืนยันเลย แม้บางคนจะบอกว่าหากเราหน้าตาไม่ดีจะมีใครช่วยเราแบบนี้มั้ย ผมว่าไม่จริงหรอกครับ คนไทยมีน้ำใจจริงๆ อย่าเอาสังคมเมืองหลวงไปเทียบกับสังคมชนบทนะครับ
สุดท้ายสิ่งที่ควรเตรียมไปสำหรับ 2 วัน 1 คืน ผมว่าควรมี
1.ชุดสำหรับใส่สามวัน ชุดใส่นอน เสื้อกันแดดสำหรับกลางวัน ชุดกันหนาวสำหรับกางคืน
2.รองเท้าควรมีสองคู่ไส่ลุยหนึ่ง และไว้ใส่เวลาพักผ่อนอีกหนึ่งคู่
3.อุปกรณอาบน้ำ แม้ทางรีสอร์ทมีให้แต่เราชอบของเราเองมากกว่า
4.ไฟฉาย
5.ร่มอันเล็กๆ เผื่อฝนตก
6.ขนม เสบียง เพราะข้างบนแพง
7.ยาประจำตัว และยาทากันยุง แมลง ซึ่งไม่มียุงหรอก ฮ้าๆ แต่พกไว้เผื่อมี
สำหรับของกินเล่นต่างๆ ถ้าชื้อจากข้างล่างขึ้นไปได้ก็หอบขึ้นไปนะครับ เพราะบนนั้นทุกอย่างราคาบวกเพิ่มห้าบาทจากราคาปกติ เว้นแต่น้ำเปล่า 10 บาทเท่าเดิม
เบอร์โทรวิสาหะกิจชุมชนภูทับเบิก 056-810-737, 085-733-9737
รีสอร์ทที่เราพักไร่ภูทะเลหมอกทับเบิก 094-787-9594, 091-289-6327
และหากใครอยากเหมารถเที่ยวก็ได้เช่นกันแนะนำลุงคนนี้ครับ ใจดีเป็นกันเอง แกเป็นเจ้าของรีสอร์ทที่ตีนภู ชอุ่มรักรีสอร์ท ข้างหลัง 7-11 แกมาขับรถสองแถวด้วย ผมว่าราคาถูกกว่าเจ้าอื่น บอกแกก็ได้ว่าผมแนะนำมา 082-884-0433, 090-958-7116
ขอบคุณครับที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ ก้มกราบงามๆ
[CR] ภูทับเบิก ฉันขอกอดเธอหน่อย
ไปกอดเขา แม้เขาจะกอดเรากลับไม่ได้แต่ก็อุ่นใจอย่างประหลาด
ภูทับเบิกขอฉันกอดเธอหน่อยนะ ช่วยสงสารฉันหน่อย
เริ่มต้นที่ท่าอากาศยานนานาชาติหมอชิต เราเลือกจองรถทัวร์เวลาดึกสุดเท่าที่มีคือ 22.00 น.ลงที่หล่มเก่า กับบ.เพชรประเสริฐทัวร์ ราคา 295 บาทเป็นป.1 แต่หลายคนที่มาทับเบิกนี่ส่วนใหญ่เลือกลงที่หล่มสักกัน ทั้งหล่มเก่าและหล่มสักมีข้อดีข้อเสียต่างกันดังนี้ครับ
หล่มเก่า หากเลือกลงที่นี่จะไกล้สามแยกขึ้นภูทับเบิกมากกว่า แต่ว่าจะไม่ค่อยมีรถมาหล่มเก่ามากนักมีแค่ไม่กี่เที่ยวต่อวัน ต้องจองล่วงหน้าถึงจะดี
หล่มสัก ไกลจากภูทับเบิกหน่อย หากมาลงที่นี่ต้องหารถต่อมาหล่มเก่าอีกที มีรถสองแถววิ่งอยู่ครับคนละ 15 บาท แต่หายากอยู่ครับ เพราะส่วนใหญ่อยากให้เหมา หรือจะเหมาให้มาส่งที่สามแยกขึ้นทับเบิกก็ได้ ขอโทษไม่ทราบราคา ข้อดีคือมีรถหลายเที่ยว หลายบริษัทมาหล่มสัก หากไม่มีรถไปหล่มเก่าก็เลือกมาหล่มสักก็ได้ครับ
รถทัวร์มาถึงตัวเมืองหล่มเก่าเวลา 04.30 น. แล้วก็ถีบเราลงหน้าโลตัสเอ๊กเพรส หุหุ จึงเดินๆหาน้ำอุ่นๆดื่มก่อน เดินมาเรื่อยจนเจอตลาดสด สดจริงๆครับ มีแต่ของสดไม่มีของกินได้ ณ บัดนั้นเลย เดินไปเรื่อยๆ เจอข้าวขาหมูพอดีปรากฎร้านยังไม่เปิดแต่แม่ค้าใจดี ทำให้กินได้แม้ยังไม่เปิดร้านก็ตาม
จนเวลาตีห้า เดินกลับไปตลาดอีกทีถามหารถที่จะขึ้นไปทับเบิก วันนั้นโชคไม่ดีครับ ไม่มีชาวม้งเอากระหล่ำมาขายเลย จึงตัดสินใจเหมารถสามล้อให้ไปส่งที่สามแยกแทน ด้วยราคา 150 บาท
จนมาถึงสามแยกมี 7-11 น่าจะเปิดใหม่ด้วยครับ เพราะดูรีวิวของทุกคนไม่เห็นมีใครกล่าวถึง 7-11 เลย ตรงนี้หอบอะไรขึ้นไปได้ก็รีบตุนเลย
ไฮไล้ของทับเบิกที่สำคัญเลยนี่ผมว่าคือการโบกครับ ว่าแล้วก็ปฎิบัติการโบกรถทันที ยืนรอให้ผู้โชคร้ายผ่านมา เอ้ยไม่ช่ายยย..ผู้ใจดีผ่านมาเราก็ขอติดรถไปด้วย คันแรกมาแล้วเย้ๆ แต่เขาบอกว่าไปถึงแค่หมู่บ้านน้ำเพียงดินนะ ซึ่งถึงแค่ครึ่งทางครับ จึงขอโบกคันต่อไป ซึ่งคันต่อไปก็จอดต่อท้ายคันแรกเลย เหมือนเข้าคิวให้เราโบกยังไงยังงั้น ฮ้าๆๆ ทั้งๆที่จะวิ่งออกขวาแล้วก็แซงไปก็ได้ แต่กลับไม่ทำ มีน้ำใจมากครับ เรายังไม่ได้เจรจาเลย เขาก็ถามว่าจะไปหอดูดาวใช่มั้ยขึ้นมาเลย จึงโดดขึ้นกระบะหลังทันที ซึ่งเป็นกระบะเสริมโครงเหล็กเพื่อให้ขนของได้เยอะๆ บนรถจะมีพ่อค้าแม่ค้าอีกหลายคนครับ เห็นว่าจะขึ้นไปชื้อผักกันบนทับเบิก คงนึกภาพนะครับ เสียดายถ่ายรูปมาได้แค่ข้างหลัง
ระหว่างทางขึ้นเขา มันส์มากครับ โค้งแต่ละอันโยกไปโยกมา จนมาถึงหอชมดาวในเวลา 06.20 น. กล่าวขอบคุณแล้วอำลาผู้ใจดีแล้วจึงเดินต่อไปยังหอดูดาวครับ รู้สึกได้เลยว่าอุณภูมิบนทับเบิกกับข้างล่างต่างกันลิบลับ หนาวมากๆ แวะข้างทางถ่ายรูปนั้นนี่ไปเรื่อย อุณภูมิจากหอดูดาววัดมา 20 องศาครับ
ถ่ายรูป ชมวิวที่นี่จนพอใจแล้วจึงเดินหาที่พักถามราคา ต่อรอง ประมาณสามที่ จนสุดท้ายมาได้ ไร่ภูทะเลหมอกทับเบิก คืนละ 800 บาทพร้อมอาหารเช้า เป็นห้องพัดลม มีเครื่องทำน้ำอุ่น และทีวี อย่าถามถึงแอร์ครับ แค่นี้ก็หนาวแทบดิ้น ซึ่งเราว่าคุ้มสุดละ และได้วิวแบบสุดๆอีก ฮ่าๆๆ ตัดหน้าหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งมาซ้ากว่าเราไปเพียง 3 นาทีเท่านั้น บ่นใหญ่เลย ใครๆ ใครกันที่เอาไปก่อน อยากเห็นหน้าจริงๆเลย ฮ่าๆ อยากบอกอยู่นะว่าเราเองแหละ แต่เงียบไว้ดีกว่า อิอิ
ทีแรกตั้งใจว่าจะนอนเต๊น แต่กลัวฝนตกเลยไม่เอาดีกว่า
เช็คอินเข้าที่พักเป็นที่เรียบร้อย นอนพักแปบนึงตั้งนาฬิกาปลุกไว้ สายๆหน่อยจะไปวัดป่าภูทับเบิก
หากคุณรักดอกไม้ คุณต้องรักหนามของมันด้วย ยิ่งสวยมากหนามยิ่งคม ความรักก็เช่นกันยิ่งมีความสุขมากก็ทำให้เจ็บมาก
เมื่อลุกมาได้แล้วภารกิจต่อไปคือโบกอีกแล้ว หารถที่จะไปวัดครับ มาถึงถนนก็เจอคันแรกขอติดรถไปด้วยจะไปวัด พี่เขามาส่งให้ถึงวัดเลย ทั้งๆที่ไม่ได้ตั้งใจจะมาทางนี้ชะหน่อย แต่ก็มาส่งให้ ขอบคุณมากครับ
บรรยากาศภายในวัด มีพ่อขาวแม่ขาวมาปฎิบัติธรรมกันหลายสิบคน
อยู่วัดจนถึงเที่ยง ก็เริ่มหิว หิวมากจนตัวสั่น เคยเป็นกันมั้ยครับ
เดินออกมาหน้าวัดทำภารกิจโบกอีกรอบ คราวนี้เป็นรถกระบะป้ายแดงสี่ประตู ลักษณะเหมือนเอารถมาเจิมครับ วิ่งผ่านมาจึงขอติดรถไปด้วย ทีแรกจะให้นั่งหน้าด้วยกัน แต่ผมอยากดูวิวเลยขอนั่งหลังดีกว่าครับ ไปได้สักพักฝนตกปรอยๆจ้า พี่คนขับใจดีจอดข้างทางแล้วเรียกเราไปนั่งหน้าด้วยกัน ในรถมีกันอยู่สามคนครับ พี่ผู้ชายคนขับ และคุณผู้หญิงเป็นครูสอนที่โรงเรียนทับเบิกนี่เอง และเด็กน้อยอีกหนึ่งคน ทีแรกคิดว่าเป็นสามีภรรยาและลูกสาว ไม่ใช่จ้า เป็นพี่น้องกันและเด็กคือหลาน ฮ้าๆ เดามั่วได้อีก ระหว่างทางก็คุยกันเฮฮา จนมาถึงทางขึ้นที่พัก ขอบคุณและกล่าวลากัน
ของกินเล่นของที่นี่ ขาดไม่ได้เลยนะ เบบี้แครอท ต้องลองซิมนะครับ รสชาติหวาน กรอบ
ทานข้าวเที่ยงเสร็จประมาณบ่ายๆ ออกไปเดินเล่นถ่ายรูป
จนถึงเวลาเย็น 18.20 น.พระอาทิตย์ยังไม่ตกเลยครับ
นี่คือโอ่งในตำนาน ในสมัยก่อนทับเบิกไม่มีรีสอร์ท ไม่มีระบบปะปาเหมือนปัจจุบันนะครับ โอ่งเหล่านี้แหละจะทำหน้าเป็นปะปาจ่ายน้ำให้กับทุกคน และนี้คือโอ่งชุดแรกของทับเบิก จึงได้ชื่อว่าโอ่งในตำนาน
ถ้าจะนอนเต๊นก็ได้นะครับ ทางรีสอร์ทมีเต๊นให้เช่า ราคาก็ 400-800 บาท พร้อมเครื่องนอนครบชุด
ทานอาหารเย็นเสร็จนั่งเล่นสักพัก ตั้งใจว่าจะไปถ่ายดาวประดับดินสักหน่อย รอให้มืดกว่านี้ก่อน
มืดค่ำได้ที่ เอาละไปถ่ายรูปดาวกันดีกว่า
ภาพนี้แอบน่ากลัวแฮะ เหมือนมีตาบางอย่างจ้องมาที่เรา ลองนึกถึงเรื่อง เดอะ ลอต ออฟ เดอะ ริงค์ นะครับ
...เหมือนๆจะไม่คิดถึงแล้ว แต่ก็แค่เหมือน...
สี่ทุ่มกว่าแล้ว วันนี้พอแค่นี้ละเนอะ กลับที่พักอาบน้ำนอนกันดีกว่า ขอบอกเลยว่าน้ำเย็นสุดๆ หากไม่มีหม้อต้มน้ำอุ่นละก็ ขอเน่าละกัน ฮ้าๆๆ โชคดีที่มีเลยอาบได้
ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ 6 นาฬิกาจะไปถ่ายพระอาทิตย์ขึ้น แต่เราตื่น 05.45 น. โอ้แม่เจ้าพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ผิดคาด แต่ไม่เป็นไรตอนนี้ก็สวย สปีดระดับ 10 รีบเด้งตัวขึ้นมาทันที เปิดประตูออกมา ลมหนาวประทะหน้า แทบอยากวิ่งกลับไปมุดใต้ผ่าห่มเลยทีเดียวแต่ก็ฝืนต้านลมหนาวไปถ่ายรูป เพราะเราไม่ได้มาบ่อยๆ นี่นาเราต้องสู้สิ
จนจะเที่ยงแล้ว เตรียมตัวเดินทางต่อดีกว่า เพื่อจะลงไปข้างล่างแล้วชื้อตั๋วกลับกรุงเทพ
แล้วก็โบกอีกเช่นเคยเป็นการโบกครั้งสุดท้ายแล้ว แต่ครั้งนี้นานจริงๆ กว่าจะมีรถมาสักคัน เหมือนๆกับว่าไม่อยากให้เราไปงั้นแหละ ...ในที่สุดก็มาครับ เป็นรถของรีสอร์ทภูภาทับเบิก คนขับเป็นเจ้าของเลย แม้เราจะไม่ได้พักกับเขาแต่ก็ยินดีให้ติดรถไปด้วยครับ
ลงมาถึงพื้นล่างประมาณบ่ายกว่าๆ จึงเหมารถสองแถว ให้ไปส่งหล่มสักครับ เพราะหากเข้าหล่มเก่าคงหารถกลับกรุงเทพยาก ราคาเหมา 200 บาทครับซึ่งถึอว่าไม่แพง
ขนาดมาหล่มสักยังหารถกลับกรุงเทพยากเลย ได้ตั๋วเบาะหลังสุด เอนก็ไม่ได้ เอาน่ายังดีที่มีรถกลับ เวลาออกบ่ายสองตรงครับ
ถึงท่าอากาศยานนานาชาติหมอชิต เวลาประมาณ สี่ทุ่ม นั่งรถเมล์กลับ ต่อด้วยเดินเข้าหอ วันนั้นวินไม่มีชะงั้นเดินเอากะดั้ย เป็นอันจบทริปนี้ครับ
ข้อแนะนำสำหรับผู้อยากไปภูทับเบิก หากไม่คิดมากเรื่องรถมีน้อยละก็เลือกมาลงที่หล่มเก่าจะไกล้กว่าลงหล่มสักนะครับ ช่วยให้ประหยัดตังค์ค่าเหมารถสองแถวมาหล่มเก่าได้ แต่ควรจองล่วงหน้า หรือมาก่อนเวลารถออกเยอะๆหน่อย
การโบกรถนั้นไม่ยาก หากเรากล้าขอ ทุกคันยินดีช่วยครับ ผมโบกมาห้าหรือหกคันนี่ละ ไม่มีเลยสักคันที่จะปฎิเสธ คนทับเบิกนี่ใจดีมากครับยืนยันเลย แม้บางคนจะบอกว่าหากเราหน้าตาไม่ดีจะมีใครช่วยเราแบบนี้มั้ย ผมว่าไม่จริงหรอกครับ คนไทยมีน้ำใจจริงๆ อย่าเอาสังคมเมืองหลวงไปเทียบกับสังคมชนบทนะครับ
สุดท้ายสิ่งที่ควรเตรียมไปสำหรับ 2 วัน 1 คืน ผมว่าควรมี
1.ชุดสำหรับใส่สามวัน ชุดใส่นอน เสื้อกันแดดสำหรับกลางวัน ชุดกันหนาวสำหรับกางคืน
2.รองเท้าควรมีสองคู่ไส่ลุยหนึ่ง และไว้ใส่เวลาพักผ่อนอีกหนึ่งคู่
3.อุปกรณอาบน้ำ แม้ทางรีสอร์ทมีให้แต่เราชอบของเราเองมากกว่า
4.ไฟฉาย
5.ร่มอันเล็กๆ เผื่อฝนตก
6.ขนม เสบียง เพราะข้างบนแพง
7.ยาประจำตัว และยาทากันยุง แมลง ซึ่งไม่มียุงหรอก ฮ้าๆ แต่พกไว้เผื่อมี
สำหรับของกินเล่นต่างๆ ถ้าชื้อจากข้างล่างขึ้นไปได้ก็หอบขึ้นไปนะครับ เพราะบนนั้นทุกอย่างราคาบวกเพิ่มห้าบาทจากราคาปกติ เว้นแต่น้ำเปล่า 10 บาทเท่าเดิม
เบอร์โทรวิสาหะกิจชุมชนภูทับเบิก 056-810-737, 085-733-9737
รีสอร์ทที่เราพักไร่ภูทะเลหมอกทับเบิก 094-787-9594, 091-289-6327
และหากใครอยากเหมารถเที่ยวก็ได้เช่นกันแนะนำลุงคนนี้ครับ ใจดีเป็นกันเอง แกเป็นเจ้าของรีสอร์ทที่ตีนภู ชอุ่มรักรีสอร์ท ข้างหลัง 7-11 แกมาขับรถสองแถวด้วย ผมว่าราคาถูกกว่าเจ้าอื่น บอกแกก็ได้ว่าผมแนะนำมา 082-884-0433, 090-958-7116
ขอบคุณครับที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ ก้มกราบงามๆ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น