งานวัด

กระทู้สนทนา
งานวัด..

ราสส์ กิโลหก

“เปี๊ยกๆๆๆๆเปี๊ยกโว๊ย.......”
อ้ายหลอด วัย 12 ปี ตัวดำเป็นเหนียงผมยังหยิกเป็นฝอยขัดหม้อ ใครก็คิดในทางไม่ดีกับแม่มัน ด้วยช่วงนั้นทหารอเมริกัน มาตั้งฐานทัพอยู่ที่ตัวจังหวัด ทั้งตัวดำตัวขาว เต็มบ้านเต็มเมือง..

บ้านอ้ายเปี๊ยก เป็นบ้านสองชั้นใต้ถุนสูง ชั้นบนมีฝาบ้านเป็นไม่ไผ่ขัดกันจนเป็นแผ่นแล้วเอามากั้นเป็นฝาบ้านพอกันแดดกันฝน แลดูเป็นกระท่อมมากกว่าเป็นบ้าน...เนื่องจากเพราะความยากจน และบ้านแบบนี้มีให้เห็นอยู่ทั่วไป..

“โว้ยๆๆๆ “เสียงอ้ายเปี๊ยกขานรับ พร้อมโผล่หน้าออกมาจากในบ้าน สองคนนี้เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน มันมักมาเล่นด้วยกันไปไหนก็ไปด้วยกัน เป็นเกลอกัน

เปี๊ยกเดินลงบันใดมาจากตัวบ้าน ตรงไปที่อ้ายหลอด

“มีอะไร วะ หลอด”

“ไม่รู้หรือ ที่วัดมีงาน มีทั้งลิเก รำวง แล้วยังมีหนังกลางแปลงมาฉาย ยันแจ้งเลย เขาขึงจอแล้วด้วย หนังตรามือนะโว้ย..”

สมัยนั้นหนังกลางแปลงดังๆก็ของ บริษัทขายยา ตรามือ ซึ่งมักมาฉายให้ดูฟรีๆ ที่สำคัญฉายกันจนยันแจ้งจนสว่างคาตา พวกเด็กๆชอบกันมาก พากันตื่นเต้นที่จะได้ดูหนังกลางแปลง ต่างเตรียมเสื่อหรือกระดาษแข็งแผ่นใหญ่ๆสำหรับปูนั่งปูนอน ถ้าไม่มีจริงๆก็ไม่มีปัญหานอนกันบนดินก็ได้ พื้นที่ลานวัดกว้างขวางใหญ่โต บรรยากาศโปร่งโล่งสบาย ใครชอบตรงไหนก็จับจองกันได้ตามใจนึก

พวกพนักฉายหนังมีเทคนิคในการเลือกหนังฉาย กล่าวคือตอนหัวค่ำเป็นเรื่องรักเรื่องตลก แต่พอตอนดึก เขาจะงัดเอาเรื่องผีออกมาฉาย พอถึงตอนที่ผีออกมา ทั้งเสียงทั้งภาพ เล่นเอาพวกคนดูต้องขยับตัวเข้าใกล้ๆกัน แทบจะกอดกันกลม ทั้งบรรยากาศภายในวัดช่วงดึกๆ เสียงลมพัดผ่านต้นโพธิ์จนใบสั่นซู่ๆๆ กลมกลืนกับเนื้อเรื่องหนังผี จนคนดูเงียบกริบ โดยเฉพาะพวกเด็กๆต่างขนลุกขนพองกัน..พวกที่เอาผ้าห่มไปด้วย ก็ห่มคลุมโปงไม่อยากเห็นเพราะกลัว

บ้านในชนบทสมัยนั้น มักอยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ เป็นกลุ่มเล็กๆ ส่วนที่ทำนาจะอยู่ห่างออกไป คือที่ทำนามักแยกออกไป ตอนเช้าๆเจ้าของที่นาจะเดินกันเป็นแถว ทั้งคน ทั้งหมา ทั้ง วัว ควาย ออกไปทำนากัน พอพลบค่ำก็เดินกลับกัน บ้านใครบ้านมัน ภาพแบบนี้จะเห็นกันชินตา..

กลุ่มบ้านของอ้ายเปี๊ยก มีอยู่ประมาณ 10 หลัง มีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน 4 คน รวมทั้งอ้ายหลอด อ้ายหลอดนั้นเป็นลูกไม่มีพ่อ เพราะมันอยู่กับ ตา ยาย ส่วนแม่หายไปไหนก็ไม่รู้ พอจำความได้ก็เห็นแต่หน้าเหี่ยวๆของยายกับตา แม้จะเห็นคนอื่นมีพ่อมีแม่ มันไม่ได้ใส่ใจอะไรมากจิตใจมันด้านชา สำหรับการขาดพ่อและแม่ มันมีความสุขกับชีวิตประจำวันไม่ทุกข์ร้อนอะไร ..

เปี๊ยกนึกดีใจตื่นเต้นที่จะได้ไปเที่ยวงานวัด ยังได้ดูหนังฟรีทั้งคืนอีก มันกะว่าจะชวนเพื่อนมันอีก 2 คนไปด้วย

แต่อ้ายหลอด เอ่ยปากขึ้นมาก่อน

“ กูชวน อ้ายแดง กับอ้ายถึก ไว้แล้ว นัดเจอกันที่บ้านอ้ายแดง ตอนทุ่ม”

เด็กสมัยนั้น ไม่ค่อยใส่รองเท้าด้วยเพราะความยากจนหรือเคยชินก็ยากที่จะเดา บางคนเคยเดินตีนเปล่ามาแต่เด็ก พอกระแดะเอารองเท้ามาใส่ ร่างกายแปรปรวนเป็นไข้เป็นหนาวขึ้นมาทันที ต้องรีบถอดทิ้ง กลับไปใช้ตีนเปล่าแบบเดิม ดูสบายตีนเดินตัวเบาเหมือนเดิม ไม่ต้องกลัวหนามเล็กหรือดินหินที่แข็งเป็นกรวด เพราะตีนใช้งานมานานจนบานเป็นพัด หนังตีนก็หนาจนกลายเป็นรองเท้าธรรมชาติ เดินไปในดินแข็งยังไม่รู้สึกอะไร หนามเล็กๆก็ตำไม่เข้าถึงเนื้อใน ประหยัดค่ารองเท้าไปในตัว

ใกล้ทุ่ม ทั้ง สี่ก็รวมตัวกันที่บ้านอ้ายแดง ระยะทางจากบ้านไปถึงวัดประมาณ 2 กิโล เป็นทางเล็กๆกว้างประมาณ 3 เมตร หน้าแล้งพอทน ถ้าหน้าฝน ก็เละเป็นโคลนตามสภาพภูมิอากาศ แต่สำหรับชาวบ้านถือเป็นเรื่องธรรมดา

เด็กทั้งสี่ไม่ได้ไปมือเปล่า มีหนังสะติ๊กเหน็บที่เอวกันทุกคนและลูกกระสุนดินปั้นที่ตากแดดจนแข็ง ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง สิ่งเหล่านี้เป็นอาวุธติดตัวในความรู้สึกของเด็ก ทำให้รู้สึกมีความมั่นใจหากมีอะไรฉุกเฉินก็สามารถใช้ป้องกันตัวได้ ไม่เหมือนเด็กเวรสมัยนี้มันโหดกว่ามาก มันพกทั้งมีดทั้งปืน ซ่ากันตั้งแต่เด็ก ความคิดมันน้อยนิด คิดว่าการเป็นนักเลงเป็นสิ่งโก้ ทำให้ไม่ทันได้โตก็เสียผู้เสียคนเสียอนาคตไปหลาย ทีหนักก็ไปเมืองผีเลยที่เดียว พ่อแม่ก็ได้แต่เสียใจ แต่ทำอะไรมากไม่ได้สังคมมันรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ลูกชกพ่อ เตะพ่อ ฆ่าพ่อฆ่าแม่ มีข่าวให้เห็นอยู่ได้บ่อย..ขนาดพระสงฆ์องค์เจ้ายังโดนตึ๊บ ศาสนาเสื่อมไปมาก

พวกมันเดินไปคุยกันไปท่ามกลางความมืด ส่งเสียงดังตามประสาเด็ก เส้นทางนี้จะไปเข้าทางด้านหลังวัด และที่สำคัญต้องผ่านป่าช้าวัด ถ้าพูดถึงป่าช้าก็ต้องคิดถึงผี คนเราไม่ว่าเด็ก คนชรา หรือวัยไหนๆ เกินกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ยังไงเสียคงไม่อยากพบอยากเจอผีเป็นแน่ ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าผีมีจริงหรือไม่จริง มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์..

เมื่อเข้าเขตป่าช้า บริเวณนั้นจะปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่หลายต้น ดูรกทึบเป็นม่านสีดำ บรรยากาศก็เหมือนป่าช้าทั่วไป พวกเด็กเริ่มเกาะกลุ่มกันแน่นขึ้น ทุกคนไม่พูดคุยอะไร แต่พยายามเดินเร็วขึ้นกว่าเดิม สิ่งรอบกายเต็มไปด้วยหลุมศพ กิ่งไม้ใบไม้เคลื่อนไหวไปตามแรงลม ขยับโอนเอนไปมา เหมือนเปรตขยับตัวในความมืด เดินเกาะกันไปใจเต้นตุบๆ...เสียงหัวใจทั้งสี่ดังแข่งกันจนไม่รู้ว่าเสียงเต้นมาจากไหน ใกล้ถึงวัดแล้วเพราะได้ยินเสียงเพลงดังจนแว่วมาในความมืด ทันใดนั้น เฮ้ย ! วิ่งโว้ย.. ไม่รู้เสียงของใครดังขึ้นในกลุ่มพวกมัน ได้ผลทันตา ทั้งสี่คนต่างใส่ตีนหมาโกยอ้าว เสียงเท้ากระทบกับพื้นดิน ตึ๊บๆๆ.ดังลั่น ไปจนถึงประตูทางเข้าวัด

พอถึงประตู ทั้งสี่คนหยุดนั่งลงกับพื้นด้วยความเหนื่อยแทบขาดใจ พอหายเหนื่อยต่างพากันหัวเราะด้วยความสนุก

“เฮ้ย! พวกวิ่งกันทำไมวะ” อ้ายหลอดพูดด้วยความเหนื่อยอ่อน

“แล้ว เอ็ง ละ วิ่งทำไม” อ้ายเปียกถาม

“ก็กูเห็นพวกวิ่ง กูก็วิ่งมั่ง” อ้ายหลอดยังเถียง

“ไปโว้ย ! ถึงงานแล้ว” เสียงหนึ่งดังขึ้น...

พวกมันสี่คนเดินกอดคอกันเดินเข้าไปในบริเวณจัดงาน ต่างตื่นเต้นสนุกตามประสาเด็กๆที่ได้ออกมาเดินเที่ยวงาน เสียงเพลงลูกทุ่งความจอแจของผู้คน ต่างแต่งสวยแต่งหล่อกันเต็มที่ จูงลูกจูงหลานมาเดินเที่ยวกัน โรงลิเกตั้งเวทีอยู่ใกล้บริเวณหน้าวัด ผู้เฒ่าผู้แก่จองที่นั่ง หน้าสลอนอยู่หน้าเวที ข้างๆตัวมีตะกร้าหมาก ลิเกยังไม่ออกแขก บ้างตำหมาก บ้างก็เอาผ้าเช็ดน้ำหมากที่ริมฝีปาก พูดส่งภาษากันดังอื้ออึ้ง..หน้าตาบ่งบอกถึงความสุข เสียงดังจอแจ จากเวทีการแสดงต่างๆ ความสว่างไสว ของแสงไฟเล็กใหญ่ บรรยากาศช่างต่างกัน กับบรรยากาศในยามปกติ ที่เงียบเหงาและมืดทึบ

พวกมันพากันเดินดูโน่นนี่ไปเรื่อย บางครั้งก็มองรถเข็นที่มาขายของกิน เพราะกลิ่นมาโชยมาเข้าจมูก แต่ก็ได้แค่นั้นเพราะในกระเป๋าไม่มีเงิน ทำได้เพียงบริโภคกลิ่นเอาอิ่มไปเท่านั้น

เวทีการแสดงต่างๆตั้งอยู่ห่างกันพอสมควร ร้านยิงปืนยาวด้วยจุกไม้ก๊อกจะอยู่ทางต้นๆทาง โรงลิเกถัดออกไป หมอลำอยู่เกือบติดสาลาวัด จนมาถึงจอหนังสีขาวใหญ่และมีขอบสีน้ำเงินอยู่รอบ บริเวณนี้จะอยู่ริมเขตด้านหลังของวัดเพราะต้องการความมืดในการฉายหนังถ้ามีแสงมากหนังก็ไม่ชัด อีกทั้งคนมาดูหนังฟรี จะมีมากกว่าการแสดงอื่นๆ เพราะฉายยันแจ้งใครจองที่ได้แล้วจะไม่ลุกไปไหนอีก หากใครปวดฉี่ปวดอึ ต้องให้พรรคพวกกันที่เอาไว้ หาไม่กลับมาอีกครั้ง ที่นั่งจะถูกคนอื่นเข้ามานั่งแทนที่
แต่เมื่อเลยเที่ยงคืน จำนวนผู้คนจะเหลือไมถึงครึ่งจากตอนแรก เพราะบางส่วนเริ่มทยอยกลับ เหลือคอหนังพันธ์แท้นั่งเป็นหย่อมๆกลุ่มใครกลุ่มมัน มีสุมไฟกองเล็กๆด้วยเพราะอากาศเริ่มหนาว บางคนนั่งบางคนนอน พวกที่นอนก็คือไม่กล้าแยกกลับคนเดียวเพราะกลัวผี เพราะตอนดึกมีแต่หนังผี แต่พวกไม่กลัวยังอยากดู เมื่อไม่มีเพื่อนกลับก็จำใจนอนอยู่ข้างๆพรรคพวก แม้ว่าจะถูกแม่ด่าก็ยอม ดีกว่าถูกผีหลอกกลางทาง

การฉายหนังเขาไม่ได้ฉายต่อเนื่อง แต่มีพักเป็นช่วงๆเพื่อโฆษณาขายยา ทำให้พวกคอหนังได้ผ่อนคลาย พอหนังหยุดฉายก็เปิดไปสว่าง ผู้คนเริ่มลุกเดินไปมา ไปซื้อยาที่เขาขายบ้าง ไปหาซื้ออะไรกิน แต่ของกินบางอย่างจะมีคนหิ้วมาขาย เขาจะเดินลัดเลาะไปตามผู้คนที่นั่งอยู่ ปากก็ร้องขายไปด้วย เมื่อได้เวลาฉายพนักงานจะปิดไฟ สิ่งต่างๆจะกลับมาเงียบอีกครั้ง หนังก็เริ่มฉายคนดูก็จะมีสมาธิกับเนื้อเรื่องของหนังต่อไป..

หนังผีในวันนี้คือเรื่องผีหัวขาดเป็นหนังไทย หนังผีก็คือหนังผี เสียงหมาหอนโหยหวนในหนัง ภาพของผีที่ถือหัวเดินไปมาเล่นเอาคนดูขวัญกระเจิง อีกทั้งสำนวนการพากษ์และลูกเล่นระดับมืออาชีพของคนพากษ์หนังจนเสริมความน่ากลัวทำให้บางคนถึงกับปิดหูปิดตา ขนลุกขนพองไปตามๆกัน แต่ก็ยังอยากดู เพราะตื่นเต้นเร้าใจกับเนื้อเรื่องของหนัง..

ช่วงหนึ่งเป็นช่วงพัก คนฉายเปิดไฟ หนังหยุดฉาย คนดูต่างบ่นกันระงม เพราะผีกำลังออกมา อ้ายหลอดเกิดปวดท้องฉี่ มันลุกขึ้นบอกพรรคพวกว่า จะไปยิงกระต่ายริมรั้วเสียหน่อย มันเดินหลบผู้คนไปจนสุด เมื่อได้ที่เหมาะจัดการยืนฉี่ด้วยความสบายใจ กำลังเพลินหูของมันแว่วเสียงอะไรบางอย่างเมื่อมองไปตามเสียง มีแสงสว่าง อยู่ไม่ไกล เป็นโรงอะไรสักอย่างมีผ้ากันเหมือนมีการแสดงอยู่ภายใน

“โรงอะไรวะ” มันสงสัย

อ้ายหลอดนั้นเป็นคนที่กล้าที่สุดในสี่คน มันจึงไม่ค่อยกลัวอะไร ฉี่เสร็จจึงค่อยๆเดินไปที่สิ่งที่มันมองเห็น พอเข้าไปใกล้ พบว่าด้านหน้ามีป้ายเขียนว่า นักเล่นกลตาแย้ม มีแสดงตัดคอให้ดูสดๆ ยังมีภาพคนถูกตัดคออีกด้วย ด้านในยังมีเสียงคนหัวเราะเป็นระยะๆ มีป้ายเขียนตรงทางเข้าช่องเล็กๆ ผู้ใหญ่ 20 บาทเด็ก 10 บาท พอเห็นราคา มันทำท่าจะเดินกลับ แต่มันสังเกตว่าตรงประตูเก็บตั๋วไม่มีใครอยู่ น่าจะเดินเข้าผ่านไปดูได้ ไม่รอช้าวิ่งแจ้นกลับไปที่พรรคพวก เอ่ยปากชวนไปดูเล่นกลดีกว่า มีการตัดคอด้วย น่าจะสนุกกว่าในหนัง เพราะเห็นกันสดๆ..
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่