สวัสดีค่ะ เราอยากมาเล่าประสบการณ์การเรียนภาษาอังกฤษของเรา เพราะเราอยากให้ทุกคนทราบถึงความสำคัญของภาษาอังกฤษ และรีบหันมาศึกษา เพราะว่าภาษาอังกฤษนั้นเป็นใบเบิกทางที่ดีจริงๆค่ะ ( เราอาจจะไม่มีประสบการณ์การสมัครงาน แต่ครูลินดานั้นเป็นผู้สัมภาษณ์มาก่อน และการรับสมัครเข้าทำงานในปัจจุบันนี้ ใช้เกณฑ์ภาษาอังกฤษเป็นคุณสมบัติของผู้สมัครงาน หากว่าเราไม่ได้ภาษา โอกาสของเราน้อยกว่าแน่นอนค่ะ )
เราคือนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังแถวสามย่าน ผู้ซึ่งไม่เคยรู้สึกว่าภาษาอังกฤษนั้นสำคัญกับอนาคตของเราขนาดไหน จนกระทั่งวันหนึ่งที่ตัดสินใจจะไปเรียนต่อต่างประเทศ ถึงคราวที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษมาเป็นส่วนสำคัญในการสมัครและการดำเนินชีวิต ไม่ใช่เเค่ใช้ภาษาอังกฤษเพื่อทำงานส่งอาจารย์ แน่นอนว่าเราก็ต้องพยายามหารีวิวสถาบันสอนภาษาว่าคนอื่นๆเขาว่าที่ไหนดีบ้าง แต่ดีอย่างเดียวไม่พอต้องเหมาะกับนิสัยการเรียนของตัวเราด้วย เมื่อหาข้อมูลจนเป็นที่พึงพอใจ เราก็ตัดสินใจไปที่สถาบันKingzton English(สาขาเสนานิคม1) ซึ่งที่นี่เป็นที่แรกที่เราจะเรียนพิเศษภาษาอังกฤษโดยการเรียนสด ( เพราะชีวิตมัธยมของเราก็เหมือนกับเด็กส่วนใหญ่ที่ไปเรียนกวดวิชาตามสถาบันดังๆเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย และการเรียนแบบนั้นทำให้เราเจอแค่จอทีวีหรือไม่ก็หน้าจอคอมพิวเตอร์ แน่นอนว่าการเรียนแบบนั้นทำให้เราสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังได้ แต่จะมีประโยชน์อะไร หากเรายังคงใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารไม่ได้ ) เมื่อเราติดต่อไปที่ทางสถาบัน เขาได้แนะนำให้เราเข้าไปพบครูลินดาเพื่อสัมภาษณ์และวัดระดับความสามารถทางภาษา ตลอดการสัมภาษณ์นั้นเราเข้าใจที่ครูพูดและถามทั้งหมด แต่เราไม่สามารถให้คำตอบได้อย่างใจคิด ( เหตุการณ์นี้ทำให้เรารู้ว่า การที่เราทำข้อสอบภาษาอังกฤษได้ ไม่ได้แปลว่าเราจะให้ภาษาอังกฤษในการดำเนินชีวิตหรือไปเรียนต่อต่างประเทศได้ ) เราไม่รู้จักสถาบันนี้มาก่อน และไม่รู้จักครูคนนี้มาก่อนเช่นกัน แต่ครูบอกกับเราว่า เขาสามารถสอนให้เราพูดภาษาอังกฤษได้แน่นอน ถึงครูจะเป็นคนไทยแต่ก็ใช้ภาษาอังกฤษมาตลอดชีวิต และยังมีประสบการณ์ในการทำงานบริษัทชื่อดังมาก่อน เราจึงตัดสินใจที่จะเรียนภาษาอังกฤษแบบเรียนเดี่ยวที่สถาบันนี้เพราะเรามองว่า สิ่งที่เราจะได้รับคงไม่ใช่เพียงเเค่ทักษะภาษาแน่นอน ( ตอนนี้เรารู้สึกว่าเราได้เรียนทั้งทักษะภา และการวางตัวที่ดีในอนาคตการทำงาน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการเป็นคนที่มีคุณภาพ ) สิ่งที่แตกต่างจากสถาบันอื่นที่เรียนมาก็คื ที่นี่เป็นที่เเรกที่ถามจุดประสงค์การเรียนภาษาอังกฤษของเรา เพื่อที่จะได้ตอบโจทย์ได้ตรงและประหยัดเวลาที่สุด คอร์สแรกที่เราเรียน ครูให้เราเขียนเยอะมาก
เนื่องจากความรู้ทางด้านหลักภาษาของเราไม่ค่อยดีนัก การเขียนในครั้งแรกๆจึงเป็นเพียงประโยคง่ายๆ และค่อยๆยากขึ้นตามลำดับเวลาของการฝึกฝน ( ในตอนนั้น เราสงสัยมาก ว่าคนไม่เก่งหลักภาษาจะเขียนบทความภาษาอังกฤษได้อย่างไร แต่ครูก็ยังคงเชื่อว่าตัวเราทำได้ เพียงแค่นั้นก็ทำให้เราเชื่อในตัวเอง และเขียนต่อไปได้จนจบ แต่ก็ยังคงสงสัยอีกอย่าง คือเรามาเรียนพูดแต่ครูกลับให้เราฝึกเขียนเยอะมาก มากกว่าที่เคยเขียนมาตลอดการเรียนประถมและมัธยม แล้วมันจะมีประโยชน์ต่อการพูดอย่างไร ) การที่เราเขียนประโยคได้ยากขึ้น และการที่ใช้ภาษาได้ดีขึ้นนั้น เกิดจากครูแนะนำให้เราอ่านหนังสือนิทานสำหรับเด็ก เพราะว่าหนังสือพวกนี้จะใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและทำให้เราเรียนรู้หลักภาษาได้อย่างแนบเนียนจนไม่รู้สึกว่ามันเป็นการศึกษาหลักภาษาที่น่าเบื่อเหมือนเคย รวมทั้งการดูการ์ตูนภาษาอังกฤษเพื่อฝึกการฟัง เมื่อเราเรียนมาได้ระยะหนึ่ง เราตัดสินใจแชทกับเพื่อนทุกคนเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อเป็นการฝึกอีกทางหนึ่งที่ทั้งสนุกและมีประโยชน์ แน่นอนว่าทักษะภาษาที่เราเรียนมาตลอดชีวิตเพิ่งได้นำมาใช้อย่างจริงจังตอนนี้ เพื่อนที่ทำคะแนนภาษาอังกฤษได้ดีกว่าเราเสมอมา กลับใช้ภาษาสื่อสารได้ไม่ดีเท่าเรา (เป็นอีกเหตุการณ์ที่ช่วยยืนยันว่า การสอบภาษาอังกฤษได้คะแนนดี ไม่ได้แปลว่าจะใช้ภาษาได้ดี) เมื่อเพื่อนสนิทหลายคนเริ่มถามว่าเรียนภาษาที่ไหน ทำไมถึงใช้ภาษาสื่อสารได้เข้าใจง่ายและสละสลวย ตอนนั้นทำให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง ว่าจากคนที่ไม่เก่งภาษาก็สามารถใช้ภาษาได้ดีขึ้นจนเป็นที่น่าพอใจ เพียงเพราะวิธีการสอนที่ถูกต้องของครู รวมกับความพยายามของตัวเราเอง เมื่อเราเรียนไปได้สองคอร์ส เราตัดสินใจไปสอบแกทภาษาอังกฤษเพราะอยากจะเห็นผลที่ชัดเจน เเละนั่นก็เป็นครั้งแรกที่เราทำข้อสอบภาษาอังกฤษได้สนุกและมีความสุขที่สุด ซึ่งนั่นก็ทำให้คะแนนเราออกมาดีกว่าที่คาดไว้ มันมากกว่าปีที่เราต้องใช้คะแนนนี้เพื่อยื่นเข้ามหาลัย แน่นอนว่าคะแนนที่เราได้ในปีนี้ มันมากกว่าคะแนนของเพื่อนที่เก่งกว่าเราในปีที่เรากับเพื่อนๆต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย ( ทั้งๆที่ข้อเลือกมันมีมากขึ้น จึงทำให้ได้คะแนนยากกว่าเดิม ) แต่นั่นก็ยังไม่สามารถยืนยันทักษะภาษาที่ดีขึ้นของเราได้ เราจึงยื่นคะแนนเพื่อแอดมิชชันในปีนี้ เพื่อที่จะได้เทียบคะแนนกับคนที่ใช้ข้อสอบฉบับเดียวกัน ผลก็คือเราติดคณะรัฐศาสตร์การปครองระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ซึ่งมีคะแนนสูงเนื่องจากใช้คะแนนทักษะทางภาษาเยอะ นั่นคือสิ่งที่ช่วยยืนยันผลของวิธีการสอนที่ถูกต้องของครู และที่ขาดไม่ได้คือความพยายามของตัวเราเอง จนถึงตอนนี้เราก็ยังคงเรียนภาษาอังกฤษอยู่ แต่ทัศนคติทางภาษาของเราได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากคนที่รู้สึกแย่กับคาบเรียนภาษาอังกฤษ กลับกลายเป็นคนที่รักในการเรียนภาษาอังกฤษ และยังชอบที่จะฝึกฝนโดยการนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะเรายังคงเชื่อมั่นว่าเราสามารถพัฒนาทักษะด้านภาษาของตัวเองให้ดียิ่งกว่านี้ได้ในอนาคต จากการที่เราฝึกฝนมาครึ่งปีทำให้เราได้รู้ว่า หากอยากจะเขียนไห้ได้ดีควรอ่านให้มาก หากอยากจะพูดให้ดีควรฟังให้มาก และแน่นอนว่าทักษะการเขียนที่ดีนำมาซึ่งทักษะการพูดที่ดีด้วย สุดท้ายนี้เราก็อยากจะฝากถึงทุกคนที่ยังไม่ชอบภาษาอังกฤษ และยังไม่ทราบว่ามันมีความสำคัญขนาดไหน ขอให้หันมาเปิดใจให้กว้าง มองให้ไกล แล้วเราจะมีความสุขกับการเรียนภาษาอังกฤษ รวมถึงจะได้รับผลพลอยได้ที่สำคัญๆ ( ได้เป็นผู้ถูกเลือกจากการรับเข้าทำงานทั้งๆที่การแข่งขันสูงมาก, ได้เลื่อนตำแหน่ง หรือว่าได้ทำงานที่ตรงกับความสามารถของเราจริงๆ ) ไม่จำเป็นต้องเรียนที่เดียวกับเรา เรียนที่ไหน กับใครก็ได้ แต่อยากให้กระทู้นี้ ทำให้คนที่อ่านได้ตระหนักถึงความสำคัญของภาษาจริงๆ รบกวนรับความคิดเห็นของเราไปพิจารณาด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
มาเริ่มเรียนภาษาอังกฤษกันเถอะ! เพราะภาษาอังกฤษนั้นสำคัญ อย่ารอจนถึงวันที่สายเกินไป
เราคือนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังแถวสามย่าน ผู้ซึ่งไม่เคยรู้สึกว่าภาษาอังกฤษนั้นสำคัญกับอนาคตของเราขนาดไหน จนกระทั่งวันหนึ่งที่ตัดสินใจจะไปเรียนต่อต่างประเทศ ถึงคราวที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษมาเป็นส่วนสำคัญในการสมัครและการดำเนินชีวิต ไม่ใช่เเค่ใช้ภาษาอังกฤษเพื่อทำงานส่งอาจารย์ แน่นอนว่าเราก็ต้องพยายามหารีวิวสถาบันสอนภาษาว่าคนอื่นๆเขาว่าที่ไหนดีบ้าง แต่ดีอย่างเดียวไม่พอต้องเหมาะกับนิสัยการเรียนของตัวเราด้วย เมื่อหาข้อมูลจนเป็นที่พึงพอใจ เราก็ตัดสินใจไปที่สถาบันKingzton English(สาขาเสนานิคม1) ซึ่งที่นี่เป็นที่แรกที่เราจะเรียนพิเศษภาษาอังกฤษโดยการเรียนสด ( เพราะชีวิตมัธยมของเราก็เหมือนกับเด็กส่วนใหญ่ที่ไปเรียนกวดวิชาตามสถาบันดังๆเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย และการเรียนแบบนั้นทำให้เราเจอแค่จอทีวีหรือไม่ก็หน้าจอคอมพิวเตอร์ แน่นอนว่าการเรียนแบบนั้นทำให้เราสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังได้ แต่จะมีประโยชน์อะไร หากเรายังคงใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารไม่ได้ ) เมื่อเราติดต่อไปที่ทางสถาบัน เขาได้แนะนำให้เราเข้าไปพบครูลินดาเพื่อสัมภาษณ์และวัดระดับความสามารถทางภาษา ตลอดการสัมภาษณ์นั้นเราเข้าใจที่ครูพูดและถามทั้งหมด แต่เราไม่สามารถให้คำตอบได้อย่างใจคิด ( เหตุการณ์นี้ทำให้เรารู้ว่า การที่เราทำข้อสอบภาษาอังกฤษได้ ไม่ได้แปลว่าเราจะให้ภาษาอังกฤษในการดำเนินชีวิตหรือไปเรียนต่อต่างประเทศได้ ) เราไม่รู้จักสถาบันนี้มาก่อน และไม่รู้จักครูคนนี้มาก่อนเช่นกัน แต่ครูบอกกับเราว่า เขาสามารถสอนให้เราพูดภาษาอังกฤษได้แน่นอน ถึงครูจะเป็นคนไทยแต่ก็ใช้ภาษาอังกฤษมาตลอดชีวิต และยังมีประสบการณ์ในการทำงานบริษัทชื่อดังมาก่อน เราจึงตัดสินใจที่จะเรียนภาษาอังกฤษแบบเรียนเดี่ยวที่สถาบันนี้เพราะเรามองว่า สิ่งที่เราจะได้รับคงไม่ใช่เพียงเเค่ทักษะภาษาแน่นอน ( ตอนนี้เรารู้สึกว่าเราได้เรียนทั้งทักษะภา และการวางตัวที่ดีในอนาคตการทำงาน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการเป็นคนที่มีคุณภาพ ) สิ่งที่แตกต่างจากสถาบันอื่นที่เรียนมาก็คื ที่นี่เป็นที่เเรกที่ถามจุดประสงค์การเรียนภาษาอังกฤษของเรา เพื่อที่จะได้ตอบโจทย์ได้ตรงและประหยัดเวลาที่สุด คอร์สแรกที่เราเรียน ครูให้เราเขียนเยอะมาก
เนื่องจากความรู้ทางด้านหลักภาษาของเราไม่ค่อยดีนัก การเขียนในครั้งแรกๆจึงเป็นเพียงประโยคง่ายๆ และค่อยๆยากขึ้นตามลำดับเวลาของการฝึกฝน ( ในตอนนั้น เราสงสัยมาก ว่าคนไม่เก่งหลักภาษาจะเขียนบทความภาษาอังกฤษได้อย่างไร แต่ครูก็ยังคงเชื่อว่าตัวเราทำได้ เพียงแค่นั้นก็ทำให้เราเชื่อในตัวเอง และเขียนต่อไปได้จนจบ แต่ก็ยังคงสงสัยอีกอย่าง คือเรามาเรียนพูดแต่ครูกลับให้เราฝึกเขียนเยอะมาก มากกว่าที่เคยเขียนมาตลอดการเรียนประถมและมัธยม แล้วมันจะมีประโยชน์ต่อการพูดอย่างไร ) การที่เราเขียนประโยคได้ยากขึ้น และการที่ใช้ภาษาได้ดีขึ้นนั้น เกิดจากครูแนะนำให้เราอ่านหนังสือนิทานสำหรับเด็ก เพราะว่าหนังสือพวกนี้จะใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและทำให้เราเรียนรู้หลักภาษาได้อย่างแนบเนียนจนไม่รู้สึกว่ามันเป็นการศึกษาหลักภาษาที่น่าเบื่อเหมือนเคย รวมทั้งการดูการ์ตูนภาษาอังกฤษเพื่อฝึกการฟัง เมื่อเราเรียนมาได้ระยะหนึ่ง เราตัดสินใจแชทกับเพื่อนทุกคนเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อเป็นการฝึกอีกทางหนึ่งที่ทั้งสนุกและมีประโยชน์ แน่นอนว่าทักษะภาษาที่เราเรียนมาตลอดชีวิตเพิ่งได้นำมาใช้อย่างจริงจังตอนนี้ เพื่อนที่ทำคะแนนภาษาอังกฤษได้ดีกว่าเราเสมอมา กลับใช้ภาษาสื่อสารได้ไม่ดีเท่าเรา (เป็นอีกเหตุการณ์ที่ช่วยยืนยันว่า การสอบภาษาอังกฤษได้คะแนนดี ไม่ได้แปลว่าจะใช้ภาษาได้ดี) เมื่อเพื่อนสนิทหลายคนเริ่มถามว่าเรียนภาษาที่ไหน ทำไมถึงใช้ภาษาสื่อสารได้เข้าใจง่ายและสละสลวย ตอนนั้นทำให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง ว่าจากคนที่ไม่เก่งภาษาก็สามารถใช้ภาษาได้ดีขึ้นจนเป็นที่น่าพอใจ เพียงเพราะวิธีการสอนที่ถูกต้องของครู รวมกับความพยายามของตัวเราเอง เมื่อเราเรียนไปได้สองคอร์ส เราตัดสินใจไปสอบแกทภาษาอังกฤษเพราะอยากจะเห็นผลที่ชัดเจน เเละนั่นก็เป็นครั้งแรกที่เราทำข้อสอบภาษาอังกฤษได้สนุกและมีความสุขที่สุด ซึ่งนั่นก็ทำให้คะแนนเราออกมาดีกว่าที่คาดไว้ มันมากกว่าปีที่เราต้องใช้คะแนนนี้เพื่อยื่นเข้ามหาลัย แน่นอนว่าคะแนนที่เราได้ในปีนี้ มันมากกว่าคะแนนของเพื่อนที่เก่งกว่าเราในปีที่เรากับเพื่อนๆต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย ( ทั้งๆที่ข้อเลือกมันมีมากขึ้น จึงทำให้ได้คะแนนยากกว่าเดิม ) แต่นั่นก็ยังไม่สามารถยืนยันทักษะภาษาที่ดีขึ้นของเราได้ เราจึงยื่นคะแนนเพื่อแอดมิชชันในปีนี้ เพื่อที่จะได้เทียบคะแนนกับคนที่ใช้ข้อสอบฉบับเดียวกัน ผลก็คือเราติดคณะรัฐศาสตร์การปครองระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ซึ่งมีคะแนนสูงเนื่องจากใช้คะแนนทักษะทางภาษาเยอะ นั่นคือสิ่งที่ช่วยยืนยันผลของวิธีการสอนที่ถูกต้องของครู และที่ขาดไม่ได้คือความพยายามของตัวเราเอง จนถึงตอนนี้เราก็ยังคงเรียนภาษาอังกฤษอยู่ แต่ทัศนคติทางภาษาของเราได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากคนที่รู้สึกแย่กับคาบเรียนภาษาอังกฤษ กลับกลายเป็นคนที่รักในการเรียนภาษาอังกฤษ และยังชอบที่จะฝึกฝนโดยการนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะเรายังคงเชื่อมั่นว่าเราสามารถพัฒนาทักษะด้านภาษาของตัวเองให้ดียิ่งกว่านี้ได้ในอนาคต จากการที่เราฝึกฝนมาครึ่งปีทำให้เราได้รู้ว่า หากอยากจะเขียนไห้ได้ดีควรอ่านให้มาก หากอยากจะพูดให้ดีควรฟังให้มาก และแน่นอนว่าทักษะการเขียนที่ดีนำมาซึ่งทักษะการพูดที่ดีด้วย สุดท้ายนี้เราก็อยากจะฝากถึงทุกคนที่ยังไม่ชอบภาษาอังกฤษ และยังไม่ทราบว่ามันมีความสำคัญขนาดไหน ขอให้หันมาเปิดใจให้กว้าง มองให้ไกล แล้วเราจะมีความสุขกับการเรียนภาษาอังกฤษ รวมถึงจะได้รับผลพลอยได้ที่สำคัญๆ ( ได้เป็นผู้ถูกเลือกจากการรับเข้าทำงานทั้งๆที่การแข่งขันสูงมาก, ได้เลื่อนตำแหน่ง หรือว่าได้ทำงานที่ตรงกับความสามารถของเราจริงๆ ) ไม่จำเป็นต้องเรียนที่เดียวกับเรา เรียนที่ไหน กับใครก็ได้ แต่อยากให้กระทู้นี้ ทำให้คนที่อ่านได้ตระหนักถึงความสำคัญของภาษาจริงๆ รบกวนรับความคิดเห็นของเราไปพิจารณาด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ