✿ โอละแม่! โชเฟอร์รถตู้อ้างโดนใบสั่ง ‘สวมเสื้อเหลือง’ ที่แท้สวมรองเท้าแตะ ผิดกฎกระทรวง

แชร์ว่อน! หนุ่มโชเฟอร์รถตู้อ้างโดนใบสั่งหลังสวมเสื้อเหลืองขับรถ สุดท้ายคดีพลิก! ตร.แจงจับกุมเพราะสวมรองเท้าแตะ ผิดระเบียบกฎกระทรวง เจ้าตัวโพสต์ขอโทษ  ยัน รู้เท่าไม่ถึงการณ์...

จากกรณีสังคมออนไลน์แห่แชร์ภาพผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง อ้างว่า ตนเป็นคนขับรถตู้โดยสารและตั้งใจแสดงความจงรักภักดีด้วยการใส่เสื้อเหลืองในวันพฤหัสบดี (9 มิ.ย.) ที่ผ่านมา แต่ถูกออกใบสั่งในข้อหา “แต่งกายไม่ถูกต้องตามที่กำหนด” ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันทั้ง 2 มุมมอง

บางส่วนมองว่าคนขับรถตู้ต้องมีการแต่งกายให้ถูกต้องตามระเบียบอยู่แล้ว ขณะที่บางส่วนสงสัยว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร



ล่าสุดวันนี้ (11 มิ.ย. 59) ร.ต.ท.อมรพันธุ์ ฉิมอิ่ม รองสารวัตร (สอบสวน) ศูนย์จัดการจราจรทางพิเศษบูรพาวิถี ได้โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงถึงเรื่องดังกล่าวโดยระบุว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 59 เวลาประมาณ 17.30 น. ซึ่งตรงกับวันฉลองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี และรัฐบาลมีการเชิญชวนให้ประชาชนสวมใส่เสื้อเหลือง เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจขอชื่นชมผู้ใช้เฟซบุ๊กท่านนี้ครับ ที่ร่วมใส่เสื้อสีเหลืองในวันดังกล่าว

แต่ประเด็นการจับกุมไม่ได้อยู่ที่การสวมเสื้อไม่ถูกต้องตามกฎกระทรวงข้อ 2 ดังที่หลาย ๆ ท่านนำไปแชร์ในสื่อต่าง ๆ และมีการพาดพิงเจ้าหน้าที่ ในประเด็นเกี่ยวกับข้อกฎหมาย แต่ผู้ใช้เฟซบุ๊กท่านนี้ สวมรองเท้าแตะในการขับขี่รถตู้โดยสาร ซึ่งไม่เป็นไปตามกฎกระทรวงข้อ 2 (3) ที่ให้สวมรองเท้าหุ้มส้นหรือหุ้มข้อ  เพราะอาจเกิดอันตรายในการควบคุมรถ ซึ่งต้องใช้ความระมัดระวัง และรับผิดชอบในชีวิตและทรัพย์สินของผู้โดยสาร จึงถูกเจ้าพนักงานออกใบสั่งในข้อหา แต่งกายไม่ถูกต้องตามระเบียบ ไม่ใช่ข้อหา สวมเสื้อเหลือง ที่มีการแชร์ส่งต่อ ๆ กันไป



ต่อมาผู้ใช้เฟซบุ๊กดังกล่าว รู้สึกสำนึกผิด และเห็นว่าข้อความที่ตนโพสต์ไม่เหมาะสม จึงได้ลบออกไปแล้ว แต่ยังมีเพจอื่น ๆ เก็บภาพหน้าจอไว้ แล้วนำไปโพสต์ต่อ ด้วยข้อความที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิด ผมจึงขอชี้แจงทุก ๆ ท่าน เพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง และในวันนี้ผู้ใช้เฟซบุ๊กเจ้าของใบสั่ง ได้เข้ามาพบผมในฐานะร้อยเวรสอบสวน ซึ่งเป็นคนกลาง ชี้แจงทำความเข้าใจ การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ทราบ และเข้าใจดีแล้ว จึงมาชำระค่าปรับตามกฎหมาย และรับปากว่าจะชี้แจงให้คนอื่น เข้าใจข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก.






ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/636778