ต้องบอกก่อนเลยว่าเป็นการตั้งกระทู้ครั้งแรก
สืบเนื่องจากใกล้ถึงช่วงวันหยุดยาว (20-21-22 พ.ค. 59 ) ซึ่งในกลุ่มก็ได้วางแผนในการออกเที่ยวในทางภาคอีสาน โดยกำหนดการที่ตั้งไว้คือ วัดป่าภูก้อน จ.อุดรธานี ,พระธาตุพนม จ.นครพนม และภูทอก จ.บึงกาฬ
วัดป่าภูก้อน
พระธาตุพนม
ภูทอก
ได้จัดเตรียมวางแผนกันไว้ดิบดี แต่ว่าพายุเจ้ากรรมดันเข้ามาแทรก ซึ่งกรมอุตุฯ ได้พยากรเอาไว้ว่าจะเกิดพายุฝนกระหน่ำอย่างหนัก จึงทำให้ทริปสลายลงไปในทันที
แต่ว่า....ช้าก่อน อีสานฝนตก เราก็ไปที่อื่นกันก็ได้นี่ จึงได้ทำการค้นหาสถานที่สำรองขึ้นมาแบบสายฟ้าแล่บ จนสุดท้าย ไปตามล่าหมอกหน้าฝนกันดีกว่า
เอาล่ะสิ...จะไปดูหมอกที่ไหนดีล่ะ ดอยอินทนนท์ก็ไกลไป ภูชี้ฟ้ายิ่งไกลกว่า สุดท้ายก็ลงเอยด้วยสถานที่สุดฮิต "ภูเรือ" และ "ภูทับเบิก"
ภูเรือ
ภูทับเบิก
เมื่อได้สถานที่ ก็จัดแจงเตรียมของเตรียมรถ อ้อลืมบอกไป ทริปนี้มีไปกันแค่ คน 2 คน รถ 2 คัน เนื่องจากสมาชิกท่านอื่นติดธุระกันหมด เอาล่ะลุย!!!
กำหนดการณ์คือไปนอนภูเรือก่อน 1 คืน แล้ววิ่งย้อนกลับมานอนบนภูทับเบิกอีก 1 คืน อ้อลืมบอกไป การมาคราวนี้ นอนเต็นท์ล้วนๆ เพื่อเอาบรรยากาศ อิอิ
เช้าศุกร์ 20 พ.ค. 59 เริ่มออกเดินทางตอน 08.00 น. นัดเจอกันปั๊ม ปตท. ม.กรุงเทพ ใช้เส้นทาง สระบุรี ลพบุรี เลี้ยวขวาออกไปทางเพชรบูรณ์ ขับไปเรื่อยๆ ถึงตัวเมืองเพชรบูรณ์เวลาประมาณ เที่ยงกว่าๆ กรมอุตุฯ เชื่อถือได้ดีมากๆ แวะพักกันซักหนอย ร้อนกันจนหลังเปียกชุ่มกันเลยทีเดียว
พักกันจนหายเหนื่อยก็ออกเดินทางกันต่อ มุ่งหน้าสู่เส้น หล่มสัก - ภูเรือ ถนนใหม่ๆ เรียบๆ โค้งซ้าย โค้งขวา เรียกได้ว่านี่แหละคือสวรรค์ของสิงห์นักบิดกันเลยทีเดียว
ขับกันไปขับกันมา อ้าวถึงแล้วซะงั้น "อุทยานแห่งชาติภูเรือ" รออะไรล่ะ ขับขึ้นไปเลย เสบียงมีพร้อมทุกอย่างแล้ว ถึงหน้าด่านจ่ายเงินคนละ 60 บาทเป็นค่าเข้าอุทยาน (คน 40 บาท รถ 20 บาท) เมื่อจ่ายเงินเสร็จสอบถามกับเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับสถานที่กางเต็นท์ "ขับขึ้นไปเลยครับ ไปสอบถามที่ข้างบน" อืม...โอเค ไปถามข้างบนก็ได้ ขณะนั้นเวลาประมาณ บ่าย 4 โมงกว่าๆ เอาวะเวลากำลังดี ก็ขับขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อถึงจุดรับส่งนักท่องเที่ยว เจอเจ้าหน้าที่ประจำจุด 2 คน จึงได้สอบถามไปว่า
ผม : จะกางเต็นท์ตรงไหนได้บ้างครับพี่
จนท. : อ๋อ จุดนี้ห้ามกางเต็นท์นะครับ ต้องออกไปทางซ้าย อีก 1.5 กิโล แต่ว่าช่วงนี้ไม่ใช่หน้าเทศกาล ไม่มีร้านค้า ไม่มีไฟฟ้านะครับ แล้วก็ไม่มีคนด้วย
ผม : ห๊ะ!!! ไม่มีคน (มันก็ใช่ หน้าฝน ไม่ใช่หน้าหนาว ใครที่ไหนจะบ้ามากางเต็นท์กันหน้าฝนฟระ)
จนท.2 : เด๋วๆๆ มีนะ ต่ะกี๊มีลงไปอยู่ 2 คน
ผม: โอ้ววว ดีเลย มีเพื่อนกางเต็นท์แล้ว
พวกผมจึงได้จอดรถ แล้วขึ้นรถของ จนท. เพื่อขึ้นไปชมวิวของภูเรือ ที่ด้านบน (ค่ารถคนละ 10 บาทต่อเที่ยว) ซึ่งก็เป็นอย่างที่ จนท. ได้บอกเอาไว้
เมื่อขึ้นไปถึงด้านบนของภูเรือ คนมาเที่ยวน้อยมากๆ น้อยซะจนเกือบจะเหมือนภูร้าง แต่ทว่านี่แหละคือเสนห์ของการท่องเที่ยวในหน้าฝน "ภูทั้งภูเป็นของเรา"
โล่งมากๆ
ไม่ต้องแย่งกันถ่าย
วิวมุมกว้าง
มาเที่ยวกันแบบ VIP
ไหนก็มาล่ะ เก๊กท่าซะหน่อย
เมื่อลงมาถึงจุดกางเต็นท์ ก็จัดแจงขนสัมภาระลง เพื่อทำการประกอบเต็นท์ ซึ่งการมาคราวนี้ มาแบบจัดเต็ม เอาแบบว่าไม่มีอด ไม่อิ่มไม่นอนกันเลยทีเดียว
ลงมือจัดแจงกางเต็นท์เอาของลงเพื่อเตรียมตัวไปอาบน้ำ
เป็นไง สวยงามตามท้องเรื่อง
ทีนี้ก็มาถึงจุดไคลแม็กซ์ นั่นคือ "การอาบน้ำ" โอเคแหละ อุทยานมีห้องน้ำ มีน้ำให้ แต่ไม่มีไฟฟ้าให้ใช้ เนื่องจากไม่ใช่หน้าเทศกาล ก็ไม่เป็นไร เราเตรียมมาแล้วนี่ ยังไม่มืด อาบน้ำก่อนเลยดีกว่า จัดแจงเตรียมอุปกรณ์เดินตรงเข้าไปที่ห้องน้ำ อื้อหืออออ!!! ไม่ใช่แค่ไม่มีไฟฟ้า แต่ไม่มีคนทำความสะอาดด้วย สภาพแบบว่าเกินบรรยาย เละเทะ สกปรกสุดๆ พยายามเลือกห้องที่โอเคที่สุด ลองเปิดน้ำดู น้ำเย็นดี แต่ว่าแดงมากๆ เปิดทิ้งซักพัก โอเค สีเริ่มจางลง แต่ก็ยังคงสีขุ่นๆ อยู่ "เอาน่า เดินทางมาร้อนๆ เจอน้ำเย็นๆ ก็โอเคแล้ว" (ไม่ได้ถ่ายสภาพห้องน้ำมานะครับ)
เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้ว เตรียมตัวจะดินเนอร์มื้อค่ำ สิ่งที่ไม่คาดฝันก็กำลังจะเกิด ท้องฟ้ามืดครึ้ม พร้อมกับสายฟ้า ที่กำลังก่อตัวอยู่ไกลๆ เอาล่ะสิ แย่แน่ๆ ย้ายที่ดีกว่า ถ้าเกิดฝนตกแล้วมาย้ายทีหลังนี่ไม่สนุกแน่ๆ ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว และในช่วงที่กำลังจะย้ายเต็นท์นั้น ก็มีนักเดินทางเข้ามาหาที่พักพอดี จึงได้ชักชวนให้ไปกางเต็นท์อยู่ในชายคาของศาลาด้วยกัน (อิอิ ไม่เหงาล่ะ มีเพื่อนคุย)
พอกางเต็นท์เสร็จเท่านั้นล่ะ มันก็มาทันที ทั้งลม ทั้งฝน กระหน่ำมาแบบสุดๆ เต็นท์นี่แทบปลิว รอจนลมฝนสงบลง ก็จัดแจงของกิน นั่งดื่มด่ำกับบรรกาศฝนตกพรำๆ เสียงจิ่งหรีด จั๊กจั่นร้องกันระงม
นั่งกินกันจนไม่มีเรื่องจะคุย ก็แยกย้ายกันเข้านอน เสียงขับกล่อมจากธรรมชาติ เสียงฝนตกพรำๆ ลมเย็นๆ พัดวูบ โอยยยย!!!
แต่เอ๊ะ!!! ตอนนี้ฝนตก ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ก็ต้องมีหมอกสิ เย่!!!! ลุ้นๆ กันเลยว่าจะได้เจอทะเลหมอกสมใจมั้ย
*** ความสุขมันมักจะมีความทุกข์ควบคู่กันด้วยเสมอ***
สะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนตี 3 โอ้ยๆๆ ปวดท้อง ท้องเดิน ปุดๆๆๆ เอาล่ะสิ ท้องเสียแน่ๆ ทำไงดีๆ เพื่อนก็หลับสนิท ห้องน้ำก็อยู่ไกล มืดก็มืด มีแต่ไฟฉาย ครึ๊กๆ มาอีกแล้ว โอ้ยยยย ไม่ไหวแล้ว เอาวะ เป็นไงเป็นกัน คว้ามือถือ กดเปิดไฟ เดินลุยฝ่าดงทุ่งหญ้า มุ่งหน้าตรงไปที่ห้องน้ำ โดยไม่สนใจเสียงหรือสิ่งรอบข้าง เมื่อเดินมาถึงห้องน้ำ สาดแสงไฟดูรอบๆ มองไปด้านบน อืมมมม น่าจะปลอดภัย เสียงจิ้งหรีด จั๊กจั่น ก็ร้องกันระงมอยู่นั่นแหละ ไม่คิดจะหลับจะนอนกันบ้างเลยรึไง ...พึ่บ..พึ่บ... เฮ้ยยยย ตัวอะไรวะ ผมรีบสาดแสงไฟตามไป อ้อ ค้างคาว ไม่เอาๆ สมาธิเราอยู่ที่ห้องน้ำ เดินตรงไปที่ห้องที่อาบน้ำเมื่อตอนเย็น เพราะเป็นห้องที่สะอาดที่สุด ส่องไฟเข้าไป โอ้ยยยย แมงอะไรฟะเนี่ย มาอยู่ตรงหน้าประตู ตัวคล้ายๆ แมลงมุม แต่ขางอๆ โค้งๆ ตัวเป็นปล้องๆอวบๆ ขาหน้า 2 ขายาวๆ พริ้วไปพริ้วมา เหมือนหนวดแมลงสาบ ทำไงดีๆ กระโดดข้ามไปทำเป็นไม่สนใจแล้วทำธุระให้เสร็จ....แล้วถ้าเกิดตอนทำธุระแล้วมันหันมากระโจนใส่จะทำยังไง ไม่กรี๊ดลั่นอุทยานเลยหรอ ยอมก็ได้ค๊าบบ เดินไปหาห้องใหม่ก็ได้ค๊าบบบบ สุดท้ายก็จบภาระกิจแบบระทึกสุดๆ
เช้าวันเสาร์ 21 พ.ค. 59 เวลาประมาณ ตี 5 ครึ่ง แสงเริ่มมา แต่ทว่า....หมอกไม่มี อ้าว ทำไมเป็นแบบนี้ ตามปกติมีฝน แล้วก็ต้องมีหมอกสิ ผิดหวังกันไป..
ไม่เป็นไร ผิดหวังที่นี่ ไปลุ้นที่อื่นก็ได้ ก็จัดแจงเก็บของไปตามล่าหมอกกันต่อที่ภูทับเบิกกันดีกว่า ยังดีขาลงยังมีหมอกมาให้เห็นบ้างนิดหน่อย
แต่ไปๆมาๆ ก็เกิดอาการคิดถึงแฟนเอาดื้อๆ เลยคุยกับเพื่อนบอกว่า ภูทับเบิก เราขับขึ้นไปเที่ยวกินข้าวเที่ยง แล้วกลับกันดีกว่าเน๊อะ เพราะมากันแค่ 2 คนมันไม่ค่อยสนุก (ที่จริงคิดถึงแฟน 555)
เมื่อขับมาถึงทางขึ้นภูทับเบิก มองขึ้นไปข้างบน ไม่ผิดหวังจริงๆ โอ้วววว...... หมอกบานเลยยยยย เอาล่ะลุย!!!
ถนนเลข 3
เมื่อมาถึงแล้วก็ต้องขึ้นไปที่จุดชมวิวของภูทับเบิก วิวอลังการมากๆ คนน้อยๆ บรรยากาศแบบ VIP สุดๆ
บรรยากาศตอนเที่ยงวัน
ก่อนกลับก็หาข้าวเที่ยงบนภูกินกันซักหน่อย ขับขึ้นมาเพื่อกินข้าวเที่ยงโดยเฉพาะ 555
ได้เวลากลับล่ะ เวลาตอนนั้นประมาณบ่าย 3 หน่อยๆ ขับลงมาเจอกลุ่มเมฆหมอกพอดี ฟินกันก่อนกลับ
หมอกบางๆ พอให้ได้รู้สึกฟินกันก่อนกลับ กทม.
นี่แหละครับ รีวิวประสบการณ์เล็กๆในการตามล่าหมอกในช่วงหน้าฝนของพวกผม เที่ยวหน้าฝน มีอะไรดีๆไม่แพ้หน้าหนาว ขอบคุณครับ
#FREEDOM RIDER ไปด้วยกัน....ใกล้นิดเดียว
ตามล่าหมอก....ในวันที่ฝนพรำ
สืบเนื่องจากใกล้ถึงช่วงวันหยุดยาว (20-21-22 พ.ค. 59 ) ซึ่งในกลุ่มก็ได้วางแผนในการออกเที่ยวในทางภาคอีสาน โดยกำหนดการที่ตั้งไว้คือ วัดป่าภูก้อน จ.อุดรธานี ,พระธาตุพนม จ.นครพนม และภูทอก จ.บึงกาฬ
วัดป่าภูก้อน
พระธาตุพนม
ภูทอก
ได้จัดเตรียมวางแผนกันไว้ดิบดี แต่ว่าพายุเจ้ากรรมดันเข้ามาแทรก ซึ่งกรมอุตุฯ ได้พยากรเอาไว้ว่าจะเกิดพายุฝนกระหน่ำอย่างหนัก จึงทำให้ทริปสลายลงไปในทันที
แต่ว่า....ช้าก่อน อีสานฝนตก เราก็ไปที่อื่นกันก็ได้นี่ จึงได้ทำการค้นหาสถานที่สำรองขึ้นมาแบบสายฟ้าแล่บ จนสุดท้าย ไปตามล่าหมอกหน้าฝนกันดีกว่า
เอาล่ะสิ...จะไปดูหมอกที่ไหนดีล่ะ ดอยอินทนนท์ก็ไกลไป ภูชี้ฟ้ายิ่งไกลกว่า สุดท้ายก็ลงเอยด้วยสถานที่สุดฮิต "ภูเรือ" และ "ภูทับเบิก"
ภูเรือ
ภูทับเบิก
เมื่อได้สถานที่ ก็จัดแจงเตรียมของเตรียมรถ อ้อลืมบอกไป ทริปนี้มีไปกันแค่ คน 2 คน รถ 2 คัน เนื่องจากสมาชิกท่านอื่นติดธุระกันหมด เอาล่ะลุย!!!
กำหนดการณ์คือไปนอนภูเรือก่อน 1 คืน แล้ววิ่งย้อนกลับมานอนบนภูทับเบิกอีก 1 คืน อ้อลืมบอกไป การมาคราวนี้ นอนเต็นท์ล้วนๆ เพื่อเอาบรรยากาศ อิอิ
เช้าศุกร์ 20 พ.ค. 59 เริ่มออกเดินทางตอน 08.00 น. นัดเจอกันปั๊ม ปตท. ม.กรุงเทพ ใช้เส้นทาง สระบุรี ลพบุรี เลี้ยวขวาออกไปทางเพชรบูรณ์ ขับไปเรื่อยๆ ถึงตัวเมืองเพชรบูรณ์เวลาประมาณ เที่ยงกว่าๆ กรมอุตุฯ เชื่อถือได้ดีมากๆ แวะพักกันซักหนอย ร้อนกันจนหลังเปียกชุ่มกันเลยทีเดียว
พักกันจนหายเหนื่อยก็ออกเดินทางกันต่อ มุ่งหน้าสู่เส้น หล่มสัก - ภูเรือ ถนนใหม่ๆ เรียบๆ โค้งซ้าย โค้งขวา เรียกได้ว่านี่แหละคือสวรรค์ของสิงห์นักบิดกันเลยทีเดียว
ขับกันไปขับกันมา อ้าวถึงแล้วซะงั้น "อุทยานแห่งชาติภูเรือ" รออะไรล่ะ ขับขึ้นไปเลย เสบียงมีพร้อมทุกอย่างแล้ว ถึงหน้าด่านจ่ายเงินคนละ 60 บาทเป็นค่าเข้าอุทยาน (คน 40 บาท รถ 20 บาท) เมื่อจ่ายเงินเสร็จสอบถามกับเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับสถานที่กางเต็นท์ "ขับขึ้นไปเลยครับ ไปสอบถามที่ข้างบน" อืม...โอเค ไปถามข้างบนก็ได้ ขณะนั้นเวลาประมาณ บ่าย 4 โมงกว่าๆ เอาวะเวลากำลังดี ก็ขับขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อถึงจุดรับส่งนักท่องเที่ยว เจอเจ้าหน้าที่ประจำจุด 2 คน จึงได้สอบถามไปว่า
ผม : จะกางเต็นท์ตรงไหนได้บ้างครับพี่
จนท. : อ๋อ จุดนี้ห้ามกางเต็นท์นะครับ ต้องออกไปทางซ้าย อีก 1.5 กิโล แต่ว่าช่วงนี้ไม่ใช่หน้าเทศกาล ไม่มีร้านค้า ไม่มีไฟฟ้านะครับ แล้วก็ไม่มีคนด้วย
ผม : ห๊ะ!!! ไม่มีคน (มันก็ใช่ หน้าฝน ไม่ใช่หน้าหนาว ใครที่ไหนจะบ้ามากางเต็นท์กันหน้าฝนฟระ)
จนท.2 : เด๋วๆๆ มีนะ ต่ะกี๊มีลงไปอยู่ 2 คน
ผม: โอ้ววว ดีเลย มีเพื่อนกางเต็นท์แล้ว
พวกผมจึงได้จอดรถ แล้วขึ้นรถของ จนท. เพื่อขึ้นไปชมวิวของภูเรือ ที่ด้านบน (ค่ารถคนละ 10 บาทต่อเที่ยว) ซึ่งก็เป็นอย่างที่ จนท. ได้บอกเอาไว้
เมื่อขึ้นไปถึงด้านบนของภูเรือ คนมาเที่ยวน้อยมากๆ น้อยซะจนเกือบจะเหมือนภูร้าง แต่ทว่านี่แหละคือเสนห์ของการท่องเที่ยวในหน้าฝน "ภูทั้งภูเป็นของเรา"
โล่งมากๆ
ไม่ต้องแย่งกันถ่าย
วิวมุมกว้าง
มาเที่ยวกันแบบ VIP
ไหนก็มาล่ะ เก๊กท่าซะหน่อย
เมื่อลงมาถึงจุดกางเต็นท์ ก็จัดแจงขนสัมภาระลง เพื่อทำการประกอบเต็นท์ ซึ่งการมาคราวนี้ มาแบบจัดเต็ม เอาแบบว่าไม่มีอด ไม่อิ่มไม่นอนกันเลยทีเดียว
ลงมือจัดแจงกางเต็นท์เอาของลงเพื่อเตรียมตัวไปอาบน้ำ
เป็นไง สวยงามตามท้องเรื่อง
ทีนี้ก็มาถึงจุดไคลแม็กซ์ นั่นคือ "การอาบน้ำ" โอเคแหละ อุทยานมีห้องน้ำ มีน้ำให้ แต่ไม่มีไฟฟ้าให้ใช้ เนื่องจากไม่ใช่หน้าเทศกาล ก็ไม่เป็นไร เราเตรียมมาแล้วนี่ ยังไม่มืด อาบน้ำก่อนเลยดีกว่า จัดแจงเตรียมอุปกรณ์เดินตรงเข้าไปที่ห้องน้ำ อื้อหืออออ!!! ไม่ใช่แค่ไม่มีไฟฟ้า แต่ไม่มีคนทำความสะอาดด้วย สภาพแบบว่าเกินบรรยาย เละเทะ สกปรกสุดๆ พยายามเลือกห้องที่โอเคที่สุด ลองเปิดน้ำดู น้ำเย็นดี แต่ว่าแดงมากๆ เปิดทิ้งซักพัก โอเค สีเริ่มจางลง แต่ก็ยังคงสีขุ่นๆ อยู่ "เอาน่า เดินทางมาร้อนๆ เจอน้ำเย็นๆ ก็โอเคแล้ว" (ไม่ได้ถ่ายสภาพห้องน้ำมานะครับ)
เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้ว เตรียมตัวจะดินเนอร์มื้อค่ำ สิ่งที่ไม่คาดฝันก็กำลังจะเกิด ท้องฟ้ามืดครึ้ม พร้อมกับสายฟ้า ที่กำลังก่อตัวอยู่ไกลๆ เอาล่ะสิ แย่แน่ๆ ย้ายที่ดีกว่า ถ้าเกิดฝนตกแล้วมาย้ายทีหลังนี่ไม่สนุกแน่ๆ ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว และในช่วงที่กำลังจะย้ายเต็นท์นั้น ก็มีนักเดินทางเข้ามาหาที่พักพอดี จึงได้ชักชวนให้ไปกางเต็นท์อยู่ในชายคาของศาลาด้วยกัน (อิอิ ไม่เหงาล่ะ มีเพื่อนคุย)
พอกางเต็นท์เสร็จเท่านั้นล่ะ มันก็มาทันที ทั้งลม ทั้งฝน กระหน่ำมาแบบสุดๆ เต็นท์นี่แทบปลิว รอจนลมฝนสงบลง ก็จัดแจงของกิน นั่งดื่มด่ำกับบรรกาศฝนตกพรำๆ เสียงจิ่งหรีด จั๊กจั่นร้องกันระงม
นั่งกินกันจนไม่มีเรื่องจะคุย ก็แยกย้ายกันเข้านอน เสียงขับกล่อมจากธรรมชาติ เสียงฝนตกพรำๆ ลมเย็นๆ พัดวูบ โอยยยย!!!
แต่เอ๊ะ!!! ตอนนี้ฝนตก ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ก็ต้องมีหมอกสิ เย่!!!! ลุ้นๆ กันเลยว่าจะได้เจอทะเลหมอกสมใจมั้ย
*** ความสุขมันมักจะมีความทุกข์ควบคู่กันด้วยเสมอ***
สะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนตี 3 โอ้ยๆๆ ปวดท้อง ท้องเดิน ปุดๆๆๆ เอาล่ะสิ ท้องเสียแน่ๆ ทำไงดีๆ เพื่อนก็หลับสนิท ห้องน้ำก็อยู่ไกล มืดก็มืด มีแต่ไฟฉาย ครึ๊กๆ มาอีกแล้ว โอ้ยยยย ไม่ไหวแล้ว เอาวะ เป็นไงเป็นกัน คว้ามือถือ กดเปิดไฟ เดินลุยฝ่าดงทุ่งหญ้า มุ่งหน้าตรงไปที่ห้องน้ำ โดยไม่สนใจเสียงหรือสิ่งรอบข้าง เมื่อเดินมาถึงห้องน้ำ สาดแสงไฟดูรอบๆ มองไปด้านบน อืมมมม น่าจะปลอดภัย เสียงจิ้งหรีด จั๊กจั่น ก็ร้องกันระงมอยู่นั่นแหละ ไม่คิดจะหลับจะนอนกันบ้างเลยรึไง ...พึ่บ..พึ่บ... เฮ้ยยยย ตัวอะไรวะ ผมรีบสาดแสงไฟตามไป อ้อ ค้างคาว ไม่เอาๆ สมาธิเราอยู่ที่ห้องน้ำ เดินตรงไปที่ห้องที่อาบน้ำเมื่อตอนเย็น เพราะเป็นห้องที่สะอาดที่สุด ส่องไฟเข้าไป โอ้ยยยย แมงอะไรฟะเนี่ย มาอยู่ตรงหน้าประตู ตัวคล้ายๆ แมลงมุม แต่ขางอๆ โค้งๆ ตัวเป็นปล้องๆอวบๆ ขาหน้า 2 ขายาวๆ พริ้วไปพริ้วมา เหมือนหนวดแมลงสาบ ทำไงดีๆ กระโดดข้ามไปทำเป็นไม่สนใจแล้วทำธุระให้เสร็จ....แล้วถ้าเกิดตอนทำธุระแล้วมันหันมากระโจนใส่จะทำยังไง ไม่กรี๊ดลั่นอุทยานเลยหรอ ยอมก็ได้ค๊าบบ เดินไปหาห้องใหม่ก็ได้ค๊าบบบบ สุดท้ายก็จบภาระกิจแบบระทึกสุดๆ
เช้าวันเสาร์ 21 พ.ค. 59 เวลาประมาณ ตี 5 ครึ่ง แสงเริ่มมา แต่ทว่า....หมอกไม่มี อ้าว ทำไมเป็นแบบนี้ ตามปกติมีฝน แล้วก็ต้องมีหมอกสิ ผิดหวังกันไป..
ไม่เป็นไร ผิดหวังที่นี่ ไปลุ้นที่อื่นก็ได้ ก็จัดแจงเก็บของไปตามล่าหมอกกันต่อที่ภูทับเบิกกันดีกว่า ยังดีขาลงยังมีหมอกมาให้เห็นบ้างนิดหน่อย
แต่ไปๆมาๆ ก็เกิดอาการคิดถึงแฟนเอาดื้อๆ เลยคุยกับเพื่อนบอกว่า ภูทับเบิก เราขับขึ้นไปเที่ยวกินข้าวเที่ยง แล้วกลับกันดีกว่าเน๊อะ เพราะมากันแค่ 2 คนมันไม่ค่อยสนุก (ที่จริงคิดถึงแฟน 555)
เมื่อขับมาถึงทางขึ้นภูทับเบิก มองขึ้นไปข้างบน ไม่ผิดหวังจริงๆ โอ้วววว...... หมอกบานเลยยยยย เอาล่ะลุย!!!
ถนนเลข 3
เมื่อมาถึงแล้วก็ต้องขึ้นไปที่จุดชมวิวของภูทับเบิก วิวอลังการมากๆ คนน้อยๆ บรรยากาศแบบ VIP สุดๆ
บรรยากาศตอนเที่ยงวัน
ก่อนกลับก็หาข้าวเที่ยงบนภูกินกันซักหน่อย ขับขึ้นมาเพื่อกินข้าวเที่ยงโดยเฉพาะ 555
ได้เวลากลับล่ะ เวลาตอนนั้นประมาณบ่าย 3 หน่อยๆ ขับลงมาเจอกลุ่มเมฆหมอกพอดี ฟินกันก่อนกลับ
หมอกบางๆ พอให้ได้รู้สึกฟินกันก่อนกลับ กทม.
นี่แหละครับ รีวิวประสบการณ์เล็กๆในการตามล่าหมอกในช่วงหน้าฝนของพวกผม เที่ยวหน้าฝน มีอะไรดีๆไม่แพ้หน้าหนาว ขอบคุณครับ
#FREEDOM RIDER ไปด้วยกัน....ใกล้นิดเดียว