ปี 54 ฉันตัดสินใจแต่งงานกับพ่อหม้ายเมียทิ้งและเขามีลูกติดเป็นเด็กผู้ชาย ตอนที่แต่งงานกับฉัน ลูกเขาอยู่ ป.2 ฉันยอมรับได้และสัญญากับตัวเองว่าจะเลี้ยงดูเขาให้เหมือนลูกแท้ๆ เพราะเขาเป็นลูกคนแรกของฉัน ชีวิตเขาเหลือแค่พ่อกับฉันเท่านั้น น่าสงสารมาก ฉันเคยปรึกษากับสามีว่าจะรับเป็นบุตรบุญธรรมเพื่อสิทธิหลายๆอย่าง แต่ไม่สามารถทำได้เพราะแม่แท้ๆของเด็กไม่ยอม (แม่เขามาหาปู่ของเด็กและขอมาเยี่ยมลูกนานๆครั้ง)
ช่วงที่เค้ายังอายุน้อยๆ ดิฉันพยายามเป็นแม่ที่ดี เคยบอกให้เขาลองเรียกดิฉันว่าแม่ แต่คำตอบที่ได้คือ "แม่บอกว่าห้ามเรียกเธอว่า แม่ เพราะอีกไม่นานแม่ก็จะกลับมาแล้ว" ฉันได้แต่ทำใจแต่ไม่ได้บอกสามี เพราะสามีเป็นคนโมโหร้ายเรื่องอาจบานปลาย ตอนนั้นคิดอย่างนั้น และบ่อยครั้งที่เด็กชอบพูดว่า ฉันไม่ใช่แม่อย่ามาสั่งสอน ฉันอดทนใจเย็น เพราะเราเป็นผู้ใหญ่กว่าเขา พยายามสอนแต่ไม่เคยได้เข้าถึงจิตใจเด็กคนนี้เลย สิ่งที่ทำได้คือดูแลให้ครอบครัวเรามีทุกสิ่งทุกอย่าง เขาอยากได้อะไรฉันหาให้หมด แพงแค่ไหนฉันก็มีให้ ไม่อยากให้เขาอายเพื่อนและไม่อยากให้ใครมาว่าฉันเป็นแม่เลี้ยงใจร้าย ญาติๆของสามีเคยพูดกับฉันตรงๆด้วยว่า ไม่ต้องมาสั่งสอนหลานของเขาหรอก เด็กไม่ยอมรับฉัน สอนไปมีแต่ทำให้เตลิด ฉันได้แต่เงียบและทำงานหาเงิน (ฉันทำงานเอกชน สามีรับจ้างทั่วไป) ฉันทำงานเก็บเงินซื้อที่ดินแยกออกมาทำบ้านโดยสามีรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้าน ส่วนเงินเดือนของฉันเอามาทำบ้านและผ่อนรถ กลายเป็นว่าลูกเลี้ยงฉันเอาไปพูดกับญาติและคนในหมู่บ้านว่าฉันเอาเปรียบพ่อเขาไม่ช่วยค่าใช้จ่าย อะไรๆก็มีแต่พ่อจ่าย ช่วงหลังสามีพอจะรู้เรื่องบ้าง มีตักเตือนลูกและบอกให้ฉันอดทนเพราะลูกเขาเป็นวัยรุ่น (เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว)
ฉันอดทนมา 5 ปีแล้ว ตลอด 5 ปีฉันต้องเสียเงินจ่ายค่าเสียหายหลายคดี หลายที่ เรียกว่าตามเช็ดสิ่งที่เขาทำ ทั้งขโมยของ สูบกัญชา เข้ากลุ่มกับรุ่นพี่นอก ร.ร. ล่อลวงเพื่อนหญิง ตอนนี้เขาอยู่มัธยม ทั้งติด ร ติด0 ล่าสุดครูโทรมาบอกพ่อเขาว่าจะให้ซ้ำชั้น และบอกว่าพฤติกรรมแย่ๆของเขาอาจมาจากการขาดความอบอุ่น และเกลียดแม่เลี้ยง ครูบอกว่าเขาไปเล่าให้เพื่อน + พ่อแม่เพื่อนบางคน +ครู ว่าฉันชอบด่าเขา แกล้งเขา (ขอบอกว่าครูที่ปรึกษาพูดตรงมาก) แถมบางครั้งไล่เขาออกจากบ้านทั้งที่เป็นบ้านแม่ของเขาทำงานยากลำบากร่วมกันกับพ่อเขา และฉันหน้าด้านมาอาศัย
เรื่อง ณ วันนั้นแหละค่ะ ฉันรู้สึกเหนื่อยและอยากพูดสิ่งที่อัดอั้นขอร้องญาติๆเขาให้มารวมตัวกันกินข้าวเย็นที่บ้านฉัน และพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ฉันรู้ว่าทุกคนกินข้าวไม่อร่อย แต่ฉันก็พูดทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นตลอด 5ปี พูดไปร้องไห้ไปใครจะว่าแม่เลี้ยงบีบน้ำตาก็ช่าง แต่เด็กคนนั้นใครเรียกให้มานั่งเพื่อพูดกันให้รู้เรื่องก็ไม่ยอมมา เรียกกันหลายครั้งก็ไม่มา หลังจากวันนั้นญาติสามีคงพอเข้าใจอะไรบ้าง ส่วนฉันก็สบายใจขึ้นมากเพราะได้พูดออกไป ฉันอาจแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เพราะเขาโตแล้ว อนาคตของลูกเลี้ยงฉันให้เขาเลือกเอง ทำเองเขาจะทำตัวแบบเดิมๆฉันคงได้แต่รับรู้ แต่จะไม่รับภาระใดๆอีก ฉันทำดีที่สุดแล้ว
ฉันเป็นแม่เลี้ยงใจร้าย
ช่วงที่เค้ายังอายุน้อยๆ ดิฉันพยายามเป็นแม่ที่ดี เคยบอกให้เขาลองเรียกดิฉันว่าแม่ แต่คำตอบที่ได้คือ "แม่บอกว่าห้ามเรียกเธอว่า แม่ เพราะอีกไม่นานแม่ก็จะกลับมาแล้ว" ฉันได้แต่ทำใจแต่ไม่ได้บอกสามี เพราะสามีเป็นคนโมโหร้ายเรื่องอาจบานปลาย ตอนนั้นคิดอย่างนั้น และบ่อยครั้งที่เด็กชอบพูดว่า ฉันไม่ใช่แม่อย่ามาสั่งสอน ฉันอดทนใจเย็น เพราะเราเป็นผู้ใหญ่กว่าเขา พยายามสอนแต่ไม่เคยได้เข้าถึงจิตใจเด็กคนนี้เลย สิ่งที่ทำได้คือดูแลให้ครอบครัวเรามีทุกสิ่งทุกอย่าง เขาอยากได้อะไรฉันหาให้หมด แพงแค่ไหนฉันก็มีให้ ไม่อยากให้เขาอายเพื่อนและไม่อยากให้ใครมาว่าฉันเป็นแม่เลี้ยงใจร้าย ญาติๆของสามีเคยพูดกับฉันตรงๆด้วยว่า ไม่ต้องมาสั่งสอนหลานของเขาหรอก เด็กไม่ยอมรับฉัน สอนไปมีแต่ทำให้เตลิด ฉันได้แต่เงียบและทำงานหาเงิน (ฉันทำงานเอกชน สามีรับจ้างทั่วไป) ฉันทำงานเก็บเงินซื้อที่ดินแยกออกมาทำบ้านโดยสามีรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้าน ส่วนเงินเดือนของฉันเอามาทำบ้านและผ่อนรถ กลายเป็นว่าลูกเลี้ยงฉันเอาไปพูดกับญาติและคนในหมู่บ้านว่าฉันเอาเปรียบพ่อเขาไม่ช่วยค่าใช้จ่าย อะไรๆก็มีแต่พ่อจ่าย ช่วงหลังสามีพอจะรู้เรื่องบ้าง มีตักเตือนลูกและบอกให้ฉันอดทนเพราะลูกเขาเป็นวัยรุ่น (เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว)
ฉันอดทนมา 5 ปีแล้ว ตลอด 5 ปีฉันต้องเสียเงินจ่ายค่าเสียหายหลายคดี หลายที่ เรียกว่าตามเช็ดสิ่งที่เขาทำ ทั้งขโมยของ สูบกัญชา เข้ากลุ่มกับรุ่นพี่นอก ร.ร. ล่อลวงเพื่อนหญิง ตอนนี้เขาอยู่มัธยม ทั้งติด ร ติด0 ล่าสุดครูโทรมาบอกพ่อเขาว่าจะให้ซ้ำชั้น และบอกว่าพฤติกรรมแย่ๆของเขาอาจมาจากการขาดความอบอุ่น และเกลียดแม่เลี้ยง ครูบอกว่าเขาไปเล่าให้เพื่อน + พ่อแม่เพื่อนบางคน +ครู ว่าฉันชอบด่าเขา แกล้งเขา (ขอบอกว่าครูที่ปรึกษาพูดตรงมาก) แถมบางครั้งไล่เขาออกจากบ้านทั้งที่เป็นบ้านแม่ของเขาทำงานยากลำบากร่วมกันกับพ่อเขา และฉันหน้าด้านมาอาศัย
เรื่อง ณ วันนั้นแหละค่ะ ฉันรู้สึกเหนื่อยและอยากพูดสิ่งที่อัดอั้นขอร้องญาติๆเขาให้มารวมตัวกันกินข้าวเย็นที่บ้านฉัน และพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ฉันรู้ว่าทุกคนกินข้าวไม่อร่อย แต่ฉันก็พูดทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นตลอด 5ปี พูดไปร้องไห้ไปใครจะว่าแม่เลี้ยงบีบน้ำตาก็ช่าง แต่เด็กคนนั้นใครเรียกให้มานั่งเพื่อพูดกันให้รู้เรื่องก็ไม่ยอมมา เรียกกันหลายครั้งก็ไม่มา หลังจากวันนั้นญาติสามีคงพอเข้าใจอะไรบ้าง ส่วนฉันก็สบายใจขึ้นมากเพราะได้พูดออกไป ฉันอาจแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เพราะเขาโตแล้ว อนาคตของลูกเลี้ยงฉันให้เขาเลือกเอง ทำเองเขาจะทำตัวแบบเดิมๆฉันคงได้แต่รับรู้ แต่จะไม่รับภาระใดๆอีก ฉันทำดีที่สุดแล้ว