ผมเคยงงกับคำพูดของพี่แอ๊งค์ (พี่ที่เดินทางไปด้วยกันในทริปนี้) ที่มักจะย้ำกับผมตลอดเวลาว่า “จุดหมายปลายทางของเราอาจจะไม่ใช่ที่ที่สวยที่สุด” แต่พอผมมาขับรถเที่ยวในทริปแบบนี้มันก็ทำให้ผมเข้าใจแบบหมดข้อสงสัยไปเลย
ถนนทุกๆ เส้นที่เราขับผ่าน หมู่บ้านเล็กใหญ่ทุกๆ หมู่บ้านที่เราแวะ มันคือเสน่ห์และความทรงจำอันสวยงามแบบที่ไม่น่าจะมีกล้องถ่ายภาพอะไรที่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ดีเท่ากับได้มาเห็นเอง และคงไม่มีคำพูดใดๆ ที่จะอธิบายหรือบรรยายให้เข้าใจถึงความงดงามของมันได้
เข้าสู่เช้าของวันพฤหัส 7 และก็เป็นการเดินทางวันที่ 6 ของพวกเราแล้ว วันนี้หลังจากที่รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมเสร็จเราก็ลากกระเป๋าไปยังลานจอดรถที่อยู่ไม่ห่างจากโรงแรมนัก ตอนที่แล้วลืมบอกไปครับว่าโรงแรมของเราที่นี่ไม่มีที่จอดรถ เราเลยต้องไปจอดที่ลานจอดรถสาธารณะซึ่งห่างจากที่พักเราแค่ประมาณ 150 เมตรเอง ซึ่งค่าที่จอดรถจะมีหลายแบบให้เลือกครับ และแบบที่เหมาะกับของเราคือแบบจอด 3 วันอยู่ที่ 15 ปอนด์ ซึ่งที่จอดรถที่นี่มีหลายแห่งให้เลือกครับ ดูว่าตรงไหนใกล้ที่พักกว่ากันก็จอดที่นั่น ราคาไม่ต่างกัน
ก่อนจาก
Lake District ไป ผมขอฝากภาพสวยๆ ของทะเลสาป
Bowness หน่อยนะครับ
สำหรับคนที่ยังไม่ได้ดูตั้งแต่ต้นด้านล่างนี้คือ Link ไปยังตอนต้นๆ นะครับ
ตอนที่1:
http://ppantip.com/topic/35164936
ตอนที่2:
http://ppantip.com/topic/35171198
ตอนที่3:
http://ppantip.com/topic/35180656
รุปด้านล่างนี้ก็เป็นมื้อเช้าที่ทางโรงแรมจัดให้ครับ ขอตุนอาหารใส่ท้องก่อนนะครับ
ท้องอิ่มแล้วคลาวนี้เรามาดูเส้นทางกันครับ วันนี้เราจะขับกันไกลนิดนึงนะครับ ระยะทางรวมๆ แล้วน่าจะอยู่ที่ประมาณ สามร้อยกว่ากิโล
สถานที่แรกที่เราจะไปแวะดูคือ สถานีรถไป
Haverthwaite ที่นี่จะมีรถไฟแบบไอน้ำซึ่งใช้ถ่านหินจริงๆต้มน้ำอยู่เลยครับ มีทั้งหมด 3 สถานีและมีระยะทางเพียงแค่ 5.1 กิโลเมตร ซึ่งในรถไฟมีทั้งนักท่องเที่ยวและเด็กๆ ที่พ่อแม่พามาเที่ยวเต็มเลยครับ เห็นสีหน้าและรอยยิ้มของเด็กๆ แล้วรู้เลยว่าเค้าตื่นเต้นกันแค่ไหน เห็นแล้วก็อยากกลับไปเป็นเด็กอีกซักรอบ
ไปดูรูปกันครับ
รูปด้านล่างคือกองถ่านหินที่เอามาใช้กับรถไปขบวนนี้ครับ
หลังจากนั้นเราก็ขับรถออกมุ่งหน้าสู่จุดหมายถัดไปคือเมือง
Carlisle เราน่าจะไปถึงที่นั่นประมาณเที่ยงซึ่งก็จะได้เวลาอาหารพอดี เหมือนที่ผมเกริ่นไว้ตอนต้นนะครับว่าระหว่างทางมันสวยมาก งั้นผมก็ขอลงรูปต่อเลยละกัน
จะบอกว่าเราแทบจะจอดถ่ายรูปกันทุกๆ สิบนาทีเลย
เพราะเส้นทางมันสุดยอดมากๆ แถมอากาศข้างนอกก็สดชื่นสุดๆ ออ ลืมบอกว่าวันนี้อุณหภูมิลดลงไปอีกนิดนะครับ ตอนนี้เหลือแค่ประมาณไม่เกิน 4-5 องศาแถมมีลมโชยอ่อนๆ นำเอากลิ่นหอมของหญ้าสดมาเป็นระยะๆ
เส้นทางที่เราเลือกจะสลับๆ กันไปครับ บางช่วงเราจะเลือกวิ่งบน Motor Way ซึ่งจะทำความเร็วได้มากกว่าแต่จะไม่ค่อยเห็นทิวทัศน์มากนัก แต่บางช่วงเราจะเลือกออกนอกเส้นทางครับ ซึ่งก่อนออกก็จะต้องดูในแผนที่ก่อนว่าสามารถกลับเข้าสู่ทางหลักได้หรือมีเส้นทางเชื่อมโยงไปถึงที่ได้ ซึ่งเส้นทางแบบนี้จะสวยกว่ามากครับ
ในที่สุดเราก็มาถึงที่เมือง
Carlisle กันแล้วครับ แต่จะว่าไปเมืองนี้ก็เป็นเมืองที่เงียบมากและก็ดูแปลกๆ สำหรับผมเลย อย่างที่บอกนะครับว่าเราจะแวะที่เมืองนี้เพียงแป๊บเดียวคือแค่หาอาหารกลางวันกิน
ที่ที่เราจอดรถนั้นติดกับ Carlisle castle และที่สำคัญเราจะต้องเดินผ่านป้อมปราการแห่งนี้เพื่อที่จะเข้าไปในตัวเมืองครับ
ที่เห็นอยู่ฝั่งตรงข้ามนั้นก็คือตัวเมืองที่เราจะเดินไปกันนะครับ แต่จากตรงนี้เราต้องเดินลอดอุโมงค์เพื่อข้ามถนนนะครับ เห็นถนนเล็กๆ แบบนี้เค้าก็ไม่อนุญาติให้เราวิ่งข้ามนะจะบอกให้ อิอิอิ
หลังจากที่เดินลอดลงอุโมงค์มาเราก็มาเจออันนี้เลยครับ เป็นก้อนหินแปลกๆ ที่เต็มไปด้วยภาษาแปลกๆ ซึ่งพี่แอ๊งค์ได้บอกกับเราว่าภาษาที่เห็นเป็นภาษาอังกฤษโบราณ กล้อนหินก้อนนี้คือก้อนหินแหล่งการสาปแช่งครับ (แอบน่ากลัวตั้งแต่ทางเข้าเมืองเลยทีเดียว)
“The Cursing Stone at Millennium Bridge, Subway in Carlise”
พี่เอ๋ขอไปยืนโพสต์ที่กับก้อนหิน (ตอนนั้นยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่หลังจากที่ไปยืนอ่านแล้วพี่แกถึงกับขนแขนชันเลยทีเดียว 555) เท่าที่พอจะจับใจความได้ดูเหมือนคนที่ทำก้อนหินอันนี้ทำเพื่อสาปแช่งศัตรูที่เข้ามาบุกทำลายเมืองและขโมยเครื่องมาทำมาหากินของพวกเค้า (หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ) ในสมัยที่โรมันเรืองอำนาจ
รูปด้านล่างจะเป็นอุปการณ์การเกษตรของพวกเค้าตั้งแต่สมัยโรมันครับ
เอาหละ เราไปเดินดูตัวเมืองกันครับ
ไม่รู้ว่าจะมีใครคิดเหมือนผมไหม แต่ผมว่าเมืองนี้ทำให้ผมรู้สึกขนลุกจริงๆ เอาหละเราน่าจะได้เวลาออกจากเมืองกันซักที (แอบดีใจ 55555)
คืนนี้เราจะไปพักกันแถวๆ
Greenock ครับ ที่นี่เป็นเมืองอุตสาหกรรมและเป็นเมืองท่าขนส่งสินค้าทะเลที่ใหญ่ที่สุดของสก็อตแลนด์ พนักงานที่โรงแรมเล่าให้เราฟังว่าที่ท่าเรือของเมืองนี้แหละเป็นที่ที่ส่งชาวสก็อตที่ต้องการเดินทางไปอเมริกาและเป็นที่รับส่งสินค้าจากต่างประเทศ (พนักงานน่ารักและเป็นกันเองมากครับ เธอตลกมากผมว่าเธอสามารถเปลี่ยนอาชีพไปเป็น Entertainer ได้เลย)
เราไปดูรูปบริเวณโรงแรมของเรากันครับ โรงแรมเราอยู่ติดกับทะเลเลยครับ และติดกับ custom ด้วย
จะว่าไปตั้งแต่เดินทางมาทั่วเกาะอังกฤษ คงจะเป็นที่นี่เนี่ยแหละที่ผมฟังแทบไม่ออกว่าเค้าพูดอะไรกัน คือผมต้องขอให้พวกเค้าพูดซ้ำตลอดเลยเพราะการที่ฟังไม่ออก บางครั้งถึงกับต้องให้ภาษามือกันเลยทีเดียว
ตอนต่อไปเราจะไปที่
Loch Lomond กันนะครับ อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับ อีกแค่ 2 ตอนก็จะถึง
Inverness แล้วครับ และหลังจาก
Inverness เราจะบินกลับไป
London กันครับ
ขับรถเที่ยวอังกฤษ จากลอนดอนถึงอินเวอร์เนสส์ (ตอนที่4: จาก Lake District ไป Greenock, Scotland)
ถนนทุกๆ เส้นที่เราขับผ่าน หมู่บ้านเล็กใหญ่ทุกๆ หมู่บ้านที่เราแวะ มันคือเสน่ห์และความทรงจำอันสวยงามแบบที่ไม่น่าจะมีกล้องถ่ายภาพอะไรที่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ดีเท่ากับได้มาเห็นเอง และคงไม่มีคำพูดใดๆ ที่จะอธิบายหรือบรรยายให้เข้าใจถึงความงดงามของมันได้
เข้าสู่เช้าของวันพฤหัส 7 และก็เป็นการเดินทางวันที่ 6 ของพวกเราแล้ว วันนี้หลังจากที่รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมเสร็จเราก็ลากกระเป๋าไปยังลานจอดรถที่อยู่ไม่ห่างจากโรงแรมนัก ตอนที่แล้วลืมบอกไปครับว่าโรงแรมของเราที่นี่ไม่มีที่จอดรถ เราเลยต้องไปจอดที่ลานจอดรถสาธารณะซึ่งห่างจากที่พักเราแค่ประมาณ 150 เมตรเอง ซึ่งค่าที่จอดรถจะมีหลายแบบให้เลือกครับ และแบบที่เหมาะกับของเราคือแบบจอด 3 วันอยู่ที่ 15 ปอนด์ ซึ่งที่จอดรถที่นี่มีหลายแห่งให้เลือกครับ ดูว่าตรงไหนใกล้ที่พักกว่ากันก็จอดที่นั่น ราคาไม่ต่างกัน
ก่อนจาก Lake District ไป ผมขอฝากภาพสวยๆ ของทะเลสาป Bowness หน่อยนะครับ
สำหรับคนที่ยังไม่ได้ดูตั้งแต่ต้นด้านล่างนี้คือ Link ไปยังตอนต้นๆ นะครับ
ตอนที่1: http://ppantip.com/topic/35164936
ตอนที่2: http://ppantip.com/topic/35171198
ตอนที่3: http://ppantip.com/topic/35180656
รุปด้านล่างนี้ก็เป็นมื้อเช้าที่ทางโรงแรมจัดให้ครับ ขอตุนอาหารใส่ท้องก่อนนะครับ
ท้องอิ่มแล้วคลาวนี้เรามาดูเส้นทางกันครับ วันนี้เราจะขับกันไกลนิดนึงนะครับ ระยะทางรวมๆ แล้วน่าจะอยู่ที่ประมาณ สามร้อยกว่ากิโล
สถานที่แรกที่เราจะไปแวะดูคือ สถานีรถไป Haverthwaite ที่นี่จะมีรถไฟแบบไอน้ำซึ่งใช้ถ่านหินจริงๆต้มน้ำอยู่เลยครับ มีทั้งหมด 3 สถานีและมีระยะทางเพียงแค่ 5.1 กิโลเมตร ซึ่งในรถไฟมีทั้งนักท่องเที่ยวและเด็กๆ ที่พ่อแม่พามาเที่ยวเต็มเลยครับ เห็นสีหน้าและรอยยิ้มของเด็กๆ แล้วรู้เลยว่าเค้าตื่นเต้นกันแค่ไหน เห็นแล้วก็อยากกลับไปเป็นเด็กอีกซักรอบ ไปดูรูปกันครับ
รูปด้านล่างคือกองถ่านหินที่เอามาใช้กับรถไปขบวนนี้ครับ
หลังจากนั้นเราก็ขับรถออกมุ่งหน้าสู่จุดหมายถัดไปคือเมือง Carlisle เราน่าจะไปถึงที่นั่นประมาณเที่ยงซึ่งก็จะได้เวลาอาหารพอดี เหมือนที่ผมเกริ่นไว้ตอนต้นนะครับว่าระหว่างทางมันสวยมาก งั้นผมก็ขอลงรูปต่อเลยละกัน
จะบอกว่าเราแทบจะจอดถ่ายรูปกันทุกๆ สิบนาทีเลย เพราะเส้นทางมันสุดยอดมากๆ แถมอากาศข้างนอกก็สดชื่นสุดๆ ออ ลืมบอกว่าวันนี้อุณหภูมิลดลงไปอีกนิดนะครับ ตอนนี้เหลือแค่ประมาณไม่เกิน 4-5 องศาแถมมีลมโชยอ่อนๆ นำเอากลิ่นหอมของหญ้าสดมาเป็นระยะๆ
เส้นทางที่เราเลือกจะสลับๆ กันไปครับ บางช่วงเราจะเลือกวิ่งบน Motor Way ซึ่งจะทำความเร็วได้มากกว่าแต่จะไม่ค่อยเห็นทิวทัศน์มากนัก แต่บางช่วงเราจะเลือกออกนอกเส้นทางครับ ซึ่งก่อนออกก็จะต้องดูในแผนที่ก่อนว่าสามารถกลับเข้าสู่ทางหลักได้หรือมีเส้นทางเชื่อมโยงไปถึงที่ได้ ซึ่งเส้นทางแบบนี้จะสวยกว่ามากครับ
ในที่สุดเราก็มาถึงที่เมือง Carlisle กันแล้วครับ แต่จะว่าไปเมืองนี้ก็เป็นเมืองที่เงียบมากและก็ดูแปลกๆ สำหรับผมเลย อย่างที่บอกนะครับว่าเราจะแวะที่เมืองนี้เพียงแป๊บเดียวคือแค่หาอาหารกลางวันกิน
ที่ที่เราจอดรถนั้นติดกับ Carlisle castle และที่สำคัญเราจะต้องเดินผ่านป้อมปราการแห่งนี้เพื่อที่จะเข้าไปในตัวเมืองครับ
ที่เห็นอยู่ฝั่งตรงข้ามนั้นก็คือตัวเมืองที่เราจะเดินไปกันนะครับ แต่จากตรงนี้เราต้องเดินลอดอุโมงค์เพื่อข้ามถนนนะครับ เห็นถนนเล็กๆ แบบนี้เค้าก็ไม่อนุญาติให้เราวิ่งข้ามนะจะบอกให้ อิอิอิ
หลังจากที่เดินลอดลงอุโมงค์มาเราก็มาเจออันนี้เลยครับ เป็นก้อนหินแปลกๆ ที่เต็มไปด้วยภาษาแปลกๆ ซึ่งพี่แอ๊งค์ได้บอกกับเราว่าภาษาที่เห็นเป็นภาษาอังกฤษโบราณ กล้อนหินก้อนนี้คือก้อนหินแหล่งการสาปแช่งครับ (แอบน่ากลัวตั้งแต่ทางเข้าเมืองเลยทีเดียว)
“The Cursing Stone at Millennium Bridge, Subway in Carlise”
พี่เอ๋ขอไปยืนโพสต์ที่กับก้อนหิน (ตอนนั้นยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่หลังจากที่ไปยืนอ่านแล้วพี่แกถึงกับขนแขนชันเลยทีเดียว 555) เท่าที่พอจะจับใจความได้ดูเหมือนคนที่ทำก้อนหินอันนี้ทำเพื่อสาปแช่งศัตรูที่เข้ามาบุกทำลายเมืองและขโมยเครื่องมาทำมาหากินของพวกเค้า (หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ) ในสมัยที่โรมันเรืองอำนาจ
รูปด้านล่างจะเป็นอุปการณ์การเกษตรของพวกเค้าตั้งแต่สมัยโรมันครับ
เอาหละ เราไปเดินดูตัวเมืองกันครับ
ไม่รู้ว่าจะมีใครคิดเหมือนผมไหม แต่ผมว่าเมืองนี้ทำให้ผมรู้สึกขนลุกจริงๆ เอาหละเราน่าจะได้เวลาออกจากเมืองกันซักที (แอบดีใจ 55555)
คืนนี้เราจะไปพักกันแถวๆ Greenock ครับ ที่นี่เป็นเมืองอุตสาหกรรมและเป็นเมืองท่าขนส่งสินค้าทะเลที่ใหญ่ที่สุดของสก็อตแลนด์ พนักงานที่โรงแรมเล่าให้เราฟังว่าที่ท่าเรือของเมืองนี้แหละเป็นที่ที่ส่งชาวสก็อตที่ต้องการเดินทางไปอเมริกาและเป็นที่รับส่งสินค้าจากต่างประเทศ (พนักงานน่ารักและเป็นกันเองมากครับ เธอตลกมากผมว่าเธอสามารถเปลี่ยนอาชีพไปเป็น Entertainer ได้เลย)
เราไปดูรูปบริเวณโรงแรมของเรากันครับ โรงแรมเราอยู่ติดกับทะเลเลยครับ และติดกับ custom ด้วย
จะว่าไปตั้งแต่เดินทางมาทั่วเกาะอังกฤษ คงจะเป็นที่นี่เนี่ยแหละที่ผมฟังแทบไม่ออกว่าเค้าพูดอะไรกัน คือผมต้องขอให้พวกเค้าพูดซ้ำตลอดเลยเพราะการที่ฟังไม่ออก บางครั้งถึงกับต้องให้ภาษามือกันเลยทีเดียว
ตอนต่อไปเราจะไปที่ Loch Lomond กันนะครับ อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับ อีกแค่ 2 ตอนก็จะถึง Inverness แล้วครับ และหลังจาก Inverness เราจะบินกลับไป London กันครับ