อย่ามัวแต่ตีธัมไชโย อย่ามัวแต่ตามตัวหลวงตาจันทร์

กระทู้สนทนา
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๖ มิถุนายน ๒๕๕๙

ผมมีข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับสถานการณ์ทางศาสนามาเสนอต่อญาติมิตร ขอได้โปรดสดับด้วยจิตใจที่มั่นคง มีสติ และใช้วิจารณญาณให้รอบคอบ

สถานการณ์ต้นเรื่องเบื้องต้น ขอให้รับรู้ทั่วกันว่า ศาสนาอิสลามมีนโยบายแน่วแน่ที่จะขยายอิทธิพลในประเทศไทยให้ครอบคลุมทุกพื้นที่จนถึงครอบครองประเทศไทยได้ทั้งหมดในอนาคต
ความข้อนี้น่าจะมีคนสังเกตรู้กันมากขึ้นแล้วในตอนนี้
แนวทางที่ผู้นำศาสนาอิสลามในประเทศไทยใช้คือแนวทางกฎหมาย คือใช้กลไกทางรัฐสภาออกกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ให้แก่อิสลามในลักษณะต่างๆ โดยอาศัยช่องว่างช่องโหว่ขนาดมหึมาในหมู่คนไทย นั่นคือความไม่สนใจรับรู้อะไรทั้งนั้นนอกจากผลประโยชน์ส่วนตัว
ดังจะเห็นได้ว่า ถ้าถามว่าขณะนี้มีกฎหมายอะไรบ้างที่เอื้อประโยชน์และปูทางให้อำนาจแก่อิสลามที่ออกมาบังคับใช้แล้ว
คนที่ถูกถามส่วนใหญ่จะตอบว่าไม่รู้ (ทั้งไม่สนใจที่จะรู้ด้วย)

ผลทางกฎหมายดังกล่าวที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ก็คือ รัฐบาลคือหน่วยราชการไทยจะต้องปฏิบัติการ (ตามกฎหมาย) เพื่ออำนวยประโยชน์ให้แก่อิสลามโดยใช้ทรัพยากรของคนไทยทั้งประเทศ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ใช้ทรัพยากรของชาวพุทธนั่นเองเอื้ออำนวยประโยชน์ให้อิสลามโดยที่คนพุทธไม่รู้สึกตัว
อุปมาเหมือนเสือล้มช้าง
เสืออกกล่าเหยื่อ เจอช้างก็ใช้ความว่องไวปราดเปรียวโดดขึ้นกัดติดตระพองช้าง เปิดแผลบนตระพองช้างให้เลือดไหล ช้างวิ่งเตลิดกลับไปทางถิ่นเสือโดยมีเสือเกาะตระพองไป ช้างพายิ้มลับถิ่นโดยเสือไม่ต้องเดินให้เหนื่อย ถึงถิ่นเสือช้างก็หมดแรงล้ม เป็นเหยื่อให้ฝูงเสือได้กินเนื้อช้างกันอย่างสบายต่อไป
สมัยก่อน ชาติที่มีกำลังส่งกำลังไปยึดบ้านเมืองชาติที่อ่อนแอกว่า ในยุคล่าอาณานิคม ใกล้ๆ บ้านเรานี่เอง อังกฤษยึดอินเดีย ยึดพม่า ฝรั่งเศสยึดเขมร ลาว ญวน

สมัยนี้ไม่ต้องใช้กำลัง แต่ส่งผู้คนเข้าไปอยู่อย่างสันติในนามศาสนา แล้วค่อยๆ รุกคืบอย่างสงบโดยอาศัยนโยบายเข้ากุมกลไกของประเทศและกาลเวลาเข้าช่วย ก็จะสามารถยึดบ้านเมืองนั้นๆ ได้เช่นเดียวกัน
เป็นที่แน่นอนแล้วว่า กลุ่มผู้นำศาสนาอิสลามเป็นกลุ่มสำคัญที่คัดค้านไม่ให้บัญญัติศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ เพราะการบัญญัติเช่นนั้นย่อมเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการขยายอิทธิพลเพื่อยึดครองประเทศไทย การคัดค้านนั้นไม่ได้กระทำอย่างออกหน้าโจ่งแจ้งเพราะถ้าทำเช่นนั้นก็เท่ากับประกาศตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจนซึ่งไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายอิสลามเอง แต่ใช้วิธีเข้ากุมความคิดหรือชี้นำผู้มีอำนาจ วิธีนี้สงบเงียบแต่ได้ผลชะงัดกว่า
และขอให้สังเกตด้วยว่า ยุทธวิธีของอิสลามคือเงียบ แต่ทำงานไม่หยุด เพราะยิ่งเงียบเท่าไรยิ่งเป็นต่อเท่านั้น ข้อดีของความเงียบก็คือจะไม่มีใครรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ยิ่งไม่มีใครรู้ว่าอิสลามกำลังทำอะไรก็ยิ่งเป็นผลดีต่ออิสลาม
และในท่ามกลางความเงียบนี่เองเชื่อได้ว่าอีกไม่นานเราจะได้เห็นมัสยิดโผล่สะพรั่งขึ้นเต็มแผ่นดินพุทธอย่างน่าอัศจรรย์

เป้าหมายสำคัญยิ่งเป้าหนึ่งของอิสลามในประเทศไทยที่ผมยังไม่เคยได้ยินใครเอ่ยถึงเลยก็คือ รัฐธรรมนูญมาตราที่ว่า-พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ
โปรดทราบทั่วกันว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับตั้งแต่ที่เคยมีมาจะต้องมีมาตราหนึ่งที่เขียนไว้ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ”
ทำไมต้องเขียนอย่างนี้ ใครรู้บ้าง
เพราะผู้ร่างรัฐธรรมนูญในอดีตตระหนักรู้ได้เต็มหัวใจว่า สถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นผู้นำในการสร้างชาติไทยนับถือพระพุทธศาสนา และพระพุทธศาสนาเป็นหัวใจของสังคมไทย เพราะฉะนั้นพระมหากษัตริย์ของคนไทยจึงต้องเป็นพุทธมามกะคือต้องเป็นชาวพุทธเท่านั้น
พูดให้เป็นภาพก็ว่า พระมหากษัตริย์กับคนไทยคือคนคนเดียวกัน-คือคนพุทธ

ในอดีตและแม้ในปัจจุบันศาสนาอิสลามก็มีบทบาทเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เกี่ยวข้องในฐานะเป็น “ส่วนประกอบ” ก็เหมือนศาสนาพราหมณ์ที่มีอยู่ในราชสำนักมาแต่ไหนแต่ไร แต่ก็มีอยู่ในฐานะส่วนประกอบบางส่วนบางเรื่อง ไม่ใช่เป็นส่วนนำหรือส่วนหลักของสังคมไทย
แต่ในอนาคต เมื่อศาสนาอิสลามตั้งเป้าหมายที่จะทำให้อิสลามแผ่กระจายครอบคลุมทั่วประเทศไทย เมื่อถึงเวลาที่คนในแผ่นดินไทยไม่ใช่คนพุทธเป็นส่วนใหญ่ดังที่เคยเป็นมา เมื่อนั้นการที่ยังจะกำหนดให้พระมหากษัตริย์กับคนไทยคือคนคนเดียวกัน-คือคนพุทธ ก็จะเป็นการไม่สมเหตุสมผลขึ้นมาทันที
เพราะฉะนั้น ขอให้จับตาดูกันให้ดี ในอนาคตรัฐธรรมนูญมาตรานี้คือเป้าหมายที่จะต้องถูกตัดออกไปอย่างแน่นอน นั่นก็หมายถึงว่า ในอนาคตพระมหากษัตริย์ไทยอาจไม่จำเป็นจะต้องเป็นพุทธมามกะอีกต่อไป
พระพุทธศาสนานั้น ถ้าใครศึกษาประวัติก็จะพบความจริงว่า จะเข้าไปเผยแผ่และดำรงอยู่ในดินแดนใดๆ ได้ ปัจจัยสำคัญที่สุดก็คือผู้ปกครองดินแดนนั้นจะต้องนับถือเลื่อมใสด้วย หรืออย่างน้อยที่สุดถ้าไม่นับถือก็ต้องไม่กีดกันกลั่นแกล้ง (ซึ่งก็เป็นไปได้ยากมากๆ)
ในชมพูทวีปสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระพุทธศาสนารุ่งเรืองถึงที่สุดเพราะพระเจ้าอโศกมหาราชทรงนับถือเลื่อมใส ถึงกับนำเอาหลักธรรมในพระพุทธศาสนาออกมาใช้เป็นแนวนโยบายในการปกครอง

แต่พอสิ้นสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์องค์ต่อมาที่มิได้ทรงนับถือพระพุทธศาสนาก็ทำให้พระพุทธศาสนาสูญสิ้นไปจากแดนดินอินเดีย เหลือเพียงเป็นของที่ระลึกในประวัติศาสตร์ของอินเดียดังที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในทุกวันนี้ (กิจการพระพุทธศาสนาที่เราเห็นว่ามีอยู่ในอินเดียทุกวันนี้ล้วนเป็นของ “นำเข้า” จากภายนอก มิใช่ว่าประชาชนอินเดียชวนกันฟื้นฟูขึ้นเองเลย)
ในประเทศไทยของเรานี้ก็จะต้องเป็นเช่นนั้น ถ้าพระมหากษัตริย์มิได้ทรงเป็นพุทธมามกะ หรือถ้าผู้นำการบริหารบ้านเมืองมิได้เป็นชาวพุทธ พระพุทธศาสนาก็มีหวังว่าจะต้องถูกกีดกันและกำจัดออกไปจากสังคมไทยอย่างแน่นอน

อ่านต่อได้ที่
https://www.facebook.com/tsangsinchai
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่