ดีงามพระราม 8 มากค่ะ เป็นแบรนด์ที่รอให้เปิดในไทยมานานมว๊ากกกกกกกกก
หลังจากรู้ข่าวว่าเปิดเคาท์เตอร์ที่ลงพารากอนแล้วก็เลยต้องหาโอกาสแวะไปสักหน่อยจ้า
ถามว่าแวะไปทำไม ...
ก็เพราะว่าเค้ามี Tester ให้เทสต์ทุกตัว เยอะมาก เดี๋ยวลองไปนับกันดูเองว่ามีกี่ตัว
จขกท นับไม่ไหว
พิกัด : อยู่ที่พารากอน ชั้น M โซนบิวตี้ เดินเข้าไปเถอะ หาไม่ยากเลย
ตัดกลับมาเรื่อง Shop ต่อค่ะ ดูกะทัดรัดสมเป็นมินิมอลตามสไตล์ ได้คุยกับน้องพนักงาน ของแบรนด์นี้จะเรียกว่า Consultant
เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่าทำไมถึงเรียกแบบนี้ เอาเรื่องการออกแบบเคาท์เตอร์ก่อน เดินเข้าไปก็จะเห็นหน้าตาแบบด้านล่างนี่แหล่ะ
แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกเป็น Sink Demonstration ซึ่งก็เอาไว้เทสต์ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ส่วนที่ 2 ตรงกลางก็เป็นที่เก็บผลิตภัณฑ์
ส่วนที่ 3 ก็เป็นเคาท์เตอร์เอาไว้คุยกับลูกค้า
เคาท์เตอร์ของ Aesop เนี่ย แต่ละประเทศจะมีการออกแบบไม่เหมือนกันเลย ไม่เหมือนแบรนด์อื่นๆ ที่การออกแบบจะคล้ายๆ กันหมด
แต่ของแบรนด์นี้จะเน้นออกแบบให้กลมกลืนไปกับวัฒนธรรมในแต่ละประเทศ อย่างของไทยที่เห็น Sink เป็นสีทองก็คือ
ได้แรงบันดาลใจมาจากวัดวาอารามในประเทศไทย
อ่ะ มาถึงใหม่ๆ ทาง Aesop มีการเสิร์ฟชาสูตรพิเศษให้ด้วย เป็นสูตรของ Aesop เองโดยเฉพาะไม่มีขายที่ไหน
เท่าที่ลองชิมนี่คือรสมิ้นท์เย็นๆ มาเต็ม รินน้ำลงถ้วยก็ติดใบชาหรือใบมิ้นท์มาด้วย
พอเคี้ยวละมันเย็นสดชื่นนนน ไปทั้งปาก แวะไปลองชิมกันได้
มาเฉลย เรื่องที่ทำไมแบรนด์นี้ถึงเรียกพนักงานว่า Consultant เพราะว่าขั้นตอนการทดลองผลิตภัณฑ์ต่างๆ เนี่ย
ทางพนักงานจะทำการสอบถามเกี่ยวกับ ผิว การดูแล รวมไปถึงไลฟ์สไตล์ เพื่อวิเคราะห์ว่าเราเหมาะกับผลิตภัณฑ์แบบใด
ถามค่อนข้างละเอียดเลยทีเดียว เพื่อที่ทาง Consultant จะได้แนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเราให้
นี่แหล่ะสาเหตุว่าทำไมถึงเรียก Consultant
ต่อมาถึงขั้นตอนการเทสต์ละ ไม่ใช่ว่าอยากจะลองครีมก็ลองได้เลยนะ ทาง Consultant จะให้เราทำความสะอาดผิวก่อน
ไม่ใช่ว่าเค้าเห็นว่า จขกท สกปรกนะ ฮ่าๆ แต่เพราะว่าทาง Aesop อยากให้ลูกค้าได้ทดลองที่ได้ฟีลจริงๆ
เพราะปกติเวลาเราจะทาครีม ทาโน่นนี่นั่นก็ต้องทำความสะอาดผิวก่อนใช่มะ นี่แหล่ะสาเหตุที่ต้องทำความสะอาดผิวซะก่อน
แล้วค่อยลงตัวเทสเตอร์ เพื่อให้เราได้รู้สึกถึงสัมผัสจริงๆ ว่าเป็นอย่างไร .... คือ ชอบมากนะ เค้าใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
นี่คือของที่ทาง Consultant เอามาอธิบายและแนะนำให้ฟัง นี่ก็ได้ลองเทสต์ไปหลายตัว
Parsley seed Serum / Balm / Eyecream / Lip Cream / Cleanser
เอาจริงๆ นี่ชอบหลายตัวเลยนะ คือลองละมันรู้สึกว่าเฮ้ย Amazing อย่างตัว Lip Cream เนี่ย
ตอนก่อนทา คือนี่ไม่ได้แต่งหน้าไปไง ปากก็ซีด แห้งเชียว มุมปากนี่เริ่มแข็งเล็กๆ
พอลองทาตัว Rose Hip Lip Cream ละแบบ เฮ้ย แป๊บเดียวริมฝีปากนุ่มขึ้นเลย
มันดีมวกจริงๆ เป็น Wish List อีกไอเท็มนึงที่ต้องตามไปเก็บให้ได้
มาว่ากันด้วยเรื่องของราคา มีใบ Price List วางอยู่ให้เห็นชัดเจน ไม่หมกเม็ด ใครยังไม่พร้อมซื้อเอาไปศึกษาดูก่อนได้
แต่โดยส่วนตัว ราคาดูเหมือนจะแพง แต่จริงๆ แล้วนี่ว่ามันไม่แพงนะ เพราะของชิ้นนึงใช้ได้ประมาณ 4-5 เดือน
หารออกมาเดือนนึงไม่กี่ร้อย นี่สารภาพว่ากินอาหารบนห้างจ่ายเยอะกว่านี้อีก
ก็ลดๆ อาหารหรู เอาเงินมาซื้อของบำรุงหนังหน้าบ้างก็ได้ เพราะหนังท้องเริ่มตึงก่อนไปแร้วววว
สิ่งที่ปลื้มปริ่มที่สุดในการมาชมเคาท์เตอร์ก็คือ พนักงานที่ให้ข้อมูลได้ละเอียด
ไม่รำคาญเวลาซักถาม และไม่ตื้อ ไม่ชักจูงให้ซื้อให้ลอง ให้เราลองได้สบายๆ
ทาง Consultant บอกว่า เชื่อว่าของเค้าดี ถ้าลูกค้าได้ลองแล้วติดใจต้องกลับมาซื้อแน่นอน
ทางแบรนด์มี Sampling แจกให้ไปทดลองใช้ และจะโทรติดตามผลว่าลูกค้าใช้แล้ว ชอบ หรือไม่ชอบอย่างไร
รอบนี้เราเลยได้ Sampling กลับมาด้วย เพราะไม่ได้ช้อปอะไร
รอ Clarins ที่ใช้อยู่ปัจจุบันให้หมดก่อน แล้วจะกลับไปจัด Serum แน่นอน
ลากระทู้กันไปด้วยภาพสารพัด Tester ลองนับกันดูนะคะ นี่คือส่วนนึงยังมีด้านหลังอีกเพียบ
กระทู้หน้าเจอกันใหม่จ้า ^0^
[CR] Aesop เทสต์ไปเหอะ ไม่มีหวง แถมได้ของฟรีกลับบ้าน
ดีงามพระราม 8 มากค่ะ เป็นแบรนด์ที่รอให้เปิดในไทยมานานมว๊ากกกกกกกกก
หลังจากรู้ข่าวว่าเปิดเคาท์เตอร์ที่ลงพารากอนแล้วก็เลยต้องหาโอกาสแวะไปสักหน่อยจ้า
ถามว่าแวะไปทำไม ...
ก็เพราะว่าเค้ามี Tester ให้เทสต์ทุกตัว เยอะมาก เดี๋ยวลองไปนับกันดูเองว่ามีกี่ตัว
จขกท นับไม่ไหว
พิกัด : อยู่ที่พารากอน ชั้น M โซนบิวตี้ เดินเข้าไปเถอะ หาไม่ยากเลย
ตัดกลับมาเรื่อง Shop ต่อค่ะ ดูกะทัดรัดสมเป็นมินิมอลตามสไตล์ ได้คุยกับน้องพนักงาน ของแบรนด์นี้จะเรียกว่า Consultant
เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่าทำไมถึงเรียกแบบนี้ เอาเรื่องการออกแบบเคาท์เตอร์ก่อน เดินเข้าไปก็จะเห็นหน้าตาแบบด้านล่างนี่แหล่ะ
แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกเป็น Sink Demonstration ซึ่งก็เอาไว้เทสต์ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ส่วนที่ 2 ตรงกลางก็เป็นที่เก็บผลิตภัณฑ์
ส่วนที่ 3 ก็เป็นเคาท์เตอร์เอาไว้คุยกับลูกค้า
เคาท์เตอร์ของ Aesop เนี่ย แต่ละประเทศจะมีการออกแบบไม่เหมือนกันเลย ไม่เหมือนแบรนด์อื่นๆ ที่การออกแบบจะคล้ายๆ กันหมด
แต่ของแบรนด์นี้จะเน้นออกแบบให้กลมกลืนไปกับวัฒนธรรมในแต่ละประเทศ อย่างของไทยที่เห็น Sink เป็นสีทองก็คือ
ได้แรงบันดาลใจมาจากวัดวาอารามในประเทศไทย
อ่ะ มาถึงใหม่ๆ ทาง Aesop มีการเสิร์ฟชาสูตรพิเศษให้ด้วย เป็นสูตรของ Aesop เองโดยเฉพาะไม่มีขายที่ไหน
เท่าที่ลองชิมนี่คือรสมิ้นท์เย็นๆ มาเต็ม รินน้ำลงถ้วยก็ติดใบชาหรือใบมิ้นท์มาด้วย
พอเคี้ยวละมันเย็นสดชื่นนนน ไปทั้งปาก แวะไปลองชิมกันได้
มาเฉลย เรื่องที่ทำไมแบรนด์นี้ถึงเรียกพนักงานว่า Consultant เพราะว่าขั้นตอนการทดลองผลิตภัณฑ์ต่างๆ เนี่ย
ทางพนักงานจะทำการสอบถามเกี่ยวกับ ผิว การดูแล รวมไปถึงไลฟ์สไตล์ เพื่อวิเคราะห์ว่าเราเหมาะกับผลิตภัณฑ์แบบใด
ถามค่อนข้างละเอียดเลยทีเดียว เพื่อที่ทาง Consultant จะได้แนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเราให้
นี่แหล่ะสาเหตุว่าทำไมถึงเรียก Consultant
ต่อมาถึงขั้นตอนการเทสต์ละ ไม่ใช่ว่าอยากจะลองครีมก็ลองได้เลยนะ ทาง Consultant จะให้เราทำความสะอาดผิวก่อน
ไม่ใช่ว่าเค้าเห็นว่า จขกท สกปรกนะ ฮ่าๆ แต่เพราะว่าทาง Aesop อยากให้ลูกค้าได้ทดลองที่ได้ฟีลจริงๆ
เพราะปกติเวลาเราจะทาครีม ทาโน่นนี่นั่นก็ต้องทำความสะอาดผิวก่อนใช่มะ นี่แหล่ะสาเหตุที่ต้องทำความสะอาดผิวซะก่อน
แล้วค่อยลงตัวเทสเตอร์ เพื่อให้เราได้รู้สึกถึงสัมผัสจริงๆ ว่าเป็นอย่างไร .... คือ ชอบมากนะ เค้าใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
นี่คือของที่ทาง Consultant เอามาอธิบายและแนะนำให้ฟัง นี่ก็ได้ลองเทสต์ไปหลายตัว
Parsley seed Serum / Balm / Eyecream / Lip Cream / Cleanser
เอาจริงๆ นี่ชอบหลายตัวเลยนะ คือลองละมันรู้สึกว่าเฮ้ย Amazing อย่างตัว Lip Cream เนี่ย
ตอนก่อนทา คือนี่ไม่ได้แต่งหน้าไปไง ปากก็ซีด แห้งเชียว มุมปากนี่เริ่มแข็งเล็กๆ
พอลองทาตัว Rose Hip Lip Cream ละแบบ เฮ้ย แป๊บเดียวริมฝีปากนุ่มขึ้นเลย
มันดีมวกจริงๆ เป็น Wish List อีกไอเท็มนึงที่ต้องตามไปเก็บให้ได้
มาว่ากันด้วยเรื่องของราคา มีใบ Price List วางอยู่ให้เห็นชัดเจน ไม่หมกเม็ด ใครยังไม่พร้อมซื้อเอาไปศึกษาดูก่อนได้
แต่โดยส่วนตัว ราคาดูเหมือนจะแพง แต่จริงๆ แล้วนี่ว่ามันไม่แพงนะ เพราะของชิ้นนึงใช้ได้ประมาณ 4-5 เดือน
หารออกมาเดือนนึงไม่กี่ร้อย นี่สารภาพว่ากินอาหารบนห้างจ่ายเยอะกว่านี้อีก
ก็ลดๆ อาหารหรู เอาเงินมาซื้อของบำรุงหนังหน้าบ้างก็ได้ เพราะหนังท้องเริ่มตึงก่อนไปแร้วววว
สิ่งที่ปลื้มปริ่มที่สุดในการมาชมเคาท์เตอร์ก็คือ พนักงานที่ให้ข้อมูลได้ละเอียด
ไม่รำคาญเวลาซักถาม และไม่ตื้อ ไม่ชักจูงให้ซื้อให้ลอง ให้เราลองได้สบายๆ
ทาง Consultant บอกว่า เชื่อว่าของเค้าดี ถ้าลูกค้าได้ลองแล้วติดใจต้องกลับมาซื้อแน่นอน
ทางแบรนด์มี Sampling แจกให้ไปทดลองใช้ และจะโทรติดตามผลว่าลูกค้าใช้แล้ว ชอบ หรือไม่ชอบอย่างไร
รอบนี้เราเลยได้ Sampling กลับมาด้วย เพราะไม่ได้ช้อปอะไร
รอ Clarins ที่ใช้อยู่ปัจจุบันให้หมดก่อน แล้วจะกลับไปจัด Serum แน่นอน
ลากระทู้กันไปด้วยภาพสารพัด Tester ลองนับกันดูนะคะ นี่คือส่วนนึงยังมีด้านหลังอีกเพียบ
กระทู้หน้าเจอกันใหม่จ้า ^0^
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น