หาคนเราทุ่มเทให้กับอะไรบางอย่างไปมากมายเชื่อว่าดีแล้วถูกต้องแล้ว
หากเปรียบกับการทำสิ่งต่างๆให้กับคนรัก คนที่เราคิดว่าเค้ารักเราดีกับเรา และเค้าเป็นคนดีอย่างที่สุดในมุมมองเรา
หรือจะเทียบกับการทุ่มเทการทำงานให้กับบริษัทก็ได้ หรือเรื่องการเมือง พรรคการเมือง เพราะผมจะสื่อถึงความเชื่อและศัธทาของคน
การที่คนเราทุ่มเทกับอะไรไป เชื่อว่าหลายๆคนหวังว่าจะมีบางสิ่งย้อนกลับมาหาเรา เราจึงทุ่มเท หรือเป็นดั่งที่เราคิดไว้
แต่หากว่าวันหนึ่ง คนรักเรา บริษัทเรา เกิดไม่เป็นอย่างที่เราหวังและการทุ่มเททั้งหมดที่ให้ทั้งใจมันทำให้เราต้องผิดหวัง
เพราะสิ่งที่เรามองว่าดีมาตลอด มันไม่ใช่อย่างที่เราคิด .... สิ่งยึดเหนี่ยวที่เรายึดมันเป็นเพียงภาพลวงที่เราคิดไปเอง
แฟนมีคนที่เค้ารัก บริษัทเห็นเราเป็นคงหมากหมดประโยชน์แล้วก็ทิ้งไม่สนใจ
จิตใจคนๆนั้นจะเป็นเช่นไร ผมนึกภาพคนอกหักเสียใจ สิ่งที่นึกออกคือ บางคนก็รับสภาพความจริง ทุกข์ไม่นานก็ยืนขึ้นได้
บางคนก็ฝันลมๆแล้งๆว่าเรื่องจริงที่เกิดไม่ใช่ความจริง และอาจจะถึงขั้นหลอกตัวเองต่อไปว่าจริงๆลึกแล้วเค้ายังรักเราอยู่
กลับมาที่ธรรมกาย หากธัมชโยยอมรับผิด(นี่คือสมมุติเอาไม่พูดถึงหลักเหตุผลใดๆ)
คนที่นับถือและยึดถือธรรมกายและพระธัมชโยจะเป็นเช่นไร
แต่สำหรับผมจะเห็นถึงการยึดติดของเหล่าคนนับถือธรรมกาย คงได้เห็นคนที่ร่ำไห้เสียใจ ทั้งที่ยอมรับได้และยอมรับไม่ได้
เหมือนที่เคยเห็นเมื่อยันตระ นิกร หรือเณรคำ หรือเหล่าสาวกการเมืองที่ผิดหวังจากสิ่งที่หวัง
จะเพื่อเหตุอะไรเรื่องอะไรที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลง หลายๆคนมักจะไม่มองถึงความจริงเพราะรับไม่ได้ ยังคงงมงายต่อโดยไม่มีเหตุผล
คนที่ยึดติดธรรมกาย คงไม่ชอบที่ผมพูด ไม่แปลกเพราะหากเค้าเหล่านั้นนิ่งเฉยกับคำว่ากล่าวติเตียนในสิ่งที่เค้ายึดติดได้ นี่สิแปลก
โดยปรกติคนที่เชื่อธรรมกายจะทนไม่ได้ เพราะธรรมกายไม่ได้สอนให้ปล่อยวาง เพราะสิ่งที่พวกเค้ากำลังกระทำคือการยึดติด
พวกเค้ากำลังพยามจะทำทุกอย่างเหนี่ยวรั้งสิ่งที่เค้าได้ทุ่มเทไปเยอะแยะให้มันเป็นอย่างที่เค้าอยากให้เป็น
เค้าก็คงมีความสุขแบบของเค้า สุขแบบหลอกๆ แต่พอสิ่งที่ยึดเหนี่ยวไม่ใช่แบบที่คิด ก็คงได้เห็นทุกข์เมื่อนั้น
หรือจะหลอกตัวเองต่อไปว่าคือสุข ก็สุดแท้ แต่สุดท้ายผลจะออกมาเป็นอย่างไร คนที่นับถือธรรมกายก็ยากที่จะรู้จักการปล่อยวางไม่ยึดติด
ขอพูดถึงธรรมกาย แบบไม่คำนึงเรื่องเหตุผลความถูกต้อง
หากเปรียบกับการทำสิ่งต่างๆให้กับคนรัก คนที่เราคิดว่าเค้ารักเราดีกับเรา และเค้าเป็นคนดีอย่างที่สุดในมุมมองเรา
หรือจะเทียบกับการทุ่มเทการทำงานให้กับบริษัทก็ได้ หรือเรื่องการเมือง พรรคการเมือง เพราะผมจะสื่อถึงความเชื่อและศัธทาของคน
การที่คนเราทุ่มเทกับอะไรไป เชื่อว่าหลายๆคนหวังว่าจะมีบางสิ่งย้อนกลับมาหาเรา เราจึงทุ่มเท หรือเป็นดั่งที่เราคิดไว้
แต่หากว่าวันหนึ่ง คนรักเรา บริษัทเรา เกิดไม่เป็นอย่างที่เราหวังและการทุ่มเททั้งหมดที่ให้ทั้งใจมันทำให้เราต้องผิดหวัง
เพราะสิ่งที่เรามองว่าดีมาตลอด มันไม่ใช่อย่างที่เราคิด .... สิ่งยึดเหนี่ยวที่เรายึดมันเป็นเพียงภาพลวงที่เราคิดไปเอง
แฟนมีคนที่เค้ารัก บริษัทเห็นเราเป็นคงหมากหมดประโยชน์แล้วก็ทิ้งไม่สนใจ
จิตใจคนๆนั้นจะเป็นเช่นไร ผมนึกภาพคนอกหักเสียใจ สิ่งที่นึกออกคือ บางคนก็รับสภาพความจริง ทุกข์ไม่นานก็ยืนขึ้นได้
บางคนก็ฝันลมๆแล้งๆว่าเรื่องจริงที่เกิดไม่ใช่ความจริง และอาจจะถึงขั้นหลอกตัวเองต่อไปว่าจริงๆลึกแล้วเค้ายังรักเราอยู่
กลับมาที่ธรรมกาย หากธัมชโยยอมรับผิด(นี่คือสมมุติเอาไม่พูดถึงหลักเหตุผลใดๆ)
คนที่นับถือและยึดถือธรรมกายและพระธัมชโยจะเป็นเช่นไร
แต่สำหรับผมจะเห็นถึงการยึดติดของเหล่าคนนับถือธรรมกาย คงได้เห็นคนที่ร่ำไห้เสียใจ ทั้งที่ยอมรับได้และยอมรับไม่ได้
เหมือนที่เคยเห็นเมื่อยันตระ นิกร หรือเณรคำ หรือเหล่าสาวกการเมืองที่ผิดหวังจากสิ่งที่หวัง
จะเพื่อเหตุอะไรเรื่องอะไรที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลง หลายๆคนมักจะไม่มองถึงความจริงเพราะรับไม่ได้ ยังคงงมงายต่อโดยไม่มีเหตุผล
คนที่ยึดติดธรรมกาย คงไม่ชอบที่ผมพูด ไม่แปลกเพราะหากเค้าเหล่านั้นนิ่งเฉยกับคำว่ากล่าวติเตียนในสิ่งที่เค้ายึดติดได้ นี่สิแปลก
โดยปรกติคนที่เชื่อธรรมกายจะทนไม่ได้ เพราะธรรมกายไม่ได้สอนให้ปล่อยวาง เพราะสิ่งที่พวกเค้ากำลังกระทำคือการยึดติด
พวกเค้ากำลังพยามจะทำทุกอย่างเหนี่ยวรั้งสิ่งที่เค้าได้ทุ่มเทไปเยอะแยะให้มันเป็นอย่างที่เค้าอยากให้เป็น
เค้าก็คงมีความสุขแบบของเค้า สุขแบบหลอกๆ แต่พอสิ่งที่ยึดเหนี่ยวไม่ใช่แบบที่คิด ก็คงได้เห็นทุกข์เมื่อนั้น
หรือจะหลอกตัวเองต่อไปว่าคือสุข ก็สุดแท้ แต่สุดท้ายผลจะออกมาเป็นอย่างไร คนที่นับถือธรรมกายก็ยากที่จะรู้จักการปล่อยวางไม่ยึดติด