ถ้าจะนับหนังที่มีคุณภาพด้าน CG ในระดับเพลินตาและสวยงามจนเราแทบอยากจะกระโดดเข้าไปในนั้น The Lord of the ring คืออันดับหนึ่งในใจของผมเสมอมา
.
แน่นอน ผมกำลังจะพูดถึงหนังที่เน้นงาน CG อลังการแบบเดียวกันกับ LOTR นั่นคือ Warcraft
.
สิริความยาวของหนังประกอบกับความสดใหม่ของตัวละครทำให้ระยะเวลาที่หลุดเข้าไปในสมรภูมิของออร์คและมนุษย์ ไม่ยาวนานจนน่าเบื่ออย่างที่คิด
.
หนังว่าด้วยการเปิดเรื่องให้เรารู้ถึงต้นสายปลายเหตุในการสู้รบกันระหว่าง ออร์ค และมนุษย์ ความตายที่กำลังคืบคลานมาถึงดินแดนที่เคยผาสุกของออร์ค เกิดความจำเป็นต้องทิ้งถิ่นที่อยู่มารุกรานโลกมนุษย์
.
ดูพล๊อต Warcraft ไปมาก็พลันนึกถึงพล๊อตของ Pacific Rim ที่ว่าด้วยเหล่าไคจูทะลุประตูมิติมาเพื่อทำลายเผ่าพันธ์มนุษย์และยึดครองโลกเป็นของตน จนเกิดสงครามปะทะกับเยเกอร์หุ่นรบตัวเบ้งที่มนุษย์คิดค้นขึ้น ผิดกันแต่ว่าในเรื่องนี้ทั้งออร์คและมนุษย์นั้น ต้องสู่รบกันประหนึ่งความจำเป็นบังคับ ทั้งที่วิถีชีวิตก็ไม่ได้ต่างกันเท่าใดนัก เพียงแต่มีผู้นำเลวบ้านเมืองของออร์คก็พบความวิบัติล่มสลายได้เช่นกัน
.
สำหรับตัวร้ายใน Warcraft ผมชอบนะ มีความน่ากลัวในระดับที่เรารู้สึกได้ว่า อะไรจะไปโค่นมันลงได้วะ ยิ่งตอนท้ายๆยิ่งมีการปล่อยของ เผยความแข็งแกร่งออกมาข่มกันอีก10เท่า ส่วน 'ดูโรทัน' หัวหน้าออร์คเผ่าฟรอสต์วู้ด ก็เด็ดเดี่ยวจนเราอยากยกให้เป็นพระเอกของเรื่อง มันมีทั้งความรู้สึกเอาใจช่วยปันกันอยู่เนืองๆ อย่างไรก็ตามข้อตำหนิที่ต้องกล่าวก่อนอันดับแรก คือ...
.
บทบาทของมนุษย์ใน Warcraft นั้น ดูช่างมีเพียงหยิบมือ คือในเรื่องปูพื้นจนดูเหมือนองค์กษัตริย์นั้น บัญชาได้ทุกเผ่าพันธ์ุ แต่ความจริงก็มีความขัดแย้งแย่งชิงคึกกรุ่นอยู่ภายใน ตรงจุดนี้ไม่ถูกขยี้ ซ้ำยังขาดหายไป
.
ความสัมพันธ์ ระหว่างโลธาร์ แม่ทัพ และกาโรน่า ลูกครึ่งยักษ์และมนุษย์ ก็เบาบางจนเรารู้สึกว่ามันปุปปับมากเกินไป ตลอดทั้งเรื่องเดินเส้นของหนังแยกออกเป็นสามสาย ผู้พิทักษ์ ออร์ค และมนุษย์
.
โดยทั้งสามสายจะเชื่อมกันไปสู่ปมของมหาสงครามและการแก้เกมส์ระหว่างกันไปมา ซึ่งจุดพลิกผันใน Warcraft ไม่ได้อยู่ที่ความเก่งกาจของตัวร้าย แต่ไปอยู่ที่ ผู้ทรยศเป็นหลัก เราจึงจะได้เห็นพล๊อตที่เต็มไปด้วยความเข้าใจผิด การหักหลัง และการค้นหาตัวเองรวมๆผสมๆกันอยู่ภายใน
.
อาจเพราะ Warcraft มีการคำนึงถึง Details ของ CG ที่เน้นความคมชัดสูง ทำให้รายละเอียดสำคัญๆในบทพูด และการขยายปมของตัวละครหลายตัวถูกละเลยไป กลายเป็นการสร้างปมใหม่ เพื่อดึงคนให้ตามดูภาคต่อเพียงอย่างเดียว
.
โดยสรุปแล้ว Warcraft จีงเป็นหนังที่เหมาะกับการไปดูเพื่อปูพื้นสู่เนื้อหาที่เข้มข้นในเฟสต่อไป แต่ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญคงเป็นรายได้ ซึ่งดูทรงแล้วอาจไปในทางลบมากกว่าบวก อย่างไรก็ตามต้องขอชื่นชมทีมงานCG ที่ปราณีตในความคมชัดของตัวละครฝ่ายออร์คสูง การร่ายเวทย์เฟล และการร่ายเวทย์ของผู้พิทักษ์ที่อยู่ในระดับพอฟัดพอเหวี่ยงกับรุ่นใหญ่ๆที่ยึดสังเวียนมานานแล้วได้อย่างน่าดูน่าเชียร์
.
ผมให้ Warcraft 3.5 / 5 คะแนน
ไปดูแบบใสๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก หรือจดจำชื่อตัวไหนกลับมาบ้านจนครบถ้วน ยกเว้นถ้าคุณเล่มเกมส์อยู่แล้วก็ขอแสดงความยินดีด้วย นี่เป็นหนังเกมส์ที่น่าดูเรื่องหนึ่งเลยทีเดียวครับ หวังว่าจะเห็นพัฒนาการของบทพูด และการขยายปมของตัวละครให้มากกว่านี้ในภาคต่อไป
รีวิว Warcraft : ความหวังครั้งใหม่ จากเรื่องราวในเกมส์สู่หนัง
ถ้าจะนับหนังที่มีคุณภาพด้าน CG ในระดับเพลินตาและสวยงามจนเราแทบอยากจะกระโดดเข้าไปในนั้น The Lord of the ring คืออันดับหนึ่งในใจของผมเสมอมา
.
แน่นอน ผมกำลังจะพูดถึงหนังที่เน้นงาน CG อลังการแบบเดียวกันกับ LOTR นั่นคือ Warcraft
.
สิริความยาวของหนังประกอบกับความสดใหม่ของตัวละครทำให้ระยะเวลาที่หลุดเข้าไปในสมรภูมิของออร์คและมนุษย์ ไม่ยาวนานจนน่าเบื่ออย่างที่คิด
.
หนังว่าด้วยการเปิดเรื่องให้เรารู้ถึงต้นสายปลายเหตุในการสู้รบกันระหว่าง ออร์ค และมนุษย์ ความตายที่กำลังคืบคลานมาถึงดินแดนที่เคยผาสุกของออร์ค เกิดความจำเป็นต้องทิ้งถิ่นที่อยู่มารุกรานโลกมนุษย์
.
ดูพล๊อต Warcraft ไปมาก็พลันนึกถึงพล๊อตของ Pacific Rim ที่ว่าด้วยเหล่าไคจูทะลุประตูมิติมาเพื่อทำลายเผ่าพันธ์มนุษย์และยึดครองโลกเป็นของตน จนเกิดสงครามปะทะกับเยเกอร์หุ่นรบตัวเบ้งที่มนุษย์คิดค้นขึ้น ผิดกันแต่ว่าในเรื่องนี้ทั้งออร์คและมนุษย์นั้น ต้องสู่รบกันประหนึ่งความจำเป็นบังคับ ทั้งที่วิถีชีวิตก็ไม่ได้ต่างกันเท่าใดนัก เพียงแต่มีผู้นำเลวบ้านเมืองของออร์คก็พบความวิบัติล่มสลายได้เช่นกัน
.
สำหรับตัวร้ายใน Warcraft ผมชอบนะ มีความน่ากลัวในระดับที่เรารู้สึกได้ว่า อะไรจะไปโค่นมันลงได้วะ ยิ่งตอนท้ายๆยิ่งมีการปล่อยของ เผยความแข็งแกร่งออกมาข่มกันอีก10เท่า ส่วน 'ดูโรทัน' หัวหน้าออร์คเผ่าฟรอสต์วู้ด ก็เด็ดเดี่ยวจนเราอยากยกให้เป็นพระเอกของเรื่อง มันมีทั้งความรู้สึกเอาใจช่วยปันกันอยู่เนืองๆ อย่างไรก็ตามข้อตำหนิที่ต้องกล่าวก่อนอันดับแรก คือ...
.
บทบาทของมนุษย์ใน Warcraft นั้น ดูช่างมีเพียงหยิบมือ คือในเรื่องปูพื้นจนดูเหมือนองค์กษัตริย์นั้น บัญชาได้ทุกเผ่าพันธ์ุ แต่ความจริงก็มีความขัดแย้งแย่งชิงคึกกรุ่นอยู่ภายใน ตรงจุดนี้ไม่ถูกขยี้ ซ้ำยังขาดหายไป
.
ความสัมพันธ์ ระหว่างโลธาร์ แม่ทัพ และกาโรน่า ลูกครึ่งยักษ์และมนุษย์ ก็เบาบางจนเรารู้สึกว่ามันปุปปับมากเกินไป ตลอดทั้งเรื่องเดินเส้นของหนังแยกออกเป็นสามสาย ผู้พิทักษ์ ออร์ค และมนุษย์
.
โดยทั้งสามสายจะเชื่อมกันไปสู่ปมของมหาสงครามและการแก้เกมส์ระหว่างกันไปมา ซึ่งจุดพลิกผันใน Warcraft ไม่ได้อยู่ที่ความเก่งกาจของตัวร้าย แต่ไปอยู่ที่ ผู้ทรยศเป็นหลัก เราจึงจะได้เห็นพล๊อตที่เต็มไปด้วยความเข้าใจผิด การหักหลัง และการค้นหาตัวเองรวมๆผสมๆกันอยู่ภายใน
.
อาจเพราะ Warcraft มีการคำนึงถึง Details ของ CG ที่เน้นความคมชัดสูง ทำให้รายละเอียดสำคัญๆในบทพูด และการขยายปมของตัวละครหลายตัวถูกละเลยไป กลายเป็นการสร้างปมใหม่ เพื่อดึงคนให้ตามดูภาคต่อเพียงอย่างเดียว
.
โดยสรุปแล้ว Warcraft จีงเป็นหนังที่เหมาะกับการไปดูเพื่อปูพื้นสู่เนื้อหาที่เข้มข้นในเฟสต่อไป แต่ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญคงเป็นรายได้ ซึ่งดูทรงแล้วอาจไปในทางลบมากกว่าบวก อย่างไรก็ตามต้องขอชื่นชมทีมงานCG ที่ปราณีตในความคมชัดของตัวละครฝ่ายออร์คสูง การร่ายเวทย์เฟล และการร่ายเวทย์ของผู้พิทักษ์ที่อยู่ในระดับพอฟัดพอเหวี่ยงกับรุ่นใหญ่ๆที่ยึดสังเวียนมานานแล้วได้อย่างน่าดูน่าเชียร์
.
ผมให้ Warcraft 3.5 / 5 คะแนน
ไปดูแบบใสๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก หรือจดจำชื่อตัวไหนกลับมาบ้านจนครบถ้วน ยกเว้นถ้าคุณเล่มเกมส์อยู่แล้วก็ขอแสดงความยินดีด้วย นี่เป็นหนังเกมส์ที่น่าดูเรื่องหนึ่งเลยทีเดียวครับ หวังว่าจะเห็นพัฒนาการของบทพูด และการขยายปมของตัวละครให้มากกว่านี้ในภาคต่อไป