สวัสดีเพื่อนๆทุกคนนะคะ การเดินทางของเราคราวนี้ไม่มีการคำนวนค่าใช้จ่ายเหมือนหลายๆกระทู้ที่ทำ เพราะเรามองว่าการเดินทางแต่ละครั้งค่าเดินทางจะแตกต่างออกไป เช่นค่าตั๋วเครื่องบินก็ขึ้นกับระยะเวลาในการจองล่วงหน้า ค่าเดินทางก็ขึ้นกับค่าเงินด้วย เพราะฉะนั้นจึงเอาแน่เอานอนอะไรไม่ค่อยได้ แต่ก็พอจะไกด์ได้บางส่วนคร่าวๆหวังว่าจะพอเป็นประโยชน์กันนะคะ จริงๆเราเคยเขียนกระทู้นึงที่เกี่ยวกับการเดินทางจากอุดรไปเวียงจันทร์และวังเวียงไปแล้ว แต่ก็เขียนไม่จบ เลยขออนุญาติแก้ตัวด้วยกระทู้นี้ และคาดหวังว่ามันจะจบนะ (เพราะกลับมาหลายวันแล้ว แถมลืมปากกาดินสอไม่มีบันทึกอะไรเลยเพราะเดินและปั่นจักรยานเยอะมาก พอกลับมาถึงห้องพักก็สลบเป็นตาย 5555) และจะพยายามลงรายละเอียดเท่าที่จำได้ให้มากที่สุดค่ะ
เริ่มจากการเดินทางของเราในครั้งนี้ เกิดขึ้นจากการว่างงาน (เมื่อก่อนเราทำงานประจำจะไปไหนก็ต้องรอวันหยุดยาวถึงจะได้ไปใช่ป่ะ แต่พอได้ไปก็ไปแย่งกินแย่งใช้ คนเยอะมากมายหลายสิ่ง ตอนนี้ออกจากงานมาทำฟรีแลนซ์ และเริ่มจับธุรกิจส่วนตัวก็เลยพอมีเวลาว่าง) เดือนนี้งานน้อยมากเรียกว่าเงียบเลยดีกว่า ว่าแล้วก็เลยวางแผนการเดินทางครั้งใหม่ (เรื่องของเรื่องเพิ่งซื้อกล้องมาใหม่ เห่อกล้องอยากถ่ายรูปด้วยไง 5555 ) ลืมบอกไปกล้องที่เราใช้เป็นกล้อง Sony A5100 ค่ะ เหตุผลที่เลือกตัวนี้เพราะเห็นน้องที่รู้จักกันใช้แล้วทำให้เรารู้สึกว่าใช้ง่าย แล้วก็สวย ที่สำคัญมันเซลฟี่ได้ 555 (บางรูปก็เป็นกล้องไอโฟนธรรมดานะคะเพราะบางทีหยิบขึ้นมาถ่ายเลย ไม่สะดวกหยิบกล้อง รูปอาจมีเบลอๆแตกๆไปบ้างต้องขออภัย) ไฟล์รูปอาจธรรมดาไปบ้างเนื่องจากเพิ่งหัดถ่ายและแต่งรูปไม่เป็นที่เอามาลงนี่ไฟล์ดิบๆเลยค่ะ
ซึ่งการไปครั้งนี้แอบเสียดายมากเนื่องจากเวลาและสุขภาพไม่ค่อยอำนวยเท่าไหร่ ดันมาป่วยเอาวันที่เดินทางพอดี แถมพระพิรุณก็ไม่เข้าข้างเอาซะเลย เลยทำให้พลาดอะไรไปหลายอย่างเลยทีเดียว แต่คิดไว้ละว่าต้องมีกลับไปแก้ตัว เพราะโดยส่วนตัวชอบประเทศนี้เป็นพิเศษไปซ้ำได้ไม่มีเบื่อกันเลยทีเดียว
คราวที่แล้วเราไปลาวมาแล้วแต่ก็หยุดอยู่แค่ที่วังเวียง รู้สึกว่ามันยังไม่ถึง คราวนี้ก็เลยว่าแผนไปเมืองมรดกโลกที่เค้าว่ากันว่าสวยงามตระการตาอย่างเมือง "หลวงพระบาง" ว่าแล้วก็ถามกับเพื่อนสนิท(แอบงกเลยจะหาคนหารค่าที่พัก ค่าเดินทางกับค่ากิน 5555) แต่ก็ไม่มีใครไป เพราะฉุกละหุกมาก ถามเพื่อนวันที่ 4 มิถุนา จะเดินทางวันที่ 6-9 มิถุนา แอบเศร้าคิดว่าต้องไปคนเดียวแล้ว มีลังเลแต่ก็แบบ ชั้นตัดสินใจแล้วว่าชั้นจะไป คนเดียวก็เอาวะดีกว่าแกร่วอยู่เฉยๆ และแล้วก็มีเจ้าหญิงขี่ม้าขาว ที่ต้องเรียกแบบนั้นเพราะนางเป็นผู้หญิง กว่าจะจองตั๋วกับที่พักได้ก็เถียงกันไปหลายรอบ 5555
ก่อนจะเริ่มต้นการเดินทางมารู้จักเจ้าเมืองหลวงพระบางกันก่อนเลยดีกว่านะคะ
หลวงพระบางเป็นเมืองเก่าแก่ของอาณาจักรล้านช้าง ตั้งแต่สมัยสถาปนาอาณาจักร ซึ่งแต่เดิมมีชื่อว่าเมืองซวา (ออกเสียงว่า ซัว) และเมื่อ พ.ศ. 1300 ขุนลอ ซึ่งถือเป็น ปฐมกษัตริย์ลาวได้ทรงตั้งเมืองซวาเป็นราชธานีของอาณาจักรล้านช้างและได้เปลี่ยนชื่อเมืองใหม่ว่าเชียงทอง
เมื่อพระเจ้าฟ้างุ้ม (พ.ศ. 1896 - พ.ศ. 1916) เสด็จกลับจากกัมพูชา อันเนื่องจากพระองค์และพระบิดาต้องเสด็จลี้ภัยเพราะถูกขับไล่จากกษัตริย์องค์ก่อน ซึ่งแท้จริงก็คือพระอัยกาของเจ้าฟ้างุ้มนั่นเอง เจ้าฟ้างุ้มทรงรวบรวมกำลังขณะอยู่ในเสียมเรียบ และนำกองทัพนับพันกำลังเพื่อกู้ราชบัลลังก์กลับคืน และสถาปนาอาณาจักรขึ้น ต่อมาในสมัยพระโพธิสารราชเจ้าพระองค์ได้อาราธนาพระบางซึ่งเดิมประดิษฐานอยู่ที่เมืองเวียงคำ ขึ้นมาประดิษฐานอยู่ที่เมืองเชียงทองอันเป็นนครหลวง เมืองเชียงทองจึงถูกเรียกว่า หลวงพระบาง นับแต่นั้นมา หลวงพระบางทั้งเมืองได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกของมวลมนุษยชาติเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2538 และยังได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองที่ได้รับการปกปักรักษาที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (หลังจากที่ไปมาเรากลับรู้สึกว่าแอบผิดหวังเล็กๆกับเมืองนี้นะ เหมือนเราคาดหวังว่ามันจะสวยงามกว่านี้ ไม่รู้ว่าเรารู้สึกไปคนเดียวรึเปล่า) Credit:วิกิพิเดีย
เกริ่นมาก็เยอะละ เรามาเริ่มต้นการเดินทางของเรากันดีกว่าค่ะ
เอาเป็นว่าการเดินทางของเราเริ่มต้นที่นี่ค่ะ เราเลือกสายการบิน นกแอร์ กรุงเทพ-อุดร วันที่ 6 ไฟลท์ ตี5.50 ถึงอุดรประมาณ 6.55น. เพราะจะได้เที่ยวอุดรก่อนที่จะข้ามฝั่งไปเวียงจันทน์ค่ะ ส่วนขากลับเนื่องจากนังเพื่อนมีงานต่อในวันรุ่งขึ้นก็เลยต้องจองไฟลท์จากหลวงพระบางกลับมากรุงเทพวันที่ 9 ไฟลท์ 16.45 ถึงกรุงเทพ18.00พอดีเลย ไม่อยากเสี่ยงนั่งรถมาเวียงจันทน์แล้วต่อมาอุดรเดี่ยวงานจะงอกเพราะรถที่นี่ควบคุมเวลาไม่ค่อยจะได้เลย
เราจองแบบกระชั้นชิด ตั๋วเลยออกมาแพงแบบที่เห็น
เช้าวันที่ 6 เราต้องมาเช็คอินกันตั้งแต่ไม่เกินตี 5 เนื่องจากว่าสายการบินนี้ปิดเช็คอินเร็วมากเราเลยต้องแหกขี้ตาตื่นมา(อันที่จริงก็ไม่ได้นอนทั้งคืนเลยมากกว่าเพราะกลัวจะไม่ตื่น)
นีคือหนังหน้าของพวกเราสองคนค่ะ 5555 สภาพคือหน้าสดตลอดการเดินทาง
ถ่ายมาแบบเบลอๆตามสภาพคนถ่ายเลย (กล้องไอโฟนกลัวเค้าด่าเอาว่าจะขึ้นเครื่องแล้วยังจะเผือกถ่ายรูปอีก)
พอลงจากเครื่องมา จะมีรถตู้รถประจำทางเต็มรอรับ ลองถามราคาดู ไปขนส่งราคาคนละ200 ด้วยความที่งกทั้งคู่ เราเลยตัดสินใจเดินค่ะ เดินออกจากสนามบินมาประมาณเกือบ 2 กิโล(ถามพี่ยามหน้าสนามบิน) จะเจอกับเซเว่น ซึ่งเป็นป้ายรถสองแถว เราสองคนเลยโบกรถมาที่ขนส่ง ค่ารถถูกมาก จากคนละ200 เหลือคนละ 10 บาท
***อันนี้สำคัญมาก อุดรมีขนส่งสองแห่งเวลาบอกจุดหมายปลายทางให้บอกว่าขนส่งเก่านะคะ จะเป็นขนส่งที่สามารถซื้อตั๋วเพื่อข้ามไปเวียงจันทน์ได้ค่ะ
พอมาถึงเค้าจะไม่ได้ส่งเราถึงหน้าขนส่งนะคะ ต้องเดินเข้ามาในซอยอีกประมาณ 300 เมตร
พอมาถึงปรากฏว่าเค้าไม่ขายตั๋วล่วงหน้า เพราะเราตั้งใจว่าจะข้ามไปตอนรอบ 16.30 สุดท้ายก็เลยฝากกระเป๋าไว้ที่ขนส่ง ใบละ20 บาท ฝากได้ถึงหกโมงเย็น
เราสองคนเลยเดินตัวปลิวเที่ยวได้เต็มที่ เริ่มจากอย่างแรกเลยคือการหาของกิน มาเมืองอุดรก็ต้องมากินของขึ้นชื่อของที่นี่ "ไข่กะทะ" เราเลือกที่"ร้านโจ๊กยิ่งอุดม"เพราะว่ามันมีรีวิวอยู่ในวงใน กับใกล้ขนส่งมากที่สุด มาสองคนก็สั่งสองอย่างแล้วแบ่งกันกิน นอกจากจะได้กินหลายอย่างแล้ว หารกันจ่ายก็ประหยัดไปได้นิดหน่อย
มื้อนี้หมดไป 120 บาท
หลังจากกินเสร็จเราก็เลือกจุดหมายปลายทางที่เราจะไปเที่ยว ซึ่งที่แรกที่เราเลือกจะไป ก็คือที่นี่เลยค่ะ ศาลปู่ - ย่า หรือศูนย์วัฒนธรรมไทยจีนนั่นแหละเพราะมันอยู่ใกล้กันจนแทบจะเป็นที่เดียวกันอยู่แล้วแต่ไม่รู้ทำไมตอนที่หาข้อมูลเรื่องนี้ โพสต์เหมือนมันอยู่คนละที่กัน (วันที่เราไปมีคู่แต่งงานมาถ่ายพรีเวดดิ้งพอดีเลย)
ที่นี่ไม่เสียค่าเข้านะคะ ที่จะเสียเงินจะเป็นในส่วนของการทำบุญเพิ่มเติม ให้อาหารปลา เช่าชุดจีนถ่ายรูป หรือพวกของที่ระลึกเท่านั้นค่ะ
เข้ามาด้านในสิ่งแรกที่จะเจอเลยคือบ่อปลาคาร์ฟ ซึ่งมันไม่กลัวคนเลย (แต่เรากลัวมันนะเพราะไม่ชอบปลาอ้าปากกลัวมันกินหัวเรา555)
(นังเพื่อนลูบหัวปลาประหนึ่งเป็นสัตว์เลี้ยง)
มุมนี้เหมือนสวนสวรรค์เลย
บรรยากาศด้านนอก
ส่วนบรรยากาศด้านใน เข้ามาถึงจะเป็นในส่วนของประวัติเมืองอุดรธานี ว่ามีความเป็นมาอย่างไร มีรูปถ่าย การจำลองสถานที่เก่า เอาไว้ในตัวอาคาร
ถัดมาจะมีศาลปู่-ย่า และประวัติความเป็นมาของเทศกาลต่างๆ เช่นเทศกาลไหว้พระจันทร์ เทศกาลตรุษจีน ฯลฯ
เดินลงมาด้านล่างจะมีประวัติท่านขงจื๊อ ทั้งภาพและเสียง มีโรงฉายภาพยนตร์ด้วยนะเอ้อ
ก่อนถึงทางออกจะมีจุดที่ให้เราได้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ส่งเข้าเมลก็ได้หรือว่าจะปริ้นเอากลับบ้านก็ได้ จะได้ออกมาแบบรูปที่ตั้งโชว์แบบนี้(เสียตังใบละร้อยนะจ้ะ)
เดินออกมาตามกำแพงของศูนย์วัฒนธรรมไทยจีนจะมีภาษิตโบราณที่สอนเกี่ยวกับศีลธรรมต่างๆตลอดทาง เดินมาทางด้านหลังของสวนหินจะเป็นส่วนของการเช่าชุดถ่ายภาพเป็นที่ระลึกและของที่ระลึก ไม้แกะสลักเจ้าแม่กวนอิมสวยมากอยากได้กลับมาแต่หนทางยังอีกยาวไกลท่านอาจจะกลับมาสภาพไม่ครบองค์ได้
ทริปอุดร เวียงจันทน์ หลวงพระบาง 4 วัน 3 คืนกับการสะพายเป้แบกกล้องถ่ายรูปจริงจังเป็นครั้งแรก
เริ่มจากการเดินทางของเราในครั้งนี้ เกิดขึ้นจากการว่างงาน (เมื่อก่อนเราทำงานประจำจะไปไหนก็ต้องรอวันหยุดยาวถึงจะได้ไปใช่ป่ะ แต่พอได้ไปก็ไปแย่งกินแย่งใช้ คนเยอะมากมายหลายสิ่ง ตอนนี้ออกจากงานมาทำฟรีแลนซ์ และเริ่มจับธุรกิจส่วนตัวก็เลยพอมีเวลาว่าง) เดือนนี้งานน้อยมากเรียกว่าเงียบเลยดีกว่า ว่าแล้วก็เลยวางแผนการเดินทางครั้งใหม่ (เรื่องของเรื่องเพิ่งซื้อกล้องมาใหม่ เห่อกล้องอยากถ่ายรูปด้วยไง 5555 ) ลืมบอกไปกล้องที่เราใช้เป็นกล้อง Sony A5100 ค่ะ เหตุผลที่เลือกตัวนี้เพราะเห็นน้องที่รู้จักกันใช้แล้วทำให้เรารู้สึกว่าใช้ง่าย แล้วก็สวย ที่สำคัญมันเซลฟี่ได้ 555 (บางรูปก็เป็นกล้องไอโฟนธรรมดานะคะเพราะบางทีหยิบขึ้นมาถ่ายเลย ไม่สะดวกหยิบกล้อง รูปอาจมีเบลอๆแตกๆไปบ้างต้องขออภัย) ไฟล์รูปอาจธรรมดาไปบ้างเนื่องจากเพิ่งหัดถ่ายและแต่งรูปไม่เป็นที่เอามาลงนี่ไฟล์ดิบๆเลยค่ะ
ซึ่งการไปครั้งนี้แอบเสียดายมากเนื่องจากเวลาและสุขภาพไม่ค่อยอำนวยเท่าไหร่ ดันมาป่วยเอาวันที่เดินทางพอดี แถมพระพิรุณก็ไม่เข้าข้างเอาซะเลย เลยทำให้พลาดอะไรไปหลายอย่างเลยทีเดียว แต่คิดไว้ละว่าต้องมีกลับไปแก้ตัว เพราะโดยส่วนตัวชอบประเทศนี้เป็นพิเศษไปซ้ำได้ไม่มีเบื่อกันเลยทีเดียว
คราวที่แล้วเราไปลาวมาแล้วแต่ก็หยุดอยู่แค่ที่วังเวียง รู้สึกว่ามันยังไม่ถึง คราวนี้ก็เลยว่าแผนไปเมืองมรดกโลกที่เค้าว่ากันว่าสวยงามตระการตาอย่างเมือง "หลวงพระบาง" ว่าแล้วก็ถามกับเพื่อนสนิท(แอบงกเลยจะหาคนหารค่าที่พัก ค่าเดินทางกับค่ากิน 5555) แต่ก็ไม่มีใครไป เพราะฉุกละหุกมาก ถามเพื่อนวันที่ 4 มิถุนา จะเดินทางวันที่ 6-9 มิถุนา แอบเศร้าคิดว่าต้องไปคนเดียวแล้ว มีลังเลแต่ก็แบบ ชั้นตัดสินใจแล้วว่าชั้นจะไป คนเดียวก็เอาวะดีกว่าแกร่วอยู่เฉยๆ และแล้วก็มีเจ้าหญิงขี่ม้าขาว ที่ต้องเรียกแบบนั้นเพราะนางเป็นผู้หญิง กว่าจะจองตั๋วกับที่พักได้ก็เถียงกันไปหลายรอบ 5555
ก่อนจะเริ่มต้นการเดินทางมารู้จักเจ้าเมืองหลวงพระบางกันก่อนเลยดีกว่านะคะ
หลวงพระบางเป็นเมืองเก่าแก่ของอาณาจักรล้านช้าง ตั้งแต่สมัยสถาปนาอาณาจักร ซึ่งแต่เดิมมีชื่อว่าเมืองซวา (ออกเสียงว่า ซัว) และเมื่อ พ.ศ. 1300 ขุนลอ ซึ่งถือเป็น ปฐมกษัตริย์ลาวได้ทรงตั้งเมืองซวาเป็นราชธานีของอาณาจักรล้านช้างและได้เปลี่ยนชื่อเมืองใหม่ว่าเชียงทอง
เมื่อพระเจ้าฟ้างุ้ม (พ.ศ. 1896 - พ.ศ. 1916) เสด็จกลับจากกัมพูชา อันเนื่องจากพระองค์และพระบิดาต้องเสด็จลี้ภัยเพราะถูกขับไล่จากกษัตริย์องค์ก่อน ซึ่งแท้จริงก็คือพระอัยกาของเจ้าฟ้างุ้มนั่นเอง เจ้าฟ้างุ้มทรงรวบรวมกำลังขณะอยู่ในเสียมเรียบ และนำกองทัพนับพันกำลังเพื่อกู้ราชบัลลังก์กลับคืน และสถาปนาอาณาจักรขึ้น ต่อมาในสมัยพระโพธิสารราชเจ้าพระองค์ได้อาราธนาพระบางซึ่งเดิมประดิษฐานอยู่ที่เมืองเวียงคำ ขึ้นมาประดิษฐานอยู่ที่เมืองเชียงทองอันเป็นนครหลวง เมืองเชียงทองจึงถูกเรียกว่า หลวงพระบาง นับแต่นั้นมา หลวงพระบางทั้งเมืองได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกของมวลมนุษยชาติเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2538 และยังได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองที่ได้รับการปกปักรักษาที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (หลังจากที่ไปมาเรากลับรู้สึกว่าแอบผิดหวังเล็กๆกับเมืองนี้นะ เหมือนเราคาดหวังว่ามันจะสวยงามกว่านี้ ไม่รู้ว่าเรารู้สึกไปคนเดียวรึเปล่า) Credit:วิกิพิเดีย
เกริ่นมาก็เยอะละ เรามาเริ่มต้นการเดินทางของเรากันดีกว่าค่ะ
เอาเป็นว่าการเดินทางของเราเริ่มต้นที่นี่ค่ะ เราเลือกสายการบิน นกแอร์ กรุงเทพ-อุดร วันที่ 6 ไฟลท์ ตี5.50 ถึงอุดรประมาณ 6.55น. เพราะจะได้เที่ยวอุดรก่อนที่จะข้ามฝั่งไปเวียงจันทน์ค่ะ ส่วนขากลับเนื่องจากนังเพื่อนมีงานต่อในวันรุ่งขึ้นก็เลยต้องจองไฟลท์จากหลวงพระบางกลับมากรุงเทพวันที่ 9 ไฟลท์ 16.45 ถึงกรุงเทพ18.00พอดีเลย ไม่อยากเสี่ยงนั่งรถมาเวียงจันทน์แล้วต่อมาอุดรเดี่ยวงานจะงอกเพราะรถที่นี่ควบคุมเวลาไม่ค่อยจะได้เลย
เราจองแบบกระชั้นชิด ตั๋วเลยออกมาแพงแบบที่เห็น
เช้าวันที่ 6 เราต้องมาเช็คอินกันตั้งแต่ไม่เกินตี 5 เนื่องจากว่าสายการบินนี้ปิดเช็คอินเร็วมากเราเลยต้องแหกขี้ตาตื่นมา(อันที่จริงก็ไม่ได้นอนทั้งคืนเลยมากกว่าเพราะกลัวจะไม่ตื่น)
นีคือหนังหน้าของพวกเราสองคนค่ะ 5555 สภาพคือหน้าสดตลอดการเดินทาง
ถ่ายมาแบบเบลอๆตามสภาพคนถ่ายเลย (กล้องไอโฟนกลัวเค้าด่าเอาว่าจะขึ้นเครื่องแล้วยังจะเผือกถ่ายรูปอีก)
พอลงจากเครื่องมา จะมีรถตู้รถประจำทางเต็มรอรับ ลองถามราคาดู ไปขนส่งราคาคนละ200 ด้วยความที่งกทั้งคู่ เราเลยตัดสินใจเดินค่ะ เดินออกจากสนามบินมาประมาณเกือบ 2 กิโล(ถามพี่ยามหน้าสนามบิน) จะเจอกับเซเว่น ซึ่งเป็นป้ายรถสองแถว เราสองคนเลยโบกรถมาที่ขนส่ง ค่ารถถูกมาก จากคนละ200 เหลือคนละ 10 บาท
***อันนี้สำคัญมาก อุดรมีขนส่งสองแห่งเวลาบอกจุดหมายปลายทางให้บอกว่าขนส่งเก่านะคะ จะเป็นขนส่งที่สามารถซื้อตั๋วเพื่อข้ามไปเวียงจันทน์ได้ค่ะ
พอมาถึงเค้าจะไม่ได้ส่งเราถึงหน้าขนส่งนะคะ ต้องเดินเข้ามาในซอยอีกประมาณ 300 เมตร
พอมาถึงปรากฏว่าเค้าไม่ขายตั๋วล่วงหน้า เพราะเราตั้งใจว่าจะข้ามไปตอนรอบ 16.30 สุดท้ายก็เลยฝากกระเป๋าไว้ที่ขนส่ง ใบละ20 บาท ฝากได้ถึงหกโมงเย็น
เราสองคนเลยเดินตัวปลิวเที่ยวได้เต็มที่ เริ่มจากอย่างแรกเลยคือการหาของกิน มาเมืองอุดรก็ต้องมากินของขึ้นชื่อของที่นี่ "ไข่กะทะ" เราเลือกที่"ร้านโจ๊กยิ่งอุดม"เพราะว่ามันมีรีวิวอยู่ในวงใน กับใกล้ขนส่งมากที่สุด มาสองคนก็สั่งสองอย่างแล้วแบ่งกันกิน นอกจากจะได้กินหลายอย่างแล้ว หารกันจ่ายก็ประหยัดไปได้นิดหน่อย
มื้อนี้หมดไป 120 บาท
หลังจากกินเสร็จเราก็เลือกจุดหมายปลายทางที่เราจะไปเที่ยว ซึ่งที่แรกที่เราเลือกจะไป ก็คือที่นี่เลยค่ะ ศาลปู่ - ย่า หรือศูนย์วัฒนธรรมไทยจีนนั่นแหละเพราะมันอยู่ใกล้กันจนแทบจะเป็นที่เดียวกันอยู่แล้วแต่ไม่รู้ทำไมตอนที่หาข้อมูลเรื่องนี้ โพสต์เหมือนมันอยู่คนละที่กัน (วันที่เราไปมีคู่แต่งงานมาถ่ายพรีเวดดิ้งพอดีเลย)
ที่นี่ไม่เสียค่าเข้านะคะ ที่จะเสียเงินจะเป็นในส่วนของการทำบุญเพิ่มเติม ให้อาหารปลา เช่าชุดจีนถ่ายรูป หรือพวกของที่ระลึกเท่านั้นค่ะ
เข้ามาด้านในสิ่งแรกที่จะเจอเลยคือบ่อปลาคาร์ฟ ซึ่งมันไม่กลัวคนเลย (แต่เรากลัวมันนะเพราะไม่ชอบปลาอ้าปากกลัวมันกินหัวเรา555)
(นังเพื่อนลูบหัวปลาประหนึ่งเป็นสัตว์เลี้ยง)
มุมนี้เหมือนสวนสวรรค์เลย
บรรยากาศด้านนอก
ส่วนบรรยากาศด้านใน เข้ามาถึงจะเป็นในส่วนของประวัติเมืองอุดรธานี ว่ามีความเป็นมาอย่างไร มีรูปถ่าย การจำลองสถานที่เก่า เอาไว้ในตัวอาคาร
ถัดมาจะมีศาลปู่-ย่า และประวัติความเป็นมาของเทศกาลต่างๆ เช่นเทศกาลไหว้พระจันทร์ เทศกาลตรุษจีน ฯลฯ
เดินลงมาด้านล่างจะมีประวัติท่านขงจื๊อ ทั้งภาพและเสียง มีโรงฉายภาพยนตร์ด้วยนะเอ้อ
ก่อนถึงทางออกจะมีจุดที่ให้เราได้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ส่งเข้าเมลก็ได้หรือว่าจะปริ้นเอากลับบ้านก็ได้ จะได้ออกมาแบบรูปที่ตั้งโชว์แบบนี้(เสียตังใบละร้อยนะจ้ะ)
เดินออกมาตามกำแพงของศูนย์วัฒนธรรมไทยจีนจะมีภาษิตโบราณที่สอนเกี่ยวกับศีลธรรมต่างๆตลอดทาง เดินมาทางด้านหลังของสวนหินจะเป็นส่วนของการเช่าชุดถ่ายภาพเป็นที่ระลึกและของที่ระลึก ไม้แกะสลักเจ้าแม่กวนอิมสวยมากอยากได้กลับมาแต่หนทางยังอีกยาวไกลท่านอาจจะกลับมาสภาพไม่ครบองค์ได้