จากกระทู้ก่อน มีเพื่อนๆ หลายคน ถามมาหลังไมค์ เรื่องของการเลือกใช้งาน Office 365 ทั้งเวอร์ชั่น Home และ Personal ว่าควรจะเลือกเวอร์ชั่นไหนดี ในการใช้งาน และก็มีบางท่านถามเรื่องของ Office for Business ด้วยครับ จขกท ก็ได้ไปทำการบ้านหาข้อมูล มาให้ เพื่อตอบข้อสงสัยของแต่ละท่านในกระทู้นี้กันนะครับ ขาดตกบกพร่องข้อมูล ตรงไหนก็มาช่วยกันเสริมๆ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องคราฟฟ
มาเริ่มกันเลยดีกว่า ก่อนอื่น จขกท ขอเอา Office 365 Home กับ Office 365 Personal มาเปรียบเทียบกันให้เห็นภาพ ว่าทั้งสองเวอร์ชั่นแตกต่างกันอย่างไร?
จากคำถามที่ถามว่า จะเลือก Office 365 เวอร์ชั่น ไหนดี จากประสบการณ์ จขกท เองแนะนำให้พิจารณา จากปัจจัย 3 ข้อนี้ ครับ
1. จำนวนคนใช้งาน หากเพื่อนๆ มีคนในครอบครัว หรือเพื่อน ที่สามารถหารค่าเช่าใช้งานกันได้ ก็แนะนำเป็น Office 365 Home ครับ เพราะเมื่อเราเอาราคาต่อวัน (9.66 บาท) หาร จำนวนของผู้ใช้สูงสุด คือ 5 คน ก็จะตกวันละ 2 บาท เอง ซึ่งจะราคาเบากว่าแบบ Personal ซึ่งตกวันละ 7 บาท … เวลาหารกันก็ไปคุยกันเองนะครับ ระบบการจ่ายเงินไม่สามารถมาเฉลี่ยหารให้ได้
2. มีข้อมูลที่ต้องทำการเก็บบนคลาวด์ (OneDrive) เยอะไหม? สมมติเพื่อนๆ ต้องการเก็บเอกสารหรือข้อมูลต่างๆ เยอะมาก (ตอนนี้ จขกท โยนไฟล์ทุกอย่างลง OneDrive ไปแล้วครับ ช่วยประหยัดพื้นที่ HDD บน laptop ได้เยอะ ไม่ต้องมานั่งทำ Data backup ด้วย แต่ตอนอัพโหลดลง OneDrive อาจจะช้าอยู่บ้าง) ถ้าซื้อแบบ Office 365 Home เพื่อนๆ จะสามารถแบ่งได้ 5 users คนละ 1TB โดยแต่ละ User จะนับจาก Email ที่ใช้ Login ระบบ เช่น จขกท สร้างอีเมลล์ xxx1@outlook.com เพื่อใช้งานก็จะได้ ฟรี 1TB ในขณะเดียวกัน จขกท ก็ไปสร้างอีเมลล์อีกอันชื่อ xxx2@outlook.com ก็จะได้พื้นที่ฟรีอีก 1TB ในกรณี ที่ จขกท ไม่ได้หารกับใคร สรุปคือ ได้ทั้งหมด 5TB โดยปริยาย แต่ก็ต้องมาสลับอีเมลล์เวลาใช้งาน กับการใช้ Skype Call ก็เหมือนกันครับ
3. จำนวน smartphone, tablet และ PC หรือ Mac ที่มีของเพื่อนๆ โดย จากกระทู้ก่อน ๆจขกท ได้รีวิว การใช้งาน Office 365 ผ่านหลายๆ ดีไวซ์ พร้อมกัน (
http://ppantip.com/topic/35163711) ซึ่งก็มีข้อดี ที่ จขกท ชอบ คือ ความสามารถแก้ไขเอกสาร และพรีเซนต์งาน ได้บน smartphone หรือ tablet ได้เลย ไม่จำเป็นต้องแบก laptop ให้หนัก โดยการฝากไฟล์ไว้บน OneDrive และใช้ smartphone หรือ tablet ที่มี application ของ Office 365 เพื่อไปดึงไฟล์ลงมาเข้าเครื่อง และทำการแก้ไขได้ตลอดเวลา สำหรับเพื่อนๆ ที่มีดีไวซ์หลากหลายตัว จขกท ก็แนะนำเป็น Office 365 Home ครับ เพราะสามารถลงได้ถึง 3 ดีไวซ์ ต่อ 1 user (PC/Laptop or Mac, smartphone, tablet)
อีกคำถามนึง ที่มีคนถามมา ก็คือ Office 365 Business ต่างจาก Office 365 Home and Personal อย่างไร ก่อนอื่น จขกท ขอสรุปมาเป็นตารางสำหรับ Office 365 for business นะครับ ซึ่งจริงๆ แล้ว Office 365 for business จะมีทั้งหมด 7 แพ็คเกจ ด้วยกัน ตั้งแต่ระดับ SME เล็กๆ ไปจนถึง บริษัทขนาดใหญ่มาก โดย จขกท จะเปรียบเทียบเฉพาะกับแพ็คเกจ SME ครับ ประกอบด้วย Office 365 Business Essentials, Office 365 Business และ Office 365 Business Premium ตามสรุป ตารางด้านล่าง
ถึงตรงนี้เพื่อนๆ สามารถดาวน์โหลด demo ของ Office 365 for business มาลองเล่นได้นะครับ ที่นี้เลย
http://bit.ly/1tiTpDq
หลังจากลองขอเดโดมมาเล่นแล้ว จุดที่ Office 365 for business แตกต่างกันกับ Office 365 Home และ Office 365 Personal มีอะไรบ้างที่เด่นๆ?
จากที่ จขกท ลองเล่นนะครับ ขอสรุปตามนี้ นะครับ
1. ความสามารถในการใช่ Microsoft Office Online เพื่อแก้ไขเอกสารผ่าน Browser โดยต้องเข้าผ่าน www.office.com ก็จะเข้าสู่หน้าการ login
เมื่อเข้ามาแล้ว ก็ login ด้วย Email ที่เราลงทะเบียนไว้
เจอหน้า Dashboard คลิกที่ซอฟท์แวร์ที่เราต้องการเปิด จขกท ทดลองใช้ Word
หน้าตาเหมือนกับการใช้งาน Office 365 ปกติ แต่เปิดผ่าน Browser ได้เลย
สำหรับการใช้งานบน Office Online ฟีเจอร์เด่นคือการแก้ไขเอกสารแบบ Real-time โดยการแชร์เอกสารที่เราทำงานอยู่ไปให้กับ คนที่จะแชร์ เป็นการทำงานแบบ Co-Authoring
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ฟีเจอร์ Co-authoring ได้ที่
https://www.youtube.com/watch?v=XWBjypjyOGs
2. มีซอฟท์แวร์ในการจัดการรับส่งอีเมลล์ (Outlook) พร้อม พื้นที่ในการจัดเก็บอีเมลล์ขนาด 50GB ต่อผู้ใช้งานมาให้
จากรูป จะเห็นฟีเจอร์ Group ซึ่งเมื่อเราคลิกเข้าไป ก็จะเข้าไปเจอข้อมูลการสนทนา และอีเมลล์ทั้งหมด ที่เกี่ยวกับเราและ group นั้นๆ ทำให้การทำงาน ง่ายขึ้นมาก
การนัดมีทติง เช็คเวลาว่างของทีมงาน ก็ทำได้ง่ายๆ โดยการเข้าไป ที่ฟีเจอร์คาแลนดาร์
สร้างนัดมีทติง ระหว่างบุคคล หรือทีมงานได้
และสามารถเช็คช่วงเวลาที่สะดวกของแต่ละคนได้แบบ Real-time
3. ฟีเจอร์ของ Skype for business หลายคนคงเคยเล่น Skype กันมาแล้ว แต่มาถึงตรงนี้อาจจะมีถามว่า แล้วไอ้เจ้า Skype for business กับ Skype ปกติ ที่มีอยู่ในเครื่องนั้น แตกต่างกันอย่างไร จขกท เปรียบเทียบมาให้ดูครับ
สำหรับฟีเจอร์ของ Skype for business ว้าว ที่สุด คือฟีเจอร์ ที่สามารถเข้าไป ควบคุมหน้าจอและการพรีเซนต์งานได้แบบ Real-time ผ่านบน Skype for business ได้เลย ชมกันได้
https://www.youtube.com/watch?v=i9ubU-ndMZE
4. ระบบเครือข่ายสังคมในองค์กร ที่เรียกว่า Yammer เพื่อน จขกท ที่ทำงานอยู่บริษัท ที่ชอบใช้ Facebook Group ตั้งกลุ่มขึ้นมา เพื่อคุยกันในเรื่องจิปาถะ ตั้งแต่เรื่องงาน ไปยันจนเรื่องเมาท์มอย สำหรับ Office 365 for business ก็มีเหมือนกัน แต่ปลอดภัยกว่า เรียกว่า Yammer ดูคอนเซปท์ของ Yammer ที่นี้เลย
https://www.youtube.com/watch?v=QgUyTiXpHcw
โดยสรุปจากข้อมูลข้างต้น เพื่อตอบคำถามที่ ว่าจะเลือกใช้ Office 365 ยังไงให้โดน จขกท ให้แนวคิดในการพิจารณาดังนี้ครับ ลองไล่ตาม flow ได้เลยครับ
จขกท แนะนำว่า การเลือกใช้ Office ไม่ว่าจะเวอร์ชั่นไหน ก็ขึ้นอยู่กับ ความถนัดและพฤติกรรมของตัวผู้ใช้เองด้วยนะครับ ข้อดีของ Office 365 ที่สำคัญ คือ การสนับสนุนทำงานได้ร่วมกัน บนทุกๆ แพลทฟอร์ม แต่ถ้าบุคลากรในองค์กร หรือ ส่วนตัวเอง ไม่ได้เป็นคนที่ใช้ชีวิตแบบติดกับงาน ตลอดเกือบจะ 24 ชม. คือ ทำงานแบบ 8 โมงเช้า เลิกงานห้าโมงเย็น ไม่จำเป็นต้องออกเดินทาง มาทำงานข้างนอก ก็แนะนำเป็น Microsoft Office 2016 ดีกว่าครับ ซื้อขาดไปเลย น่าจะตอบโจทย์กว่า สุดท้ายนี้ จขกท หวังว่าข้อมูลที่สรุป น่าจะพอเป็นประโยชน์ให้กับผู้ที่กำลัง เลือกใช้งาน Office 365 กันทุกคนนะครับ อยากรู้อะไร เพิ่มเติมก็ หลังไมค์กันมาได้ครับ แชร์ความรู้กัน
เลือก Office 365 อย่างไรให้โดน Office for Business Vs. Office 365 Home Vs. Office 365 Personal
มาเริ่มกันเลยดีกว่า ก่อนอื่น จขกท ขอเอา Office 365 Home กับ Office 365 Personal มาเปรียบเทียบกันให้เห็นภาพ ว่าทั้งสองเวอร์ชั่นแตกต่างกันอย่างไร?
จากคำถามที่ถามว่า จะเลือก Office 365 เวอร์ชั่น ไหนดี จากประสบการณ์ จขกท เองแนะนำให้พิจารณา จากปัจจัย 3 ข้อนี้ ครับ
1. จำนวนคนใช้งาน หากเพื่อนๆ มีคนในครอบครัว หรือเพื่อน ที่สามารถหารค่าเช่าใช้งานกันได้ ก็แนะนำเป็น Office 365 Home ครับ เพราะเมื่อเราเอาราคาต่อวัน (9.66 บาท) หาร จำนวนของผู้ใช้สูงสุด คือ 5 คน ก็จะตกวันละ 2 บาท เอง ซึ่งจะราคาเบากว่าแบบ Personal ซึ่งตกวันละ 7 บาท … เวลาหารกันก็ไปคุยกันเองนะครับ ระบบการจ่ายเงินไม่สามารถมาเฉลี่ยหารให้ได้
2. มีข้อมูลที่ต้องทำการเก็บบนคลาวด์ (OneDrive) เยอะไหม? สมมติเพื่อนๆ ต้องการเก็บเอกสารหรือข้อมูลต่างๆ เยอะมาก (ตอนนี้ จขกท โยนไฟล์ทุกอย่างลง OneDrive ไปแล้วครับ ช่วยประหยัดพื้นที่ HDD บน laptop ได้เยอะ ไม่ต้องมานั่งทำ Data backup ด้วย แต่ตอนอัพโหลดลง OneDrive อาจจะช้าอยู่บ้าง) ถ้าซื้อแบบ Office 365 Home เพื่อนๆ จะสามารถแบ่งได้ 5 users คนละ 1TB โดยแต่ละ User จะนับจาก Email ที่ใช้ Login ระบบ เช่น จขกท สร้างอีเมลล์ xxx1@outlook.com เพื่อใช้งานก็จะได้ ฟรี 1TB ในขณะเดียวกัน จขกท ก็ไปสร้างอีเมลล์อีกอันชื่อ xxx2@outlook.com ก็จะได้พื้นที่ฟรีอีก 1TB ในกรณี ที่ จขกท ไม่ได้หารกับใคร สรุปคือ ได้ทั้งหมด 5TB โดยปริยาย แต่ก็ต้องมาสลับอีเมลล์เวลาใช้งาน กับการใช้ Skype Call ก็เหมือนกันครับ
3. จำนวน smartphone, tablet และ PC หรือ Mac ที่มีของเพื่อนๆ โดย จากกระทู้ก่อน ๆจขกท ได้รีวิว การใช้งาน Office 365 ผ่านหลายๆ ดีไวซ์ พร้อมกัน (http://ppantip.com/topic/35163711) ซึ่งก็มีข้อดี ที่ จขกท ชอบ คือ ความสามารถแก้ไขเอกสาร และพรีเซนต์งาน ได้บน smartphone หรือ tablet ได้เลย ไม่จำเป็นต้องแบก laptop ให้หนัก โดยการฝากไฟล์ไว้บน OneDrive และใช้ smartphone หรือ tablet ที่มี application ของ Office 365 เพื่อไปดึงไฟล์ลงมาเข้าเครื่อง และทำการแก้ไขได้ตลอดเวลา สำหรับเพื่อนๆ ที่มีดีไวซ์หลากหลายตัว จขกท ก็แนะนำเป็น Office 365 Home ครับ เพราะสามารถลงได้ถึง 3 ดีไวซ์ ต่อ 1 user (PC/Laptop or Mac, smartphone, tablet)
อีกคำถามนึง ที่มีคนถามมา ก็คือ Office 365 Business ต่างจาก Office 365 Home and Personal อย่างไร ก่อนอื่น จขกท ขอสรุปมาเป็นตารางสำหรับ Office 365 for business นะครับ ซึ่งจริงๆ แล้ว Office 365 for business จะมีทั้งหมด 7 แพ็คเกจ ด้วยกัน ตั้งแต่ระดับ SME เล็กๆ ไปจนถึง บริษัทขนาดใหญ่มาก โดย จขกท จะเปรียบเทียบเฉพาะกับแพ็คเกจ SME ครับ ประกอบด้วย Office 365 Business Essentials, Office 365 Business และ Office 365 Business Premium ตามสรุป ตารางด้านล่าง
ถึงตรงนี้เพื่อนๆ สามารถดาวน์โหลด demo ของ Office 365 for business มาลองเล่นได้นะครับ ที่นี้เลย http://bit.ly/1tiTpDq
หลังจากลองขอเดโดมมาเล่นแล้ว จุดที่ Office 365 for business แตกต่างกันกับ Office 365 Home และ Office 365 Personal มีอะไรบ้างที่เด่นๆ?
จากที่ จขกท ลองเล่นนะครับ ขอสรุปตามนี้ นะครับ
1. ความสามารถในการใช่ Microsoft Office Online เพื่อแก้ไขเอกสารผ่าน Browser โดยต้องเข้าผ่าน www.office.com ก็จะเข้าสู่หน้าการ login
เมื่อเข้ามาแล้ว ก็ login ด้วย Email ที่เราลงทะเบียนไว้
เจอหน้า Dashboard คลิกที่ซอฟท์แวร์ที่เราต้องการเปิด จขกท ทดลองใช้ Word
หน้าตาเหมือนกับการใช้งาน Office 365 ปกติ แต่เปิดผ่าน Browser ได้เลย
สำหรับการใช้งานบน Office Online ฟีเจอร์เด่นคือการแก้ไขเอกสารแบบ Real-time โดยการแชร์เอกสารที่เราทำงานอยู่ไปให้กับ คนที่จะแชร์ เป็นการทำงานแบบ Co-Authoring
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ฟีเจอร์ Co-authoring ได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=XWBjypjyOGs
2. มีซอฟท์แวร์ในการจัดการรับส่งอีเมลล์ (Outlook) พร้อม พื้นที่ในการจัดเก็บอีเมลล์ขนาด 50GB ต่อผู้ใช้งานมาให้
จากรูป จะเห็นฟีเจอร์ Group ซึ่งเมื่อเราคลิกเข้าไป ก็จะเข้าไปเจอข้อมูลการสนทนา และอีเมลล์ทั้งหมด ที่เกี่ยวกับเราและ group นั้นๆ ทำให้การทำงาน ง่ายขึ้นมาก
การนัดมีทติง เช็คเวลาว่างของทีมงาน ก็ทำได้ง่ายๆ โดยการเข้าไป ที่ฟีเจอร์คาแลนดาร์
สร้างนัดมีทติง ระหว่างบุคคล หรือทีมงานได้
และสามารถเช็คช่วงเวลาที่สะดวกของแต่ละคนได้แบบ Real-time
3. ฟีเจอร์ของ Skype for business หลายคนคงเคยเล่น Skype กันมาแล้ว แต่มาถึงตรงนี้อาจจะมีถามว่า แล้วไอ้เจ้า Skype for business กับ Skype ปกติ ที่มีอยู่ในเครื่องนั้น แตกต่างกันอย่างไร จขกท เปรียบเทียบมาให้ดูครับ
สำหรับฟีเจอร์ของ Skype for business ว้าว ที่สุด คือฟีเจอร์ ที่สามารถเข้าไป ควบคุมหน้าจอและการพรีเซนต์งานได้แบบ Real-time ผ่านบน Skype for business ได้เลย ชมกันได้ https://www.youtube.com/watch?v=i9ubU-ndMZE
4. ระบบเครือข่ายสังคมในองค์กร ที่เรียกว่า Yammer เพื่อน จขกท ที่ทำงานอยู่บริษัท ที่ชอบใช้ Facebook Group ตั้งกลุ่มขึ้นมา เพื่อคุยกันในเรื่องจิปาถะ ตั้งแต่เรื่องงาน ไปยันจนเรื่องเมาท์มอย สำหรับ Office 365 for business ก็มีเหมือนกัน แต่ปลอดภัยกว่า เรียกว่า Yammer ดูคอนเซปท์ของ Yammer ที่นี้เลย https://www.youtube.com/watch?v=QgUyTiXpHcw
โดยสรุปจากข้อมูลข้างต้น เพื่อตอบคำถามที่ ว่าจะเลือกใช้ Office 365 ยังไงให้โดน จขกท ให้แนวคิดในการพิจารณาดังนี้ครับ ลองไล่ตาม flow ได้เลยครับ
จขกท แนะนำว่า การเลือกใช้ Office ไม่ว่าจะเวอร์ชั่นไหน ก็ขึ้นอยู่กับ ความถนัดและพฤติกรรมของตัวผู้ใช้เองด้วยนะครับ ข้อดีของ Office 365 ที่สำคัญ คือ การสนับสนุนทำงานได้ร่วมกัน บนทุกๆ แพลทฟอร์ม แต่ถ้าบุคลากรในองค์กร หรือ ส่วนตัวเอง ไม่ได้เป็นคนที่ใช้ชีวิตแบบติดกับงาน ตลอดเกือบจะ 24 ชม. คือ ทำงานแบบ 8 โมงเช้า เลิกงานห้าโมงเย็น ไม่จำเป็นต้องออกเดินทาง มาทำงานข้างนอก ก็แนะนำเป็น Microsoft Office 2016 ดีกว่าครับ ซื้อขาดไปเลย น่าจะตอบโจทย์กว่า สุดท้ายนี้ จขกท หวังว่าข้อมูลที่สรุป น่าจะพอเป็นประโยชน์ให้กับผู้ที่กำลัง เลือกใช้งาน Office 365 กันทุกคนนะครับ อยากรู้อะไร เพิ่มเติมก็ หลังไมค์กันมาได้ครับ แชร์ความรู้กัน