จากข่าว
...นายจตุพร กล่าวต่อว่า เมื่อฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาพร้อมรับทราบข้อกล่าวหาที่กุฏิที่รักษาตัวอยู่ เรื่องเล็กน้อยแบบนี้น่าจบแล้วในขั้นตอนดีเอสไอ เอาแพทย์ที่ดีเอสไปไปตรวจร่างกาย แจ้งข้อกล่าวหา พิมพ์ลายนิ้วมือก็ทำบนเตียงผู้ป่วยได้ ซึ่งเป็นเรื่องเล็กเหมือนกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯได้พูดไว้ และถ้าเปรียบเทียบคดีความกันแล้ว พุทธะอิสระต้องคดีถึง 9 คดี มีถึง 2 คดีต้องโทษประหารชีวิตกับอีก 7 คดีร้ายแรง ใหญ่กว่าคดีที่เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายได้รับอยู่ในขณะนี้ แต่อัยการยังไม่เร่งรีบดำเนินการสั่งฟ้อง...
...ส่วนการอ้างว่าไม่มีหมายค้น จะเข้าไปภายในวัดพระธรรมกายไม่ได้ หากคิดในมุมกลับแล้ว เมื่อวัดเชิญให้เข้าไปแล้วถ้าเล่นเกมพลิกกลับไปแจ้งข้อหาบุกรุก วัดพระธรรมกายจะพังทันที ด้งนั้นดีเอสไอไม่ควรทำให้เป็นเรื่องใหญ่ และพระธัมมชโยจะถูกหรือผิดให้ไปพิสูจน์ตามกระบวนการยุติธรรม
http://www.matichon.co.th/news/151872
ดีเอสไอ ขอถอนหมายจับซะ แล้วไปแจ้งข้อกล่าวหาในวัด ทำเรื่องประกันตัวให้เรียบร้อย
ส่งสำนวนให้อัยการดำเนินการต่อไป หมดหน้าที่ จบเรื่อง ไม่ขัดแย้งแตกแยก
แรงไป หนักไป ขยันเกินเหตุ มันก็มีข้อเปรียบเทียบให้เห็น
แม้จะอ้างข้อกฎหมายได้ แต่ในทางการปกครอง ในทางสังคม ก็ยืดหยุ่นได้
ดีเอสไอ แค่พนักงานสอบสวน ผิดถูก ให้เป็นเรื่องของศาลท่านไป
หากถึงตอนนั้น ไม่ยอมไปศาล ก็จะไม่มีข้ออ้างอีกแล้ว
ถึงขั้นส่งโดรน ใช้คอปเตอร์ มันเกินไป ธัมมชโยไม่ใช่ตอลีบัน ไม่ใช่ไอซิสนะครับ
สงสัยดีเอสไอเมาหมัด อยู่ในภาวะยักตื้นติดกึกยักลึกติดกัก เดินหน้าก็กลัว ถอยก็เกรง
เลยเมาหมัดถึงขึ้นเกิดความคิดใช้โดรน ใช้คอปเตอร์ เหมือนคิดอะไรไม่ออกแล้ว
เขายิ่งจะกลัว ยิ่งจะป้องกัน สถานการณ์ยิ่งจะบานปลาย ภาวะอย่างนี้ ต้องไม้อ่อน ไม่ใช่ไม้แข็ง
ยิ่งพูดกันเซ็งแซ่แบบสงสัยอื้ออึงว่า ดีเอสไอรับใบสั่งจากห้องกระจกมาหรือเปล่า ?
เพลา ๆ ได้แล้วครับ ก่อนจะเลยเถิดไปใหญ่
ทำแค่หน้าที่พนักงานสอบสวนเหอะ
แจ้งข้อกล่าวหา ส่งสำนวนถึงอัยการ หมดหน้าที่ อย่ามากเรื่องเหมือนอยู่ในขั้นตอนชี้ผิดชี้ถูกเลย
อย่าทำตัวเหมือน คตส.
ทางออกมี
เมื่อมี ก็ออกซะ ก่อนจะหาทางออกไม่เจอ
อืมมม.. อันนี้ผมก็เห็นด้วยกับคุณจตุพรนะ ดีเอสไอก็ลด ๆ ธงหน่อยเหอะ เกินไปก็ไม่สวย ทำแค่ตามอำนาจหน้าที่ก็พอ อย่ามากเกิน
...นายจตุพร กล่าวต่อว่า เมื่อฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาพร้อมรับทราบข้อกล่าวหาที่กุฏิที่รักษาตัวอยู่ เรื่องเล็กน้อยแบบนี้น่าจบแล้วในขั้นตอนดีเอสไอ เอาแพทย์ที่ดีเอสไปไปตรวจร่างกาย แจ้งข้อกล่าวหา พิมพ์ลายนิ้วมือก็ทำบนเตียงผู้ป่วยได้ ซึ่งเป็นเรื่องเล็กเหมือนกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯได้พูดไว้ และถ้าเปรียบเทียบคดีความกันแล้ว พุทธะอิสระต้องคดีถึง 9 คดี มีถึง 2 คดีต้องโทษประหารชีวิตกับอีก 7 คดีร้ายแรง ใหญ่กว่าคดีที่เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายได้รับอยู่ในขณะนี้ แต่อัยการยังไม่เร่งรีบดำเนินการสั่งฟ้อง...
...ส่วนการอ้างว่าไม่มีหมายค้น จะเข้าไปภายในวัดพระธรรมกายไม่ได้ หากคิดในมุมกลับแล้ว เมื่อวัดเชิญให้เข้าไปแล้วถ้าเล่นเกมพลิกกลับไปแจ้งข้อหาบุกรุก วัดพระธรรมกายจะพังทันที ด้งนั้นดีเอสไอไม่ควรทำให้เป็นเรื่องใหญ่ และพระธัมมชโยจะถูกหรือผิดให้ไปพิสูจน์ตามกระบวนการยุติธรรม
http://www.matichon.co.th/news/151872
ดีเอสไอ ขอถอนหมายจับซะ แล้วไปแจ้งข้อกล่าวหาในวัด ทำเรื่องประกันตัวให้เรียบร้อย
ส่งสำนวนให้อัยการดำเนินการต่อไป หมดหน้าที่ จบเรื่อง ไม่ขัดแย้งแตกแยก
แรงไป หนักไป ขยันเกินเหตุ มันก็มีข้อเปรียบเทียบให้เห็น
แม้จะอ้างข้อกฎหมายได้ แต่ในทางการปกครอง ในทางสังคม ก็ยืดหยุ่นได้
ดีเอสไอ แค่พนักงานสอบสวน ผิดถูก ให้เป็นเรื่องของศาลท่านไป
หากถึงตอนนั้น ไม่ยอมไปศาล ก็จะไม่มีข้ออ้างอีกแล้ว
ถึงขั้นส่งโดรน ใช้คอปเตอร์ มันเกินไป ธัมมชโยไม่ใช่ตอลีบัน ไม่ใช่ไอซิสนะครับ
สงสัยดีเอสไอเมาหมัด อยู่ในภาวะยักตื้นติดกึกยักลึกติดกัก เดินหน้าก็กลัว ถอยก็เกรง
เลยเมาหมัดถึงขึ้นเกิดความคิดใช้โดรน ใช้คอปเตอร์ เหมือนคิดอะไรไม่ออกแล้ว
เขายิ่งจะกลัว ยิ่งจะป้องกัน สถานการณ์ยิ่งจะบานปลาย ภาวะอย่างนี้ ต้องไม้อ่อน ไม่ใช่ไม้แข็ง
ยิ่งพูดกันเซ็งแซ่แบบสงสัยอื้ออึงว่า ดีเอสไอรับใบสั่งจากห้องกระจกมาหรือเปล่า ?
เพลา ๆ ได้แล้วครับ ก่อนจะเลยเถิดไปใหญ่
ทำแค่หน้าที่พนักงานสอบสวนเหอะ
แจ้งข้อกล่าวหา ส่งสำนวนถึงอัยการ หมดหน้าที่ อย่ามากเรื่องเหมือนอยู่ในขั้นตอนชี้ผิดชี้ถูกเลย
อย่าทำตัวเหมือน คตส.
ทางออกมี
เมื่อมี ก็ออกซะ ก่อนจะหาทางออกไม่เจอ