วันนี้... เชื่อว่าหลายท่านที่กำลังติดตามคดีของพระธัมชโย คงลุ้นกันแทบทุกสื่อ..ทุกวัน พอๆ กับที่ฝ่ายกองเชียร์วัดพระธรรมกายเอง แต่กลับต้องลุ้นกว่าตรงที่ นอกจากข่าวสารภายนอกแล้ว..ภายในวัดเองก็ต้องคอยจับตา..ป้องกัน ว่าวันไหนคืนฟ้ามืดหรือแจ่มกระจ่าง จะมีอะไรโรยตัวลงมาจากบนฟ้าหรือใครจะบุกเข้ามาคว้าตัวพระเดชพระคุณไปได้ในที่สุด!
คดีนี้ สิ่งสำคัญที่สุดที่คนทั้งประเทศ ทั้งฝ่ายเชียร์ให้พระรอด...กับอีกฝ่ายคือพระจอด! คงไม่ได้สนใจดูในสาระแห่งคดีว่าท้ายสุดแล้วผลของคดีจะแพ้ชนะกันอย่างไร?
แต่ที่ลุ้นกันขาดใจก็คือไฮไลท์ตอน
"จับ" ต่างหาก !
ลุ้นแค่สองอย่างคือ
"จับแล้วได้ประกันตัว" หรือ
"จับได้แต่แห้วประกันตัว" ซึ่งหากเป็นกรณีหลังก็คงมีหนาวสุดขั้ว!!!
DSI เข้าใจเกมนี้ และรู้ว่าสิ่งที่ทางธัมมชโยต้องการคือ การยื้อเวลาไปให้นานที่สุดเพื่อว่า เกมอาจเปลี่ยนเมื่อเวลาเปลี่ยนไป(มั๊ง!)
การออกข่าวของ DSI ที่จะรีบสรุปสำนวนเพื่อส่งให้พนักงานอัยการภายในสองสัปดาห์ พร้อม ๆ กับการแจ้งให้ทางเจ้าคณะจังหวัดไปเจรจาล้อบบี้ คือสิ่งที่ทำให้ธัมมชโยต้องกลับยอมมาเล่นเกมเดิม คือกลับไป ยอมให้แพทย์ตรวจ แต่ติดว่าต้องเป็น แพทยสภาเท่านั้น ไม่เอาแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ!
แพทยสภา แจ้งว่าถ้าจะไปก็ได้...ต้องมีเงื่อนไขสำคัญข้อหนึ่งคือ
ต้องสามารถนำข้อเท็จจริงในการป่วยนั้นเผยแพร่ได้!
แม้นว่างานหินชั้นแรกอาจมีความเป็นไปได้ว่า ธัมมชโย อาจยอมตามเงื่อนไขของแพทยสภา และเสี่ยงต่อ
"ความลับของอาการป่วยจะถูกเปิดเผย" แต่....
DSI เองก็ถือว่า เป็นการตกลงกันเองระหว่าง ธัมมชโย กับ แพทยสภา DSI ... DSI ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย และผลที่ตรวจจะออกมาดีหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่จะยกไปต่อสู้กันในชั้นศาลเท่านั้น
ดังนั้นสิ่ง DSI บอกว่ามันเลยเวลานั้นมาแล้วก็เพราะ
"หมายจับ" ออกมารอตั้งเด่อยู่แล้ว หาก DSI กลับไปเริ่มกระบวนการต่อรองใหม่แบบที่ออกหมายเรียกนั้น ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อทาง DSI ในด้านการทำงทางกฏหมายเลย
ดังนั้น....ที่ต้องการในห้วงเวลานี้มีเพียง
"จับ" กับ
"ยอมมอบตัว" เท่านั้น!
ของร้อนในมือ!.... และการทำอะไรที่สองมาตรฐานหากยอมมีการยื้อเวลาไป เป็นเงื่อนไขที่ DSI ในยุคนี้เข้าใจ ดังนั้น การรีบสรุปสำนวนส่งให้อัยการคือทางออกที่โล่ง..โปร่ง สบายตัวที่สุดแล้ว
พนักงานอัยการ เมื่อรับสำนวนแล้วก็มีหน้าที่แค่
"รอ" เท่านั้น
และเกมมันถูกบังคับด้วยเวลาที่ว่า ยิ่ง
"รอนาน" โอกาสริบหรี่ของธัมมชโยที่จะได้รับประกันตัวในชั้นศาลก็น้อยลงไปตามนั้น
และพร้อมๆกันคือ เมื่อ
"จับ" ตัวได้แล้ว อัยการเองก็คงไม่อยากถือเผือกร้อนไว้ในมือ ก็ต้องรีบนำตัวผู้ต้องหาส่งฟ้องศาล และเปลี่ยนสถานะจาก
"ผู้ต้องหา" กลายเป็น
"จำเลย" ในที่สุด
เกมต่อรองที่เคยยกหูโทรคุยกันได้เป็นอันจบสิ้น! และชีวิตสมณะเพศจะเปลี่ยนหรือไม่นั้นคงอยู่ที่ศาลสถิตยุติธรรมที่ท่านจะพิจารณาว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่ให้?
กรณีศาลท่านเมตตาให้ประกันตัว ก็เป็นที่ฝ่ายธรรมกายอาจเบาใจหน่อย และก็เตรียมข้อต่อสู้กันต่อไป .... แต่
หากศาลท่านพินิจแล้วว่า หากให้ประกันตัวแล้วโอกาสที่จำเลยจะหลบหนีมีสูง (ซึ่งข้อเท็จจริงคงต้องดูว่าอัยการมีความเห็นว่าควรให้ประกันหรือไม่เหตผลเพียงใดมาประกอบ ฯลฯ) ศาลก็ต้องสั่งให้ควบคุมตัวจำเลยไว้ ซึ่งโดยทฤษฎีอาจมอบหมายให้วัดใดวัดหนึ่งเป็นผู้ควบคุมตัวไว้ในเพศบรรพชิต (อันนี้แทบจะไม่ปรากฏกรณี เพราะขนาดกรณีพระผู้ใหญ่ในอดีตอย่างพระพิมลธรรม ท่านก็ยังต้องถูกสึก) กับอีกกรณีที่พบประจำคือ ให้สละเพศบรรพชิต หรือ
"สึก" แล้วเปลี่ยนที่อยู่ใหม่ไปอยู่
"เรือนจำ"
ดังนั้นเรื่องคดีความโดยเฉพาะ ข้อหารับของโจรและฟอกเงิน เอาเข้าจริง คดีความมันก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร..... ทว่า การถูกสึกต่างหากคือ
"ไฮไลท์" ที่หลายฝ่ายจับจ้องว่า
"โดน" หรือ
"ไม่โดน"
เรื่องนี้....ศิษยานุศิษย์ และไม่ใช่ศิษย์อย่างผม คงต้องลุ้นกันวันต่อวันละครับ.....
แสงริบหรี่ปลายอุโมงค์ของ "ธัมชโย"
วันนี้... เชื่อว่าหลายท่านที่กำลังติดตามคดีของพระธัมชโย คงลุ้นกันแทบทุกสื่อ..ทุกวัน พอๆ กับที่ฝ่ายกองเชียร์วัดพระธรรมกายเอง แต่กลับต้องลุ้นกว่าตรงที่ นอกจากข่าวสารภายนอกแล้ว..ภายในวัดเองก็ต้องคอยจับตา..ป้องกัน ว่าวันไหนคืนฟ้ามืดหรือแจ่มกระจ่าง จะมีอะไรโรยตัวลงมาจากบนฟ้าหรือใครจะบุกเข้ามาคว้าตัวพระเดชพระคุณไปได้ในที่สุด!
คดีนี้ สิ่งสำคัญที่สุดที่คนทั้งประเทศ ทั้งฝ่ายเชียร์ให้พระรอด...กับอีกฝ่ายคือพระจอด! คงไม่ได้สนใจดูในสาระแห่งคดีว่าท้ายสุดแล้วผลของคดีจะแพ้ชนะกันอย่างไร?
แต่ที่ลุ้นกันขาดใจก็คือไฮไลท์ตอน "จับ" ต่างหาก !
ลุ้นแค่สองอย่างคือ "จับแล้วได้ประกันตัว" หรือ "จับได้แต่แห้วประกันตัว" ซึ่งหากเป็นกรณีหลังก็คงมีหนาวสุดขั้ว!!!
DSI เข้าใจเกมนี้ และรู้ว่าสิ่งที่ทางธัมมชโยต้องการคือ การยื้อเวลาไปให้นานที่สุดเพื่อว่า เกมอาจเปลี่ยนเมื่อเวลาเปลี่ยนไป(มั๊ง!)
การออกข่าวของ DSI ที่จะรีบสรุปสำนวนเพื่อส่งให้พนักงานอัยการภายในสองสัปดาห์ พร้อม ๆ กับการแจ้งให้ทางเจ้าคณะจังหวัดไปเจรจาล้อบบี้ คือสิ่งที่ทำให้ธัมมชโยต้องกลับยอมมาเล่นเกมเดิม คือกลับไป ยอมให้แพทย์ตรวจ แต่ติดว่าต้องเป็น แพทยสภาเท่านั้น ไม่เอาแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ!
แพทยสภา แจ้งว่าถ้าจะไปก็ได้...ต้องมีเงื่อนไขสำคัญข้อหนึ่งคือ ต้องสามารถนำข้อเท็จจริงในการป่วยนั้นเผยแพร่ได้!
แม้นว่างานหินชั้นแรกอาจมีความเป็นไปได้ว่า ธัมมชโย อาจยอมตามเงื่อนไขของแพทยสภา และเสี่ยงต่อ "ความลับของอาการป่วยจะถูกเปิดเผย" แต่....
DSI เองก็ถือว่า เป็นการตกลงกันเองระหว่าง ธัมมชโย กับ แพทยสภา DSI ... DSI ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย และผลที่ตรวจจะออกมาดีหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่จะยกไปต่อสู้กันในชั้นศาลเท่านั้น
ดังนั้นสิ่ง DSI บอกว่ามันเลยเวลานั้นมาแล้วก็เพราะ "หมายจับ" ออกมารอตั้งเด่อยู่แล้ว หาก DSI กลับไปเริ่มกระบวนการต่อรองใหม่แบบที่ออกหมายเรียกนั้น ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อทาง DSI ในด้านการทำงทางกฏหมายเลย
ดังนั้น....ที่ต้องการในห้วงเวลานี้มีเพียง "จับ" กับ "ยอมมอบตัว" เท่านั้น!
ของร้อนในมือ!.... และการทำอะไรที่สองมาตรฐานหากยอมมีการยื้อเวลาไป เป็นเงื่อนไขที่ DSI ในยุคนี้เข้าใจ ดังนั้น การรีบสรุปสำนวนส่งให้อัยการคือทางออกที่โล่ง..โปร่ง สบายตัวที่สุดแล้ว
พนักงานอัยการ เมื่อรับสำนวนแล้วก็มีหน้าที่แค่ "รอ" เท่านั้น
และเกมมันถูกบังคับด้วยเวลาที่ว่า ยิ่ง "รอนาน" โอกาสริบหรี่ของธัมมชโยที่จะได้รับประกันตัวในชั้นศาลก็น้อยลงไปตามนั้น
และพร้อมๆกันคือ เมื่อ "จับ" ตัวได้แล้ว อัยการเองก็คงไม่อยากถือเผือกร้อนไว้ในมือ ก็ต้องรีบนำตัวผู้ต้องหาส่งฟ้องศาล และเปลี่ยนสถานะจาก "ผู้ต้องหา" กลายเป็น "จำเลย" ในที่สุด
เกมต่อรองที่เคยยกหูโทรคุยกันได้เป็นอันจบสิ้น! และชีวิตสมณะเพศจะเปลี่ยนหรือไม่นั้นคงอยู่ที่ศาลสถิตยุติธรรมที่ท่านจะพิจารณาว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่ให้?
กรณีศาลท่านเมตตาให้ประกันตัว ก็เป็นที่ฝ่ายธรรมกายอาจเบาใจหน่อย และก็เตรียมข้อต่อสู้กันต่อไป .... แต่
หากศาลท่านพินิจแล้วว่า หากให้ประกันตัวแล้วโอกาสที่จำเลยจะหลบหนีมีสูง (ซึ่งข้อเท็จจริงคงต้องดูว่าอัยการมีความเห็นว่าควรให้ประกันหรือไม่เหตผลเพียงใดมาประกอบ ฯลฯ) ศาลก็ต้องสั่งให้ควบคุมตัวจำเลยไว้ ซึ่งโดยทฤษฎีอาจมอบหมายให้วัดใดวัดหนึ่งเป็นผู้ควบคุมตัวไว้ในเพศบรรพชิต (อันนี้แทบจะไม่ปรากฏกรณี เพราะขนาดกรณีพระผู้ใหญ่ในอดีตอย่างพระพิมลธรรม ท่านก็ยังต้องถูกสึก) กับอีกกรณีที่พบประจำคือ ให้สละเพศบรรพชิต หรือ "สึก" แล้วเปลี่ยนที่อยู่ใหม่ไปอยู่ "เรือนจำ"
ดังนั้นเรื่องคดีความโดยเฉพาะ ข้อหารับของโจรและฟอกเงิน เอาเข้าจริง คดีความมันก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร..... ทว่า การถูกสึกต่างหากคือ "ไฮไลท์" ที่หลายฝ่ายจับจ้องว่า "โดน" หรือ "ไม่โดน"
เรื่องนี้....ศิษยานุศิษย์ และไม่ใช่ศิษย์อย่างผม คงต้องลุ้นกันวันต่อวันละครับ.....