รอยเตอร์ - สหรัฐฯ และเวียดนาม ได้ลงนามข้อตกลงกันในวันนี้ (24) ที่อนุญาตให้หน่วยสันติภาพสหรัฐอเมริกา (Peace Corps) ปฏิบัติงานในประเทศเป็นครั้งแรก
การลงนามข้อตกลงมีขึ้นในระหว่างการเยือนเวียดนามครั้งประวัติศาสตร์ของประธานาธิบดีบารัค โอบามา หลังสองประเทศเจรจามานานกว่า 10 ปี ในการจัดตั้งการดำเนินงานของหน่วยสันติภาพในเวียดนาม
โครงการที่คาดว่าจะเริ่มต้นขึ้นในอีก 2 ปีข้างหน้า จะอนุญาตให้อาสาสมัครของหน่วย สอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนต่างๆ ของ 2 เมืองใหญ่ของประเทศ คือ กรุงฮานอย และนครโฮจิมินห์ แคโรลีน เฮสเลอร์-แรดเล็ต ผู้อำนวยการพีซคอร์ป ที่ร่วมลงนามกับฝ่าม กว่าง วีง ทูตเวียดนามประจำสหรัฐฯ กล่าว
จอห์น แคร์รี่ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่ร่วมในพิธีลงนามด้วยนั้น กล่าวว่า ข้อตกลงเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ระดับปกติระหว่างสหรัฐฯ และเวียดนาม
“เป็นเวลากว่า 20 ปี ในตอนนี้เรามีสิ่งที่เรียกว่าความสัมพันธ์ระดับปกติ การที่พีซคอร์ปสามารถดำเนินการได้ การที่คนหนุ่มสาวชาวอเมริกันเดินทางมาที่นี่ ที่จะสามารถสอนภาษาอังกฤษในกรุงฮานอย และนครโฮจิมินห์ สิ่งเหล่านี้คือขั้นตอนถัดไปในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และเวียดนาม” แคร์รี่ กล่าว
http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9590000051957
เวียดนามอนุญาตสหรัฐฯ ตั้งหน่วยสันติภาพในประเทศเป็นครั้งแรก
การลงนามข้อตกลงมีขึ้นในระหว่างการเยือนเวียดนามครั้งประวัติศาสตร์ของประธานาธิบดีบารัค โอบามา หลังสองประเทศเจรจามานานกว่า 10 ปี ในการจัดตั้งการดำเนินงานของหน่วยสันติภาพในเวียดนาม
โครงการที่คาดว่าจะเริ่มต้นขึ้นในอีก 2 ปีข้างหน้า จะอนุญาตให้อาสาสมัครของหน่วย สอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนต่างๆ ของ 2 เมืองใหญ่ของประเทศ คือ กรุงฮานอย และนครโฮจิมินห์ แคโรลีน เฮสเลอร์-แรดเล็ต ผู้อำนวยการพีซคอร์ป ที่ร่วมลงนามกับฝ่าม กว่าง วีง ทูตเวียดนามประจำสหรัฐฯ กล่าว
จอห์น แคร์รี่ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่ร่วมในพิธีลงนามด้วยนั้น กล่าวว่า ข้อตกลงเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ระดับปกติระหว่างสหรัฐฯ และเวียดนาม
“เป็นเวลากว่า 20 ปี ในตอนนี้เรามีสิ่งที่เรียกว่าความสัมพันธ์ระดับปกติ การที่พีซคอร์ปสามารถดำเนินการได้ การที่คนหนุ่มสาวชาวอเมริกันเดินทางมาที่นี่ ที่จะสามารถสอนภาษาอังกฤษในกรุงฮานอย และนครโฮจิมินห์ สิ่งเหล่านี้คือขั้นตอนถัดไปในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และเวียดนาม” แคร์รี่ กล่าว
http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9590000051957