ขอต้อนรับสู่บ้านหูเกอ หลังที่ 15 ค่ะ *-*
บทสัมภาษณ์คัดมาส่วนเล็กๆ จาก L'Homme Officiel (พาร์ท 2)
(พาร์ทแรกอยู่บ้านหลังที่ 14)
มือถือของเขาวางคว่ำไว้ที่โต๊ะน้ำชา ต้องเอื้อมไปหน่อยถึงจะหยิบถึง ตลอดทั้งบ่าย แทบไม่เห็นเขาแตะมันเลย
เขาบอกว่าในมือถือตอนนี้น่าจะมีข้อความยังไม่ได้อ่านกว่า 1000 ข้อความ
นี่คือเหตุผลที่หลายคนตามหาเขาไม่เจอ ที่แท้ก็เพราะเบอร์มือถือที่ใช้บ่อยนั่นปิดระบบไปแล้ว
"มีคนมาตามหาผมเยอะมาก ไม่ใช่แค่คุยเรื่องงาน (เอ๊ะ)"
นับตั้งแต่ปีที่แล้ว เขาต้องใช้เวลาจำนวนมากทุกวันในการรับมือและอธิบาย
"เหนื่อยแล้วจริงๆ เพราะงั้นหากคุณช่วยผมพูดอีกเสียงก็ดีเหมือนกัน"
พอเห็นเขาลำบากใจแบบนี้ อดรู้สึกสงสัยไม่ได้
ว่าคุณยังไม่ถึงขั้นที่มีสิทธิจะพูดว่า "ไม่" งั้นหรือ?
"ครับ ตอนนี้ผมก็ทำเรื่องนี้อยู่ แต่มันไม่ได้ง่ายแบบนั้น การเลี้ยวกลับ มันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้เร็วขนาดนั้น จะต้องเจออุปสรรคมากมาย"
ปีที่แล้ว ก่อนที่ -หลางหยาป่าง- และ -Disguiser- จะฉาย
ช่วงเดือนกันยา หูเกอก็เริ่มพูดกับคนภายนอกแล้วว่า ไม่อยากรับละครแล้ว
"ตอนที่ผมพูดคำนี้ออกไป คนอื่นเขาคิดว่า อย่ามาล้อเล่นน่ะ......คือไม่มีใครเข้าใจเท่าไหร่ ยากมากที่จะพบคนที่เข้าใจผมจริงๆสักคน"
รับละครหรือไม่ จะก้าวต่อหรือถอยหลัง
เหตุผลที่ลึกซึ้งของการตัดสินใจนี้ไม่ได้อยู่ที่การไขว่คว้าชื่อเสียงหรือการหลบหนี
แต่มาจากมุมมองของเขาที่มองตัวเอง
"ตอนนี้ผมทำตัวเองให้ดูใหญ่เกินไป ในสถานการณ์แบบนี้ จะมีหลายๆอย่างที่กลายเป็น -ดูแล้วงดงามไปหมด-
ยากที่จะสงบจิตใจลงเพื่อสร้างคาแรกเตอร์ตัวละครได้ นักแสดงหากลอยตัวหรือไม่มีชีวิตเหมือนคนทั่วไป แล้วเขาจะ
รับรู้และสัมผัสความรู้สึกของตัวละครที่ต้องดำเนินชีวิตในละครได้อย่างไร? หากชีวิตปกติของนักแสดงห้อยอยู่เหนือความสมจริงในชีวิต
เช่นนั้น คุณก็ไม่อาจแสดงให้สมจริงได้ในโลกของละคร "
จะเริ่มต้นใหม่หมดเหรอ?
"อื้ม ดูจากความสามารถผมตอนนี้ คิดว่าต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น" แล้วหูเกอก็พูดถึงละครเวที -ฝันที่ดั่งฝัน- ที่ตัวเองแสดง
เขาเล่าถึงนักแสดงในคณะละครเวทีนี้ พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นเพื่อนร่วมอาชีพที่อายุพอพอกับหูเกอ และจบจากโรงเรียนการแสดงโดยเฉพาะมาเหมือนกันทั้งนั้น แต่พวกเขาเลือกที่อยู่ต่อบนเวที ใช้ชีวิตหลากอารมณ์และหลากความต้องการบนเวทีละครต่อไป
ตอนที่หูเกอพูดถึงชื่อของพวกเขาแต่ละคนนั้น
เราเห็นสายตาเขาแว้บหนึ่งเผยออกมา ว่าเขาอิจฉาพวกเขามากเพียงใด
"ไม่ใช่อิจฉา แล้วก็ไม่ใช่นับถือชื่นชม เป็นการเคารพนับถือ ต้องเพิ่ม-เคารพ-เข้าไป"
เขาพูดเสียงสูงว่า "พวกเขาอาจจะสวมเสื้อเรียบๆ แต่ยามที่เดินมาอยู่ตรงหน้า เขาพวก-เอาอยู่-มากๆ
ผมเห็นผู้คนที่ถูกเรียกว่า -ดารา/ซุปตาร์- มากมาย แต่นี่ไม่เหมือนกัน หลายคนแสร้งว่าตัวเองเอาอยู่ แต่พวกเขาคือตัวจริง"
ทำไมถึงเคารพนับถือ?
"ตอนที่ผมเพิ่งเข้าคณะละคร ผมพบว่าคนกลุ่มนี้ไม่เหมือนนักแสดงที่ผมเคยเจอ คุณจะพบว่าในคำพูดและท่วงท่าของพวกเขานั้น
แฝงไว้ด้วยอารมณ์ความสุข พวกเขาอาจจะชีวิตเรียบง่ายไม่ร่ำรวย เพราะก็ไม่ได้เงินมากมายเท่าไหร่
แต่โลกจิตวิญญาณทางศิลปะของทุกคนนั้น เฟื่องฟูอุดมอย่างมาก"
"ชีวิตของถูหนานวนรอบความสนใจของตนเอง ตอนผมรู้จักเขาแรกๆ เขาเรียกวาดภาพด้วยตัวเอง
ตอนนี้เขาเริ่มเรียนดนตรีด้วยตัวเอง หัดเป่าฮาโมนิก้า มีช่วงหนึ่งที่เขาศึกษาปรัชญา แถมยังเล่นกระดานโต้คลื่น เสก็ตบอร์ด"
"เหยียนหนานวาดรูปเป็น อ่านหนังสือจำนวนมหาศาล เขาพูดถึงหนังสือมากมายที่ผมยังไม่เคยอ่าน ผมอยากคุยกับเขา
แต่ก็คุยอะไรไม่ได้ มีปีนึงที่ผมบอกเขาว่า คุณช่วยทำรายการหนังสือมาให้ผมหน่อย"
ปรากฏว่าพอปีใหม่ หลี่จงเหลยให้หนังสือเขาเล่มนึง -อัจฉริยะอยู่ซ้าย คนบ้าอยู่ขวา-(หนังสือบันทึกของคนบ้า)
"หนังสือเล่มนั้นเปิดโลกของผมไปเลย ผมชอบมาก ข้างในมีเหตุการณ์ต่างๆที่ผมอ่านจนหยุดไม่อยู่
ในนั้นมีหลายความเห็นที่ผมเห็นด้วย หนังสือว่ากำแพงของร.พ.บ้าตัดขาดโลกใบนี้กับโลกคนปกติออกจากกัน
แต่โลกไหนกันแน่ล่ะที่เรียกว่าปกติ? คำพูดนี้มีอิทธิพลต่อความคิดของผมมาก"
หูเกอเคยสารภาพให้พวกเขาฟังหลายครั้ง
"ผมบอกว่าผมอิจฉาพวกคุณมากๆ พวกเขากลับบอกว่าอิจฉาผม
ผมถามว่าพวกคุณอิจฉาผมตรงไหน? พวกเขาบอกว่าคุณหาเงินได้ตั้งเยอะ พวกเราไม่มีเงิน
ผมบอกว่า พวกคุณได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขกว่าผมทุกๆวัน"
คนที่รับบทเป็น "เหยียนหนาน" ที่วาดรูปเก่งในละครเวที "ฝันที่ดั่งฝัน"
เคยวาดภาพขาวดำชื่อภาพ -ผู้ป่วยหมายเลข 5 กลางสายลม- มอบให้หูเกอ
ในภาพเขาสองคนเล่นบทเดียวกัน
คนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย อีกคนก็ขัดขืนลุกขึ้นมาได้ เพื่อเดินบนเส้นทางที่แสนยาวไกลเพื่อค้นหาคำตอบและตัวตนที่แท้จริง
หูเกอเป็นคนที่สอง ผู้ป่วยหมายเลข 5 ในภาพวาด สวมชุดผู้ป่วย สองเท้าเป็นอุ้งเท้าสัตว์เกาะแน่นอยู่บนเสา
"ลมแรงมาก แต่ทิศที่เส้นผมพัดไปนั้น เป็นคนละทิศกับเส้นทางลม ที่ข้อเท้ามีลูกโป่งสีดำลูกหนึ่งผูกอยู่ เหมือนเป็นลูกระเบิด"
สิบปีก่อน ตอนที่หูเกอยังเรียนม.ปลายอย฿ู่นั้น ก็รู้สึกว่าตัวเอง "ไม่สนเงินทอง"
"หลายคนบอกว่าผมควรจะไปเป็นนักแสดง ผมไม่แคร์จะเป็นนักแสดงหรอก ทำไมจะต้องไปเป็นนักแสดงด้วย?
ผมหาเลี้ยงตัวเองโดยไม่ต้องอาศัยหน้าตาก็ได้ แต่ท้ายที่สุดผมก็เลือกเป็นนักแสดง เพราะว่าผมอยากหาเงินได้เยอะๆ
ฐานะครอบครัวไม่ดี แม่ก็ป่วยต้องลาออกมาอยู่บ้าน ตอนนั้นจำเป็นต้องใช้เงินมากๆ
ผมก็เลยยอมก้มหัวให้กับความจริง(แทนที่จะทำตามความฝัน)"
ตอนนี้....เงินก็มีแล้ว ความรู้สึกวางใจในชีวิตก็ได้รับแล้ว
"แต่มีแค่ความรู้สึกวางใจ ไม่มีความสุขใจ ไม่มีความร่าเริง"
**************************************************************
ตามอ่านบ้านหูเกอหลังเก่า และกระทู้เกี่ยวกับหูเกอได้ที่ :
http://ppantip.com/tag/Hu_Ge_(%E0%B8%AB%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%AD)
*-*บ้านหูเกอ หลังที่ 15 : รอยยิ้มไม่ปรุงแต่ง ชีวิตไม่จอมปลอม อย่าเป็นตัวเองในแบบที่คนอื่นมอง
ขอต้อนรับสู่บ้านหูเกอ หลังที่ 15 ค่ะ *-*
บทสัมภาษณ์คัดมาส่วนเล็กๆ จาก L'Homme Officiel (พาร์ท 2)
(พาร์ทแรกอยู่บ้านหลังที่ 14)
มือถือของเขาวางคว่ำไว้ที่โต๊ะน้ำชา ต้องเอื้อมไปหน่อยถึงจะหยิบถึง ตลอดทั้งบ่าย แทบไม่เห็นเขาแตะมันเลย
เขาบอกว่าในมือถือตอนนี้น่าจะมีข้อความยังไม่ได้อ่านกว่า 1000 ข้อความ
นี่คือเหตุผลที่หลายคนตามหาเขาไม่เจอ ที่แท้ก็เพราะเบอร์มือถือที่ใช้บ่อยนั่นปิดระบบไปแล้ว
"มีคนมาตามหาผมเยอะมาก ไม่ใช่แค่คุยเรื่องงาน (เอ๊ะ)"
นับตั้งแต่ปีที่แล้ว เขาต้องใช้เวลาจำนวนมากทุกวันในการรับมือและอธิบาย
"เหนื่อยแล้วจริงๆ เพราะงั้นหากคุณช่วยผมพูดอีกเสียงก็ดีเหมือนกัน"
พอเห็นเขาลำบากใจแบบนี้ อดรู้สึกสงสัยไม่ได้
ว่าคุณยังไม่ถึงขั้นที่มีสิทธิจะพูดว่า "ไม่" งั้นหรือ?
"ครับ ตอนนี้ผมก็ทำเรื่องนี้อยู่ แต่มันไม่ได้ง่ายแบบนั้น การเลี้ยวกลับ มันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้เร็วขนาดนั้น จะต้องเจออุปสรรคมากมาย"
ปีที่แล้ว ก่อนที่ -หลางหยาป่าง- และ -Disguiser- จะฉาย
ช่วงเดือนกันยา หูเกอก็เริ่มพูดกับคนภายนอกแล้วว่า ไม่อยากรับละครแล้ว
"ตอนที่ผมพูดคำนี้ออกไป คนอื่นเขาคิดว่า อย่ามาล้อเล่นน่ะ......คือไม่มีใครเข้าใจเท่าไหร่ ยากมากที่จะพบคนที่เข้าใจผมจริงๆสักคน"
รับละครหรือไม่ จะก้าวต่อหรือถอยหลัง
เหตุผลที่ลึกซึ้งของการตัดสินใจนี้ไม่ได้อยู่ที่การไขว่คว้าชื่อเสียงหรือการหลบหนี
แต่มาจากมุมมองของเขาที่มองตัวเอง
"ตอนนี้ผมทำตัวเองให้ดูใหญ่เกินไป ในสถานการณ์แบบนี้ จะมีหลายๆอย่างที่กลายเป็น -ดูแล้วงดงามไปหมด-
ยากที่จะสงบจิตใจลงเพื่อสร้างคาแรกเตอร์ตัวละครได้ นักแสดงหากลอยตัวหรือไม่มีชีวิตเหมือนคนทั่วไป แล้วเขาจะ
รับรู้และสัมผัสความรู้สึกของตัวละครที่ต้องดำเนินชีวิตในละครได้อย่างไร? หากชีวิตปกติของนักแสดงห้อยอยู่เหนือความสมจริงในชีวิต
เช่นนั้น คุณก็ไม่อาจแสดงให้สมจริงได้ในโลกของละคร "
จะเริ่มต้นใหม่หมดเหรอ?
"อื้ม ดูจากความสามารถผมตอนนี้ คิดว่าต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น" แล้วหูเกอก็พูดถึงละครเวที -ฝันที่ดั่งฝัน- ที่ตัวเองแสดง
เขาเล่าถึงนักแสดงในคณะละครเวทีนี้ พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นเพื่อนร่วมอาชีพที่อายุพอพอกับหูเกอ และจบจากโรงเรียนการแสดงโดยเฉพาะมาเหมือนกันทั้งนั้น แต่พวกเขาเลือกที่อยู่ต่อบนเวที ใช้ชีวิตหลากอารมณ์และหลากความต้องการบนเวทีละครต่อไป
ตอนที่หูเกอพูดถึงชื่อของพวกเขาแต่ละคนนั้น
เราเห็นสายตาเขาแว้บหนึ่งเผยออกมา ว่าเขาอิจฉาพวกเขามากเพียงใด
"ไม่ใช่อิจฉา แล้วก็ไม่ใช่นับถือชื่นชม เป็นการเคารพนับถือ ต้องเพิ่ม-เคารพ-เข้าไป"
เขาพูดเสียงสูงว่า "พวกเขาอาจจะสวมเสื้อเรียบๆ แต่ยามที่เดินมาอยู่ตรงหน้า เขาพวก-เอาอยู่-มากๆ
ผมเห็นผู้คนที่ถูกเรียกว่า -ดารา/ซุปตาร์- มากมาย แต่นี่ไม่เหมือนกัน หลายคนแสร้งว่าตัวเองเอาอยู่ แต่พวกเขาคือตัวจริง"
ทำไมถึงเคารพนับถือ?
"ตอนที่ผมเพิ่งเข้าคณะละคร ผมพบว่าคนกลุ่มนี้ไม่เหมือนนักแสดงที่ผมเคยเจอ คุณจะพบว่าในคำพูดและท่วงท่าของพวกเขานั้น
แฝงไว้ด้วยอารมณ์ความสุข พวกเขาอาจจะชีวิตเรียบง่ายไม่ร่ำรวย เพราะก็ไม่ได้เงินมากมายเท่าไหร่
แต่โลกจิตวิญญาณทางศิลปะของทุกคนนั้น เฟื่องฟูอุดมอย่างมาก"
"ชีวิตของถูหนานวนรอบความสนใจของตนเอง ตอนผมรู้จักเขาแรกๆ เขาเรียกวาดภาพด้วยตัวเอง
ตอนนี้เขาเริ่มเรียนดนตรีด้วยตัวเอง หัดเป่าฮาโมนิก้า มีช่วงหนึ่งที่เขาศึกษาปรัชญา แถมยังเล่นกระดานโต้คลื่น เสก็ตบอร์ด"
"เหยียนหนานวาดรูปเป็น อ่านหนังสือจำนวนมหาศาล เขาพูดถึงหนังสือมากมายที่ผมยังไม่เคยอ่าน ผมอยากคุยกับเขา
แต่ก็คุยอะไรไม่ได้ มีปีนึงที่ผมบอกเขาว่า คุณช่วยทำรายการหนังสือมาให้ผมหน่อย"
ปรากฏว่าพอปีใหม่ หลี่จงเหลยให้หนังสือเขาเล่มนึง -อัจฉริยะอยู่ซ้าย คนบ้าอยู่ขวา-(หนังสือบันทึกของคนบ้า)
"หนังสือเล่มนั้นเปิดโลกของผมไปเลย ผมชอบมาก ข้างในมีเหตุการณ์ต่างๆที่ผมอ่านจนหยุดไม่อยู่
ในนั้นมีหลายความเห็นที่ผมเห็นด้วย หนังสือว่ากำแพงของร.พ.บ้าตัดขาดโลกใบนี้กับโลกคนปกติออกจากกัน
แต่โลกไหนกันแน่ล่ะที่เรียกว่าปกติ? คำพูดนี้มีอิทธิพลต่อความคิดของผมมาก"
หูเกอเคยสารภาพให้พวกเขาฟังหลายครั้ง
"ผมบอกว่าผมอิจฉาพวกคุณมากๆ พวกเขากลับบอกว่าอิจฉาผม
ผมถามว่าพวกคุณอิจฉาผมตรงไหน? พวกเขาบอกว่าคุณหาเงินได้ตั้งเยอะ พวกเราไม่มีเงิน
ผมบอกว่า พวกคุณได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขกว่าผมทุกๆวัน"
คนที่รับบทเป็น "เหยียนหนาน" ที่วาดรูปเก่งในละครเวที "ฝันที่ดั่งฝัน"
เคยวาดภาพขาวดำชื่อภาพ -ผู้ป่วยหมายเลข 5 กลางสายลม- มอบให้หูเกอ
ในภาพเขาสองคนเล่นบทเดียวกัน
คนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย อีกคนก็ขัดขืนลุกขึ้นมาได้ เพื่อเดินบนเส้นทางที่แสนยาวไกลเพื่อค้นหาคำตอบและตัวตนที่แท้จริง
หูเกอเป็นคนที่สอง ผู้ป่วยหมายเลข 5 ในภาพวาด สวมชุดผู้ป่วย สองเท้าเป็นอุ้งเท้าสัตว์เกาะแน่นอยู่บนเสา
"ลมแรงมาก แต่ทิศที่เส้นผมพัดไปนั้น เป็นคนละทิศกับเส้นทางลม ที่ข้อเท้ามีลูกโป่งสีดำลูกหนึ่งผูกอยู่ เหมือนเป็นลูกระเบิด"
สิบปีก่อน ตอนที่หูเกอยังเรียนม.ปลายอย฿ู่นั้น ก็รู้สึกว่าตัวเอง "ไม่สนเงินทอง"
"หลายคนบอกว่าผมควรจะไปเป็นนักแสดง ผมไม่แคร์จะเป็นนักแสดงหรอก ทำไมจะต้องไปเป็นนักแสดงด้วย?
ผมหาเลี้ยงตัวเองโดยไม่ต้องอาศัยหน้าตาก็ได้ แต่ท้ายที่สุดผมก็เลือกเป็นนักแสดง เพราะว่าผมอยากหาเงินได้เยอะๆ
ฐานะครอบครัวไม่ดี แม่ก็ป่วยต้องลาออกมาอยู่บ้าน ตอนนั้นจำเป็นต้องใช้เงินมากๆ
ผมก็เลยยอมก้มหัวให้กับความจริง(แทนที่จะทำตามความฝัน)"
ตอนนี้....เงินก็มีแล้ว ความรู้สึกวางใจในชีวิตก็ได้รับแล้ว
"แต่มีแค่ความรู้สึกวางใจ ไม่มีความสุขใจ ไม่มีความร่าเริง"
**************************************************************
ตามอ่านบ้านหูเกอหลังเก่า และกระทู้เกี่ยวกับหูเกอได้ที่ :
http://ppantip.com/tag/Hu_Ge_(%E0%B8%AB%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%AD)