เรื่องมีอยู่ว่า
สมัยที่ ผู้เล่า อยู่กับ ท่านพระอาจารย์ ที่บ้านหนองผือ
มีชาวกรุงเทพมหานคร ไปกราบนมัสการ ถวายทาน ฟังเทศน์
และได้นำกระดาษห่อธูป มีเครื่องหมายการค้า รูปตราพระพุทธเจ้า
( บัดนี้ รูปตรานั้น ไม่ปรากฏ )
ตกหล่นที่บันไดกุฏิท่าน
พอได้เวลา ผู้เล่า ขึ้นไปทำข้อวัตรปฏิบัติท่านตามปกติ
พบเข้า เลยเก็บขึ้นไป
พอท่านฯ เหลือบมาเห็น ถามว่า “ นั่นอะไร ”
“ รูปพระพุทธเจ้า ขอรับกระผม ”
ท่านกล่าว “ ดูสิ คนเรา นับถือ พระพุทธเจ้า
แต่เอา พระพุทธเจ้า ไปขายกิน ไม่กลัวนรกนะ ”
แล้วท่าน ก็ยื่นให้ผู้เล่า บอกว่า “ ให้บรรจุเสีย ”
ผู้เล่า เอามาพิจารณาอยู่ เพราะ ไม่เข้าใจคำว่า บรรจุ
จับพิจารณาดู พระพักตร์ เหมือนแขกอินเดีย
ผู้เล่า อยู่กับท่านองค์เดียว ท่านวัน ยังไม่ขึ้นมา
ท่านพูดซ้ำอีกว่า “ บรรจุเสีย ”
“ ทำอย่างไร ขอรับกระผม ”
“ ไหนเอามาซิ ”
ยื่นถวายท่าน
ท่านจับไม้ขีดไฟมา ทำการเผาเสีย และพูดต่อว่า
“ หนังสือธรรมะสวดมนต์ ที่ตกหล่นขาดวิ่น ใช้ไม่ได้แล้ว
ก็ให้รีบบรรจุเสีย กลัวคนไปเหยียบย่ำ จะเป็นบาป ”
ผู้เล่า เลยพูดไปว่า
“ พระพุทธเจ้า เป็น แขกอินเดีย นะกระผม ”
ท่านฯ ตอบ
“ หือ คนไม่มีตา เขียน , เอา พระพุทธเจ้า ไปเป็นแขกหัวโตได้ ”
ท่านฯ กล่าวต่อไปว่า
“ อันนี้ได้พิจารณาแล้วว่า พระพุทธเจ้า เป็นคนไทย
พระอนุพุทธสาวก ในยุคพุทธกาล ตลอดจนถึงยุคปัจจุบัน ล้วนแต่ไทยทั้งนั้น
ชนชาติอื่น แม้แต่ สรณคมน์ และ ศีล ๕ เขาก็ไม่รู้
จะเป็น พระพุทธเจ้า ได้อย่างไร ดูไกลความจริงเอามาก ๆ
เราได้เล่าให้เธอฟังแล้วว่า
ชนชาติไทย คือ ชาวมคธ รวมรัฐต่าง ๆ มี รัฐสักกะ เป็นต้น
หนีการล้างเผ่าพันธุ์ มาในยุคนั้น
และ ชาวพม่า คือ รัฐโกศล เป็นรัฐใหญ่
รวมทั้ง รัฐเล็ก ๆ จะเป็นวัชชี มัลละ เจติ เป็นต้น
ก็ทะลักหนีตาย จากผู้ยิ่งใหญ่ ด้วยโมหะ อวิชชา มาผสมผสานเป็น มอญ (มัลละ)
เป็นชนชาติต่าง ๆ ในพม่า ในปัจจุบัน ”
“ ส่วน รัฐสักกะ นั้นใกล้กับ รัฐมคธ ก็รวมกันอพยพมา สุวรรณภูมิ
ตามสายญาติ ที่เดินทางมาแสวงโชค ล่วงหน้าก่อนแล้ว ”
ผู้เล่า เลยพูดขึ้นว่า
“ ปัจจุบันพอจะแยก ชนชาติในไทย ได้ไหมขอรับกระผม ”
“ ไม่รู้สิ อาจเป็น ชาวเชียงใหม่ ชาวเชียงตุง ในพม่า ก็ได้ ”
ขณะนั้น ท่านวัน ขึ้นไปพอดี ตอนท้ายก่อนจบ ท่านเลยสรุปว่า
“ อันนี้ (หมายถึงตัวท่าน) ได้พิจารณาแล้ว
ทั้งรู้ ทั้งเห็น โดยไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น ”
ผู้เล่า พูดอีกว่า
“ แขกอินเดีย ทุกวันนี้ คือพวกไหน ขอรับกระผม ”
ท่านบอก
“ พวกอิสลาม ที่มาไล่ฆ่าเรา นะซิ ”
“ ถ้าเช่นนั้น ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู เจ้าแม่กาลี การลอยบาปแม่น้ำคงคา
ทำไมจึงยังมีอยู่ รวมทั้ง ภาษาสันสกฤตด้วย ”
“ อันนั้นเป็นของเก่า เขาเห็นว่าดี
บางพวกก็ยอมรับ เอาไปสืบต่อ ๆ กันมาจนถึงปัจจุบัน
ส่วนพวกเรา พระพุทธเจ้า สอนให้ละทิ้งหมดแล้ว
เราหนีมาอยู่ทางนี้ พระพุทธเจ้า สอนอย่างไรก็ทำตาม ”
ท่านยังพูด คำแรง ๆ ว่า
“ คุณ ตาบอด ตาจาว หรือ
เมืองเรา วัดวา ศาสนา พระสงฆ์ สามเณร เต็มบ้านเต็มเมือง ไม่เห็นหรือ ”
( ตาบอด ตาจาว เป็นคำที่ท่านจะกล่าวเฉพาะ กับผู้เล่า )
“ แขกอินเดีย เขามีเหมือน เมืองไทยไหม
ไม่มี มีแต่จะทำลาย
โชคดีที่อังกฤษ มาปกครอง เขาออกกฏหมาย ห้ามทำลาย โบราณวัตถุ โบราณสถาน
แต่ก็เหลือน้อยเต็มที ไม่มีร่องรอยให้เราเห็น
อย่าว่าแต่ พระพุทธเจ้าเลย ตัวเธอเองนั้นแหละ
ถ้าได้ไปเห็นสภาพ ความเป็นอยู่ของชาวอินเดีย จ้างเธอก็ไม่ไปเกิด ”
“ ของเหล่านี้นั้น ต้องไป ตามวาส ตามวงศ์ตระกูล
อย่างเช่น
วงศ์พระพุทธศาสนา ของเรานั้นเป็น อริยวาส อริยวงศ์ อริยตระกูล
เป็นวงศ์ที่ พระพุทธเจ้า จะมาอุบัติ
คุณ แปลธรรมบท มาแล้ว
คำว่า ปุคฺคลฺโล ปุริสาธญฺโญ ลองแปลดูซิว่า
พระพุทธเจ้า จะเกิดในมัชฌิมประเทศ หรือ อะไรที่ไหนก็แล้วแต่
จะเป็นที่อินเดีย หรือ ที่ไหนก็ตาม
ทุกแห่งตกอยู่ ในห้วงแห่งสังสารวัฏฏ์
ถึงวันนั้น พวกเราอาจจะไปอยู่อินเดีย ก็ได้ ”
“ พระพุทธเจ้า ทรงวาง พระพุทธศาสนาไว้
จะเป็นระหว่าง พุทธันดรก็ดี สุญญกัปป์ก็ดี ที่ไม่มี พระพุทธศาสนา
แต่ชนชาติที่ได้เป็น อริยวาส อริยวงศ์ อริยประเพณี อริยนิสัย ก็ยังสืบต่อไปอยู่
ถึงจะขาด ก็คงขาดแต่ ผู้สำเร็จมรรคผล เท่านั้น
เพราะว่างจาก บรมครู ต้องรอ บรมครู มาตรัสรู้ จึงว่ากันใหม่ ”
ผู้เล่า ได้ฟังมาด้วยประการละฉะนี้แล ฯ
คัดลอกจาก หนังสือ " รำลึกวันวาน "
โดย กองทุนแสงตะวัน วัดปทุมวนาราม
หมวด รำลึกพระธรรมเทศนา หน้าที่ ๒๒๗
( เป็นหนังสือรวบรวมเกร็ดประวัติ ปกิณกธรรม และ พระธรรมเทศนา แห่งองค์หลวงปู่มั่น
จาก บันทึกความทรงจำ ของ หลวงตาทองคำ จารุวณโณ
ในสมัยที่ได้อยู่อุปัฏฐาก หลวงปู่มั่น เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๗-๒๔๙๒ )
พระพุทธเจ้า เป็นคนไทย?
เรื่องมีอยู่ว่า
สมัยที่ ผู้เล่า อยู่กับ ท่านพระอาจารย์ ที่บ้านหนองผือ
มีชาวกรุงเทพมหานคร ไปกราบนมัสการ ถวายทาน ฟังเทศน์
และได้นำกระดาษห่อธูป มีเครื่องหมายการค้า รูปตราพระพุทธเจ้า
( บัดนี้ รูปตรานั้น ไม่ปรากฏ )
ตกหล่นที่บันไดกุฏิท่าน
พอได้เวลา ผู้เล่า ขึ้นไปทำข้อวัตรปฏิบัติท่านตามปกติ
พบเข้า เลยเก็บขึ้นไป
พอท่านฯ เหลือบมาเห็น ถามว่า “ นั่นอะไร ”
“ รูปพระพุทธเจ้า ขอรับกระผม ”
ท่านกล่าว “ ดูสิ คนเรา นับถือ พระพุทธเจ้า
แต่เอา พระพุทธเจ้า ไปขายกิน ไม่กลัวนรกนะ ”
แล้วท่าน ก็ยื่นให้ผู้เล่า บอกว่า “ ให้บรรจุเสีย ”
ผู้เล่า เอามาพิจารณาอยู่ เพราะ ไม่เข้าใจคำว่า บรรจุ
จับพิจารณาดู พระพักตร์ เหมือนแขกอินเดีย
ผู้เล่า อยู่กับท่านองค์เดียว ท่านวัน ยังไม่ขึ้นมา
ท่านพูดซ้ำอีกว่า “ บรรจุเสีย ”
“ ทำอย่างไร ขอรับกระผม ”
“ ไหนเอามาซิ ”
ยื่นถวายท่าน
ท่านจับไม้ขีดไฟมา ทำการเผาเสีย และพูดต่อว่า
“ หนังสือธรรมะสวดมนต์ ที่ตกหล่นขาดวิ่น ใช้ไม่ได้แล้ว
ก็ให้รีบบรรจุเสีย กลัวคนไปเหยียบย่ำ จะเป็นบาป ”
ผู้เล่า เลยพูดไปว่า
“ พระพุทธเจ้า เป็น แขกอินเดีย นะกระผม ”
ท่านฯ ตอบ
“ หือ คนไม่มีตา เขียน , เอา พระพุทธเจ้า ไปเป็นแขกหัวโตได้ ”
ท่านฯ กล่าวต่อไปว่า
“ อันนี้ได้พิจารณาแล้วว่า พระพุทธเจ้า เป็นคนไทย
พระอนุพุทธสาวก ในยุคพุทธกาล ตลอดจนถึงยุคปัจจุบัน ล้วนแต่ไทยทั้งนั้น
ชนชาติอื่น แม้แต่ สรณคมน์ และ ศีล ๕ เขาก็ไม่รู้
จะเป็น พระพุทธเจ้า ได้อย่างไร ดูไกลความจริงเอามาก ๆ
เราได้เล่าให้เธอฟังแล้วว่า
ชนชาติไทย คือ ชาวมคธ รวมรัฐต่าง ๆ มี รัฐสักกะ เป็นต้น
หนีการล้างเผ่าพันธุ์ มาในยุคนั้น
และ ชาวพม่า คือ รัฐโกศล เป็นรัฐใหญ่
รวมทั้ง รัฐเล็ก ๆ จะเป็นวัชชี มัลละ เจติ เป็นต้น
ก็ทะลักหนีตาย จากผู้ยิ่งใหญ่ ด้วยโมหะ อวิชชา มาผสมผสานเป็น มอญ (มัลละ)
เป็นชนชาติต่าง ๆ ในพม่า ในปัจจุบัน ”
“ ส่วน รัฐสักกะ นั้นใกล้กับ รัฐมคธ ก็รวมกันอพยพมา สุวรรณภูมิ
ตามสายญาติ ที่เดินทางมาแสวงโชค ล่วงหน้าก่อนแล้ว ”
ผู้เล่า เลยพูดขึ้นว่า
“ ปัจจุบันพอจะแยก ชนชาติในไทย ได้ไหมขอรับกระผม ”
“ ไม่รู้สิ อาจเป็น ชาวเชียงใหม่ ชาวเชียงตุง ในพม่า ก็ได้ ”
ขณะนั้น ท่านวัน ขึ้นไปพอดี ตอนท้ายก่อนจบ ท่านเลยสรุปว่า
“ อันนี้ (หมายถึงตัวท่าน) ได้พิจารณาแล้ว
ทั้งรู้ ทั้งเห็น โดยไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น ”
ผู้เล่า พูดอีกว่า
“ แขกอินเดีย ทุกวันนี้ คือพวกไหน ขอรับกระผม ”
ท่านบอก
“ พวกอิสลาม ที่มาไล่ฆ่าเรา นะซิ ”
“ ถ้าเช่นนั้น ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู เจ้าแม่กาลี การลอยบาปแม่น้ำคงคา
ทำไมจึงยังมีอยู่ รวมทั้ง ภาษาสันสกฤตด้วย ”
“ อันนั้นเป็นของเก่า เขาเห็นว่าดี
บางพวกก็ยอมรับ เอาไปสืบต่อ ๆ กันมาจนถึงปัจจุบัน
ส่วนพวกเรา พระพุทธเจ้า สอนให้ละทิ้งหมดแล้ว
เราหนีมาอยู่ทางนี้ พระพุทธเจ้า สอนอย่างไรก็ทำตาม ”
ท่านยังพูด คำแรง ๆ ว่า
“ คุณ ตาบอด ตาจาว หรือ
เมืองเรา วัดวา ศาสนา พระสงฆ์ สามเณร เต็มบ้านเต็มเมือง ไม่เห็นหรือ ”
( ตาบอด ตาจาว เป็นคำที่ท่านจะกล่าวเฉพาะ กับผู้เล่า )
“ แขกอินเดีย เขามีเหมือน เมืองไทยไหม
ไม่มี มีแต่จะทำลาย
โชคดีที่อังกฤษ มาปกครอง เขาออกกฏหมาย ห้ามทำลาย โบราณวัตถุ โบราณสถาน
แต่ก็เหลือน้อยเต็มที ไม่มีร่องรอยให้เราเห็น
อย่าว่าแต่ พระพุทธเจ้าเลย ตัวเธอเองนั้นแหละ
ถ้าได้ไปเห็นสภาพ ความเป็นอยู่ของชาวอินเดีย จ้างเธอก็ไม่ไปเกิด ”
“ ของเหล่านี้นั้น ต้องไป ตามวาส ตามวงศ์ตระกูล
อย่างเช่น
วงศ์พระพุทธศาสนา ของเรานั้นเป็น อริยวาส อริยวงศ์ อริยตระกูล
เป็นวงศ์ที่ พระพุทธเจ้า จะมาอุบัติ
คุณ แปลธรรมบท มาแล้ว
คำว่า ปุคฺคลฺโล ปุริสาธญฺโญ ลองแปลดูซิว่า
พระพุทธเจ้า จะเกิดในมัชฌิมประเทศ หรือ อะไรที่ไหนก็แล้วแต่
จะเป็นที่อินเดีย หรือ ที่ไหนก็ตาม
ทุกแห่งตกอยู่ ในห้วงแห่งสังสารวัฏฏ์
ถึงวันนั้น พวกเราอาจจะไปอยู่อินเดีย ก็ได้ ”
“ พระพุทธเจ้า ทรงวาง พระพุทธศาสนาไว้
จะเป็นระหว่าง พุทธันดรก็ดี สุญญกัปป์ก็ดี ที่ไม่มี พระพุทธศาสนา
แต่ชนชาติที่ได้เป็น อริยวาส อริยวงศ์ อริยประเพณี อริยนิสัย ก็ยังสืบต่อไปอยู่
ถึงจะขาด ก็คงขาดแต่ ผู้สำเร็จมรรคผล เท่านั้น
เพราะว่างจาก บรมครู ต้องรอ บรมครู มาตรัสรู้ จึงว่ากันใหม่ ”
ผู้เล่า ได้ฟังมาด้วยประการละฉะนี้แล ฯ
คัดลอกจาก หนังสือ " รำลึกวันวาน "
โดย กองทุนแสงตะวัน วัดปทุมวนาราม
หมวด รำลึกพระธรรมเทศนา หน้าที่ ๒๒๗
( เป็นหนังสือรวบรวมเกร็ดประวัติ ปกิณกธรรม และ พระธรรมเทศนา แห่งองค์หลวงปู่มั่น
จาก บันทึกความทรงจำ ของ หลวงตาทองคำ จารุวณโณ
ในสมัยที่ได้อยู่อุปัฏฐาก หลวงปู่มั่น เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๗-๒๔๙๒ )