สิกขิม 100 โค้ง 10,000 ความทรงจำ
(สิกขิมนครแห่งขุนเขาและสายหมอก)
สวัสดีครับ ผม Lovegravity traveller จะมาแบ่งปันประสบการ์ณประทับใจจากการเดินทางร่วมทริปกับทีมเพื่อนๆ ที่ได้รับรางวัลจากการประกวดถ่ายภาพกับแคนนอนคือได้ ทริปถ่ายภาพที่สิกขิมประเทศอินเดีย แบ่งเป็นวันทั้งหมด 7 วัน เท่าที่จำความได้ 555 มาร่วมเดินทางไปยังสิกขิมด้วยกับกับเมืองในหุบเขา และเต็มไปด้วยทางโค้งและสายหมอกเหมือนชื่อเลย สิกขิม 100 โค้ง 10,000 ความทรงจำ (สิกขิมนครแห่งขุนเขาและสายหมอก)
ทริปนี้เป็นทริปที่นั้งรถนานมาก หลายร้อยโค้งเลยก็ว่าได้ลัดเลาะตามไหลเขา บนเส้นทางเล็กๆ ที่เรียกว่าผ่านสบายถ้ารถคันเดียวนะ ฮ่าๆ คือมันแคบมาก เรานิตื่นเต้นตลอดทางทุกครั้งที่มีรถสวนมากเลย แต่ก็ได้อรรถรสการเดินทางอีกแบบเพราะมันทำให้เราเรียนรู้ว่า "หลังอุปสรรคเรามักพบความสวยงามเสมอ"
วันที่ 1 บัคโดครา-สิกขิม
เราเดินกันช่วงเดือนมีนาคม ด้วยสายการบิน Druk Air ที่ KB131 จากสุวรรณภูมิสู่เมืองบัคโดครา ใช้เวลาบินประมาณ 3 ชั่วโมง และเวลาที่อินเดียจะช้ากว่าไทย 1 ชั่วโมงครึ่ง สายการบิน Druk air โลโก้จะเป็นรูปมังกร ตรงปีกเครื่องเป็นลายธงชาติของภูฐาน เหมือนจะเป็นสายการบินประจำประเทศภูฐานแต่มีแวะเครื่องที่บัคโดคราจุดหมายของเราด้วยก่อนจะบินต่อไปภูฐาน
เครื่องที่เรานั่งเป็นเครื่องไม่ใหญ่มากขนาดเท่าบินในประเทศบ้านเรา กทม-เชียงใหม่ เลย พนักงานแต่งตัวคล้ายๆ ชุดประจำชาติภูฐาน หน้าตาภูฐานมาเลยออกแนวมองโกลเล็กๆ
อาหารเช้ามื้อแรกต้อนรับการเข้าสู้อินเดียมาแล้ว ผมเลือกคล้ายๆ สปาเกตตี้ซอสขาวเห็ดเป็นมังสาวิรัสนะครับ รสคล้ายๆ คาโบเนร่า แต่รู้สึกคลีนก่าเพราะเป็นมั้ง ฮ่าๆ มีครัวซอง ชา สลัด ของหวานเป็นเค้ก และโยเกิร์ตดัชชี่บ้านเราเนี่ยครับ บวมด้วยความกดอากาศสูงแทบแตกเลย โดยรวมมื้อนี้ให้ 2.5 ดาวครับจาก 5 กลางๆ
เครื่องลงจอดที่สนามบินบัคโดครา รถลากบันไดเทห์เลยเป็นอีแต้น หรือแทรกเตอร์น้อยสีขาวคันเล็กน่ารัก กับพี่แขกหน้าโหดมารอรับ และทางเครื่องก็ประกาศไม่อนุญาติให้ถ่ายรูปที่สนามบินนะครับ เพราะอยู่ติดเขตล่อแหล่ม เหมือนมีแค่กลุ่มเราที่ลงที่สนามบินนี้ คนอื่นเค้าบินต่อไปภูฐานต่อคนที่ลงสนามบินนี้ไม่เยอะครับ แต่ตรวจคนเข้าเมืองนานหน่อย ดูเอกสารไปมาและมึนกับภาษาอังกฤษสำเนียงแขกเร็วจริง แทบจะแร๊บ ฮ่าๆ กระเป๋าผมโดนกากบาทด้วยช๊อกมาเลยให้เปิดค้นด้วยเพราะมีขาตั้งกล้องยาวด้านในเค้านึกว่าปืนมั้งแต่ก็ผ่านมาด้วยดีฮ่ะ พอผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองมาทางแคนนอนก็จะรถ คล้ายๆ แวนมารอรับขึ้นคันละสามคน สะดวกสะบายจริง คนขับเราชื่ออุโมงค์ครับ เป็นคนรัฐดาร์จิลิ่ง นิ่งเงียบเน้นยิ้มครับ
นั่งไปสักพักก็สอบถามคนขับเราบอกว่าตอนนี้เราอยู่เมืองสิริบุรี การจารจรวุ่นวายคับคั้งแตร่ดังตลอดการเดินทาง คนที่นี้มักใช้รถคันเล็กๆ ที่เห็นเยอะๆ จะเป็น TATA และ ฟอร์ด ส่วนรถทรานเฟอร์เมอร์บรรทุกคันใหญ่ๆ เป็น TATA ซะส่วนใหญ่ คนที่นี้ส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู
3) การแต่งตัวของนักเรียนดูเรียบร้อย ที่ข้างทางจะเห็นนักเรียนที่เดินไปและกลับจากโรงเรียนเป็นจำนวนมาก
4) ด้วยระทางที่ขึ้นเขาลงเขา ผู้ร่วมอุดมการ์ณทริปนี้ นักบินโดรนเราไปซะแล้ว 1 รายด้วยอาการเมารถ และได้โอกาศเข้าห้องน้ำระบบธรรมชาติที่นี้การฉี่ข้างทางเป็นเรื่องปกติ เพราะมันสะอาดกว่าห้องน้ำและกลินดีดีเชื่อผมสิ
ถึงจุดพักจุดแรกสะพานใหญ่ที่ประดับด้วยธงมนต์แนวธิเบต ภูฐานมีค่อนข้างเยอะ สร้างความประทับใจแรกกับพวกเรามาก ธงมนต์ สายลม ขุนเขา และการเดินทางได้เริ่มขึ้นต้นแล้ว . . .
Day 2 กัลต๊อก-ตาชิ-M.G. Marg
คืนแรกเราพักกันที่กัลต๊อก โรงแรม Netok วิวสวยมากอยู่สูงสุดในแถบนี้เลย จากโรงแรกตอนเช้าสามารถมองเห็น ยอดเขา Kanchenjunga หมู่ภูเขาน้ำแข็งแสนขี้อายโผล่มาทักทายเราแค่วันแรกๆ ของทริปเท่านั้น แสงแรกยามตกกระทบยอดเขา ออกสีชมพูอ่อนๆ ช่างอ่อนหวานและแสนประทับใจตรึงความทรงจำ
เราเดินทางไปยังจุดชมวิวตาชิ เพื่อชมยอดเขาคันเซนจุงก้า ยอดเขาค่อนข้างมีเฆกมากและอากาศปิดเราเลยอยู่ไม่นานมาก
บนจุดชมวิวตาชิมีบริการให้เช่าชุดพื้นถิ่นใส่ถ่ายรูป และด้านหลังที่เป็นเหมือนเต้นท์ นั้นไกด์ท้องถิ่นบอกว่าเมื่อวานเค้ามีจัดงานแต่งที่นี้ด้วยจึงยังไม่ได้เก็บออกไป เสียดายถ้าโชคดีเจองานแต่งคงแหล่มเบย คนที่นี้หน้าตาออกไปทางอินเดียคละๆ กับมองโกล
จุดต่อมาเป็นสะพานระหว่างทาง ซึ่งสร้างความประทับใจกับกลุ่มมเรามากเป็นสะพานธงมนต์ที่แรกที่เจอที่มีความสวยงามเป็นสะพานเก่าๆ ประดับธงต์เน้นมากมาย “สวยงามยามต้องลม”
สายลมอ่อน แสงแดดจาง ภูเขาและปุยเมฆที่กำลังร้องเพลง
น้ำตกจำชื่อไม่ได้ อยู่ส่วน North sikkim (สิกขิมเหนือ) มีทางเดินขึ้นด้านข้างมีหลายชั้นอยู่แต่น้ำมันดูค่อนข้างแห้ง เราจึงชมแค่ปลายทางตรงจุดนี้ กลุ่มเราพักหยุดกินข้าวเทียง ณ จุดนี้
ซาโมซ่า คล้ายๆ กับบ้านเราซึ่งเป็นไส้กล้วยแต่ที่นี้เป็นไส้มันออกเผ็ดเล็กๆ จิ้มกับน้ำจิ้มรสเปรี้ยวคล้ายๆ กับน้ำจิ้มซีฟู้ดราคาไม่แพง สองชิ้นนี้น่าจะ 30 รูปีก็ประมาณ 15 บาทครับ
ห้องน้ำแถวข้างทางค่าเข้า 3 รูปี (1.50 บาท) อันนี้นับวาสภาพกลางๆ ไม่มีกลิ่นครับ แต่แนะนำถ้าผู้ชายเข้าป่าโลดถ้าจะฉี่นะเราเตือนคุณแล้ว ฮ่าๆ
วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่วันหนึ่ง ซึ่งโชคดีมากที่วัดมีงานพอดีมีพระจากหลายๆ วัดมาทำพิธีต่างแตกกันไป เรามาถึงตอนจะเสร็จพิธีพอดีก็เป็นการให้ศลีให้พร เคาะหัว แจกสายศีล
พระกำลังให้พรเป็นศิริมงคล เหมือนกับการเคาะกะหม่อม ไม่เพียงแต่ประชนพระเองก็มารับเช่นกัน
ชาวบ้าน มารอรับขนมของแจก และนำภาชนะมาขอน้ำมนต์เพื่อเป็นศิริมงคล
เด็กๆ ปลื้มปลิ้มด้วยยิ้มเมื่อได้รับของแจก
หลายๆ วัดในสิกขิมที่เราไปจะมีห้องบูชาไฟ จะเป็นแท่นบูชาคล้ายๆ ฐานสูงมาเป็นชั้น 3 ชั้นมีตะเกียงน้ำมันรายล้อมรอบฐานรูปสี่เหลี่ยมผื้นผ้า จะมีคนหรือพระค่อยจุดปละเติมน้ำมันเสมอ
หลังจากนั้นเราออกเดินทางต่อมาเจอกับ สะพานไม้ยาวระหว่างทาง ความกว้างประมาณช่วงรถสร้างความระลึกมากเวลารถข้ามผ่านที่ยากมาก ต้องจอดรอให้ผ่านมาทีละคันเนื่องจาก น้ำหนักและความกว้างสะพานที่จำกัด
เดินทางจยถึงเวลาเย็นเราก็ถึงกัลต๊อกและเข้าไปเก็บกระเป๋าที่พักกันที่ โรงแรม Netuk house gangtok แล้วออกมาเดินเที่ยวตลาดกัน จากที่พักไม่ไกลเดินไปได้ที่ ตลาด MG MARG ซึ่งเป็นตลาดเหมือนย่านหรูท่ามกลางหุบเขาคุณจะไม่เชื่อแน่ถ้าเห็นการเดินทางและบริบทโดยรอบว่าจะมีย่านหรูแบบนี้ในในเมืองเปลลิ่ง ต้นตลาดจะมีรูปปั่นท่านอาตมะคานที อยู่ สังเกตุได้ง่าย ปล.มีบาจา ของบ้านเหมือนบ้านเราด้วยนะฮ่ะ
เค้าว่ายามเย็นตลาด M.G. Marg นี้จะคึกคักเป็นพิเศษแต่อย่ามาวันอังคารนะเค้าหยุด ส่วนวันอื่นๆ เปิดบริการปกติเวลา 10.00-21.00 น. มีทั้งจุดแลกเงิน เสื้อผ้า ร้านกาแฟ ร้านของฝากราคตาถูก ร้านขนม ตลาดมากมายน่าสนใจ ตื่นตาสำหรับขาซ๊อปเลยทีเดียว ทั้งของฝาก สินค้าแบรนด์เนม ตลาด ร้านกาแฟ ที่แลกเงินครบครัน
ร้านตัดผมท้องถิ่น ซึ่งผมชอบมากมีความคลาสิคในตัว และเหมือนว่าที่นี้เวลาตัดผมเค้าจะมีบริการนวดคอให้ด้วยนะครับ เห็นว่าน้ำหนักมือนิใช้ได้เลยทีเดียวจากเค้าเล่าว่า ฮ่าๆๆ
ร้านขายปลา แบบท้องถิ่นที่ยังเห็นได้ในโซนด้านล่างของตลาดนี้ บริเวณนั้นจะมีของฝากพื้นถิ่นขายมากมาย พวกเครื่องหนาวผ้าต่างๆ รวมถึงร้านตัดผมติดๆ กันสามสี่ร้าน ร้านขายยาเพียง 1 ร้าน ที่เหลือร้านค้าครับ เดินสักพักก็มืดกลับเข้าที่พักพักผ่อนเอาแรงต่อครับ
Day 3 วัดรุมเต็ง-แปลลิ่ง
ไฮไลท์ของวันนี้จะเป็นไรไม่ได้นอกจากวัดรุมเต็ก (Rumtek) เป็นวัดศาสนาพุทธที่ใหญ่ที่สุดในสิกขิม ตั้งอยู่บนเนินเข้า 1,550 เมตร จากระดับน้ำทะเล
เราถึงวันนี้ตอนเช้าต้องจอดรถไว้ข้างข้างแล้วเดินขึ้นเนิ่นเล็กน้อยไม่ไกลมาก จากจุดจอดรถ บรรยากาศระหว่างทาง พุทธศาสนิกชนผู้มาสักการะ นิยมหมุนระฆังมานต์เพื่อเป็นศิริมงคล (ตามความเชื่อหมุนหนึ่งรอบเท่ากับการสวดมนต์ 1 รอบ ต้องสังเกตด้วยนะว่าเค้าให้หมุนด้านไหนจะมีลูกศรชี้บอก)
จากทางเดินเข้าวัด ระหว่างข้างทางจะมีร้านขายของที่ระลึก ไว้ค่อยบริการท่องเที่ยวมากมาย และมีส่วนของโรงแรมและร้านอาหารบ้างเล็กน้อย
ร้านขายเครื่องรางและของที่ระลึกที่มีให้เห็นริมทางบริเวณทางเข้าวัด ราคาก็ไม่แพงมาก ต่อได้อีกนิดหน่อย ในส่วนของวัดเองก็มีบริการหนึ่งจุดแต่ของไม่มากเท่าด้านนอกครับ
ก่อนเข้าวัดก็มีทหาร ตรวจกระเปาและร่างกายก่อยและย้ำเรื่องการห้ามถ่ายภาพบริเวณในอาคารวัด และไม่ให้ใช้ลานด้านกลางวัดให้แค่พระและเณรสำหรับประกอบพิธีเท่านั้น มีการตรวจที่เคร่งครัดให้เราเดินได้เพียงบริเวณกำแพงวัดด้านบน เราก็แอบๆ ถ่ายมาได้บ้าง ดังรูปสองสามรูปต่อไปนี้
วัดรุมเต็กที่เห็นปัจจุบันสร้างใหม่เนื่องจากหลังเก่าทรุดโทรมและเสียหายจากแผนดินไหว สร้างเมื่อปี 1961 ในวัดมีสถูปทองซึ่งเป็นที่ปษฐานพระธาตุของกุรุผู้ได้รับการเคารพนับถือและสิ่งศักดิ์สิทธ์ขององค์ การ์มาปาที่ 16 หลายๆ วัดในสิกขิมมักไม่อนุญาติให้ถ่ายภาพภาพในส่วนของวัด ถ่ายได้เพียงภาพนอกเท่านั้น
ทหารยืนคุมเข้ม ภาพในตัวอาคารวัด ขืนถ่ายจริงๆ จะโดนส่องมั้ยเนี่ยๆ ต้องแอบส่องจากห่างๆ อย่างห่วงๆ >//<
[CR] สิกขิม 100 โค้ง 10,000 ความทรงจำ (สิกขิมนครแห่งขุนเขาและสายหมอก)
(สิกขิมนครแห่งขุนเขาและสายหมอก)
สวัสดีครับ ผม Lovegravity traveller จะมาแบ่งปันประสบการ์ณประทับใจจากการเดินทางร่วมทริปกับทีมเพื่อนๆ ที่ได้รับรางวัลจากการประกวดถ่ายภาพกับแคนนอนคือได้ ทริปถ่ายภาพที่สิกขิมประเทศอินเดีย แบ่งเป็นวันทั้งหมด 7 วัน เท่าที่จำความได้ 555 มาร่วมเดินทางไปยังสิกขิมด้วยกับกับเมืองในหุบเขา และเต็มไปด้วยทางโค้งและสายหมอกเหมือนชื่อเลย สิกขิม 100 โค้ง 10,000 ความทรงจำ (สิกขิมนครแห่งขุนเขาและสายหมอก)
ทริปนี้เป็นทริปที่นั้งรถนานมาก หลายร้อยโค้งเลยก็ว่าได้ลัดเลาะตามไหลเขา บนเส้นทางเล็กๆ ที่เรียกว่าผ่านสบายถ้ารถคันเดียวนะ ฮ่าๆ คือมันแคบมาก เรานิตื่นเต้นตลอดทางทุกครั้งที่มีรถสวนมากเลย แต่ก็ได้อรรถรสการเดินทางอีกแบบเพราะมันทำให้เราเรียนรู้ว่า "หลังอุปสรรคเรามักพบความสวยงามเสมอ"
วันที่ 1 บัคโดครา-สิกขิม
เราเดินกันช่วงเดือนมีนาคม ด้วยสายการบิน Druk Air ที่ KB131 จากสุวรรณภูมิสู่เมืองบัคโดครา ใช้เวลาบินประมาณ 3 ชั่วโมง และเวลาที่อินเดียจะช้ากว่าไทย 1 ชั่วโมงครึ่ง สายการบิน Druk air โลโก้จะเป็นรูปมังกร ตรงปีกเครื่องเป็นลายธงชาติของภูฐาน เหมือนจะเป็นสายการบินประจำประเทศภูฐานแต่มีแวะเครื่องที่บัคโดคราจุดหมายของเราด้วยก่อนจะบินต่อไปภูฐาน
เครื่องที่เรานั่งเป็นเครื่องไม่ใหญ่มากขนาดเท่าบินในประเทศบ้านเรา กทม-เชียงใหม่ เลย พนักงานแต่งตัวคล้ายๆ ชุดประจำชาติภูฐาน หน้าตาภูฐานมาเลยออกแนวมองโกลเล็กๆ
อาหารเช้ามื้อแรกต้อนรับการเข้าสู้อินเดียมาแล้ว ผมเลือกคล้ายๆ สปาเกตตี้ซอสขาวเห็ดเป็นมังสาวิรัสนะครับ รสคล้ายๆ คาโบเนร่า แต่รู้สึกคลีนก่าเพราะเป็นมั้ง ฮ่าๆ มีครัวซอง ชา สลัด ของหวานเป็นเค้ก และโยเกิร์ตดัชชี่บ้านเราเนี่ยครับ บวมด้วยความกดอากาศสูงแทบแตกเลย โดยรวมมื้อนี้ให้ 2.5 ดาวครับจาก 5 กลางๆ
เครื่องลงจอดที่สนามบินบัคโดครา รถลากบันไดเทห์เลยเป็นอีแต้น หรือแทรกเตอร์น้อยสีขาวคันเล็กน่ารัก กับพี่แขกหน้าโหดมารอรับ และทางเครื่องก็ประกาศไม่อนุญาติให้ถ่ายรูปที่สนามบินนะครับ เพราะอยู่ติดเขตล่อแหล่ม เหมือนมีแค่กลุ่มเราที่ลงที่สนามบินนี้ คนอื่นเค้าบินต่อไปภูฐานต่อคนที่ลงสนามบินนี้ไม่เยอะครับ แต่ตรวจคนเข้าเมืองนานหน่อย ดูเอกสารไปมาและมึนกับภาษาอังกฤษสำเนียงแขกเร็วจริง แทบจะแร๊บ ฮ่าๆ กระเป๋าผมโดนกากบาทด้วยช๊อกมาเลยให้เปิดค้นด้วยเพราะมีขาตั้งกล้องยาวด้านในเค้านึกว่าปืนมั้งแต่ก็ผ่านมาด้วยดีฮ่ะ พอผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองมาทางแคนนอนก็จะรถ คล้ายๆ แวนมารอรับขึ้นคันละสามคน สะดวกสะบายจริง คนขับเราชื่ออุโมงค์ครับ เป็นคนรัฐดาร์จิลิ่ง นิ่งเงียบเน้นยิ้มครับ
นั่งไปสักพักก็สอบถามคนขับเราบอกว่าตอนนี้เราอยู่เมืองสิริบุรี การจารจรวุ่นวายคับคั้งแตร่ดังตลอดการเดินทาง คนที่นี้มักใช้รถคันเล็กๆ ที่เห็นเยอะๆ จะเป็น TATA และ ฟอร์ด ส่วนรถทรานเฟอร์เมอร์บรรทุกคันใหญ่ๆ เป็น TATA ซะส่วนใหญ่ คนที่นี้ส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู
3) การแต่งตัวของนักเรียนดูเรียบร้อย ที่ข้างทางจะเห็นนักเรียนที่เดินไปและกลับจากโรงเรียนเป็นจำนวนมาก
4) ด้วยระทางที่ขึ้นเขาลงเขา ผู้ร่วมอุดมการ์ณทริปนี้ นักบินโดรนเราไปซะแล้ว 1 รายด้วยอาการเมารถ และได้โอกาศเข้าห้องน้ำระบบธรรมชาติที่นี้การฉี่ข้างทางเป็นเรื่องปกติ เพราะมันสะอาดกว่าห้องน้ำและกลินดีดีเชื่อผมสิ
ถึงจุดพักจุดแรกสะพานใหญ่ที่ประดับด้วยธงมนต์แนวธิเบต ภูฐานมีค่อนข้างเยอะ สร้างความประทับใจแรกกับพวกเรามาก ธงมนต์ สายลม ขุนเขา และการเดินทางได้เริ่มขึ้นต้นแล้ว . . .
Day 2 กัลต๊อก-ตาชิ-M.G. Marg
คืนแรกเราพักกันที่กัลต๊อก โรงแรม Netok วิวสวยมากอยู่สูงสุดในแถบนี้เลย จากโรงแรกตอนเช้าสามารถมองเห็น ยอดเขา Kanchenjunga หมู่ภูเขาน้ำแข็งแสนขี้อายโผล่มาทักทายเราแค่วันแรกๆ ของทริปเท่านั้น แสงแรกยามตกกระทบยอดเขา ออกสีชมพูอ่อนๆ ช่างอ่อนหวานและแสนประทับใจตรึงความทรงจำ
เราเดินทางไปยังจุดชมวิวตาชิ เพื่อชมยอดเขาคันเซนจุงก้า ยอดเขาค่อนข้างมีเฆกมากและอากาศปิดเราเลยอยู่ไม่นานมาก
บนจุดชมวิวตาชิมีบริการให้เช่าชุดพื้นถิ่นใส่ถ่ายรูป และด้านหลังที่เป็นเหมือนเต้นท์ นั้นไกด์ท้องถิ่นบอกว่าเมื่อวานเค้ามีจัดงานแต่งที่นี้ด้วยจึงยังไม่ได้เก็บออกไป เสียดายถ้าโชคดีเจองานแต่งคงแหล่มเบย คนที่นี้หน้าตาออกไปทางอินเดียคละๆ กับมองโกล
จุดต่อมาเป็นสะพานระหว่างทาง ซึ่งสร้างความประทับใจกับกลุ่มมเรามากเป็นสะพานธงมนต์ที่แรกที่เจอที่มีความสวยงามเป็นสะพานเก่าๆ ประดับธงต์เน้นมากมาย “สวยงามยามต้องลม”
สายลมอ่อน แสงแดดจาง ภูเขาและปุยเมฆที่กำลังร้องเพลง
น้ำตกจำชื่อไม่ได้ อยู่ส่วน North sikkim (สิกขิมเหนือ) มีทางเดินขึ้นด้านข้างมีหลายชั้นอยู่แต่น้ำมันดูค่อนข้างแห้ง เราจึงชมแค่ปลายทางตรงจุดนี้ กลุ่มเราพักหยุดกินข้าวเทียง ณ จุดนี้
ซาโมซ่า คล้ายๆ กับบ้านเราซึ่งเป็นไส้กล้วยแต่ที่นี้เป็นไส้มันออกเผ็ดเล็กๆ จิ้มกับน้ำจิ้มรสเปรี้ยวคล้ายๆ กับน้ำจิ้มซีฟู้ดราคาไม่แพง สองชิ้นนี้น่าจะ 30 รูปีก็ประมาณ 15 บาทครับ
ห้องน้ำแถวข้างทางค่าเข้า 3 รูปี (1.50 บาท) อันนี้นับวาสภาพกลางๆ ไม่มีกลิ่นครับ แต่แนะนำถ้าผู้ชายเข้าป่าโลดถ้าจะฉี่นะเราเตือนคุณแล้ว ฮ่าๆ
วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่วันหนึ่ง ซึ่งโชคดีมากที่วัดมีงานพอดีมีพระจากหลายๆ วัดมาทำพิธีต่างแตกกันไป เรามาถึงตอนจะเสร็จพิธีพอดีก็เป็นการให้ศลีให้พร เคาะหัว แจกสายศีล
พระกำลังให้พรเป็นศิริมงคล เหมือนกับการเคาะกะหม่อม ไม่เพียงแต่ประชนพระเองก็มารับเช่นกัน
ชาวบ้าน มารอรับขนมของแจก และนำภาชนะมาขอน้ำมนต์เพื่อเป็นศิริมงคล
เด็กๆ ปลื้มปลิ้มด้วยยิ้มเมื่อได้รับของแจก
หลายๆ วัดในสิกขิมที่เราไปจะมีห้องบูชาไฟ จะเป็นแท่นบูชาคล้ายๆ ฐานสูงมาเป็นชั้น 3 ชั้นมีตะเกียงน้ำมันรายล้อมรอบฐานรูปสี่เหลี่ยมผื้นผ้า จะมีคนหรือพระค่อยจุดปละเติมน้ำมันเสมอ
หลังจากนั้นเราออกเดินทางต่อมาเจอกับ สะพานไม้ยาวระหว่างทาง ความกว้างประมาณช่วงรถสร้างความระลึกมากเวลารถข้ามผ่านที่ยากมาก ต้องจอดรอให้ผ่านมาทีละคันเนื่องจาก น้ำหนักและความกว้างสะพานที่จำกัด
เดินทางจยถึงเวลาเย็นเราก็ถึงกัลต๊อกและเข้าไปเก็บกระเป๋าที่พักกันที่ โรงแรม Netuk house gangtok แล้วออกมาเดินเที่ยวตลาดกัน จากที่พักไม่ไกลเดินไปได้ที่ ตลาด MG MARG ซึ่งเป็นตลาดเหมือนย่านหรูท่ามกลางหุบเขาคุณจะไม่เชื่อแน่ถ้าเห็นการเดินทางและบริบทโดยรอบว่าจะมีย่านหรูแบบนี้ในในเมืองเปลลิ่ง ต้นตลาดจะมีรูปปั่นท่านอาตมะคานที อยู่ สังเกตุได้ง่าย ปล.มีบาจา ของบ้านเหมือนบ้านเราด้วยนะฮ่ะ
เค้าว่ายามเย็นตลาด M.G. Marg นี้จะคึกคักเป็นพิเศษแต่อย่ามาวันอังคารนะเค้าหยุด ส่วนวันอื่นๆ เปิดบริการปกติเวลา 10.00-21.00 น. มีทั้งจุดแลกเงิน เสื้อผ้า ร้านกาแฟ ร้านของฝากราคตาถูก ร้านขนม ตลาดมากมายน่าสนใจ ตื่นตาสำหรับขาซ๊อปเลยทีเดียว ทั้งของฝาก สินค้าแบรนด์เนม ตลาด ร้านกาแฟ ที่แลกเงินครบครัน
ร้านตัดผมท้องถิ่น ซึ่งผมชอบมากมีความคลาสิคในตัว และเหมือนว่าที่นี้เวลาตัดผมเค้าจะมีบริการนวดคอให้ด้วยนะครับ เห็นว่าน้ำหนักมือนิใช้ได้เลยทีเดียวจากเค้าเล่าว่า ฮ่าๆๆ
ร้านขายปลา แบบท้องถิ่นที่ยังเห็นได้ในโซนด้านล่างของตลาดนี้ บริเวณนั้นจะมีของฝากพื้นถิ่นขายมากมาย พวกเครื่องหนาวผ้าต่างๆ รวมถึงร้านตัดผมติดๆ กันสามสี่ร้าน ร้านขายยาเพียง 1 ร้าน ที่เหลือร้านค้าครับ เดินสักพักก็มืดกลับเข้าที่พักพักผ่อนเอาแรงต่อครับ
Day 3 วัดรุมเต็ง-แปลลิ่ง
ไฮไลท์ของวันนี้จะเป็นไรไม่ได้นอกจากวัดรุมเต็ก (Rumtek) เป็นวัดศาสนาพุทธที่ใหญ่ที่สุดในสิกขิม ตั้งอยู่บนเนินเข้า 1,550 เมตร จากระดับน้ำทะเล
เราถึงวันนี้ตอนเช้าต้องจอดรถไว้ข้างข้างแล้วเดินขึ้นเนิ่นเล็กน้อยไม่ไกลมาก จากจุดจอดรถ บรรยากาศระหว่างทาง พุทธศาสนิกชนผู้มาสักการะ นิยมหมุนระฆังมานต์เพื่อเป็นศิริมงคล (ตามความเชื่อหมุนหนึ่งรอบเท่ากับการสวดมนต์ 1 รอบ ต้องสังเกตด้วยนะว่าเค้าให้หมุนด้านไหนจะมีลูกศรชี้บอก)
จากทางเดินเข้าวัด ระหว่างข้างทางจะมีร้านขายของที่ระลึก ไว้ค่อยบริการท่องเที่ยวมากมาย และมีส่วนของโรงแรมและร้านอาหารบ้างเล็กน้อย
ร้านขายเครื่องรางและของที่ระลึกที่มีให้เห็นริมทางบริเวณทางเข้าวัด ราคาก็ไม่แพงมาก ต่อได้อีกนิดหน่อย ในส่วนของวัดเองก็มีบริการหนึ่งจุดแต่ของไม่มากเท่าด้านนอกครับ
ก่อนเข้าวัดก็มีทหาร ตรวจกระเปาและร่างกายก่อยและย้ำเรื่องการห้ามถ่ายภาพบริเวณในอาคารวัด และไม่ให้ใช้ลานด้านกลางวัดให้แค่พระและเณรสำหรับประกอบพิธีเท่านั้น มีการตรวจที่เคร่งครัดให้เราเดินได้เพียงบริเวณกำแพงวัดด้านบน เราก็แอบๆ ถ่ายมาได้บ้าง ดังรูปสองสามรูปต่อไปนี้
วัดรุมเต็กที่เห็นปัจจุบันสร้างใหม่เนื่องจากหลังเก่าทรุดโทรมและเสียหายจากแผนดินไหว สร้างเมื่อปี 1961 ในวัดมีสถูปทองซึ่งเป็นที่ปษฐานพระธาตุของกุรุผู้ได้รับการเคารพนับถือและสิ่งศักดิ์สิทธ์ขององค์ การ์มาปาที่ 16 หลายๆ วัดในสิกขิมมักไม่อนุญาติให้ถ่ายภาพภาพในส่วนของวัด ถ่ายได้เพียงภาพนอกเท่านั้น
ทหารยืนคุมเข้ม ภาพในตัวอาคารวัด ขืนถ่ายจริงๆ จะโดนส่องมั้ยเนี่ยๆ ต้องแอบส่องจากห่างๆ อย่างห่วงๆ >//<