เสนามารทั้งสิบ โดยท่านอาจารย์อุบาขิ่น และ หลุมพรางของมาร โดยท่านอาจารย์โกเอ็นก้า
จัดพิมพ์โดยมูนิธิส่งเสริมวิปัสสนากรรมฐานในพระสังฆราชูปถัมภ์
.... ตราบใดที่ยังมีความรู้สึกเพลิดเพลินไม่เบื่อหน่ายไม่เห็นโทษภายในความหลงยินดี ท่านก็ยังคงห่างไกลจากนิพพาน ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่จะต้องเฝ้าสังเกตุเวทนาอย่างถูกต้อง การที่ท่านสามารถรับรู้เวทนาได้นั้นเป็นเรื่องดี แต่ท่านรับรู้มันอย่างไรล่ะ สัญญา(การจำได้หมายรู้)ของท่านยังคงทำงานไปตามความลุ่มหลงเดิมๆ หรือได้แปรเปลี่ยนไปสู่ อนิจจสัญญา แล้วท่านเข้าใจว่าอะไรคือหลุมพรางของมารหรือยัง และเท่าทันมันมากขึ้นหรือเปล่า
มีนิทานเกี่ยวกับนกแก้วตัวหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่สถานที่บำเพ็ญเพียรของพระภิกษุรูปหนึ่ง เป็นบริเวณที่เงียบสงบ เต็มไปด้วยผลหมากรากไม้ ภิกษุรูปนั้น พยายามสอนนกแก้ว โดยพูดกับมันว่า "เจ้านกแก้วเอ๋ย อันตรายๆ จะมีนายพรานมาหว่านเมล็ดข้าวล่อให้เจ้าติดกับ แล้วเค้าจะใช้ตาข่ายจับเจ้า อันตรายยิ่งนัก เจ้าต้องระวังให้ดี เมล็ดข้าวที่เขาหว่านนั้นอันตรายยิ่งนัก เพราะมันจะทำให้เจ้าถูกจับอยู่ในตาข่ายอันตรายยิ่งนัก เจ้านกแก้วเอ๋ย จะมีนายพรานหว่านเมล็ดข้าวล่อให้เจ้าติดกับ เขาจะใช้ตาข่ายจับเจ้า จงระวังให้ดี เจ้านกแก้วเอ๋ย จงระวังให้ดี"
นกแก้วตัวนั้นรู้จักท่องจำ คำเหล่านี้ มันเอาแต่ท่องว่า "เจ้านกแก้วเอ๋ย จงระวังให้ดี เจ้านกแก้วเอ๋ย จงระวังให้ดี จะมีนายพรานหว่านเมล็ดข้าวล่อให้เจ้าติดกับ เขาจะใช้ตาข่ายจับเจ้า จงระวังให้ดี"
และแล้วก็เกิดเหตุการณ์ดังเช่นที่พระภิกษุเตือน วันหนึ่งมีนายพรานมาหว่านเมล็ดข้าว เจ้านกแก้วหลงกลไปกิน จึงถูกนายพรานใช้ตาข่ายดักจับได้ ถึงแม้จะตกอยู่ในเงื้อมมือของนายพราน แต่ปากก็ยังคงท่อง ซ้ำไปซ้ำมาว่า "เจ้านกแก้วเอ๋ย จงระวังให้ดี เจ้านกแก้วเอ๋ย จงระวังให้ดี จะมีนายพรานหว่านเมล็ดข้าวแล้วใช้ตาข่ายดักจับเจ้า จงระวังให้ดี จงระวังให้ดี"
ผู้ปฏิบัติวิปัสสนา ที่หลงยินดีไปกับเมล็ดข้าวของนายพราน ยังติดอยู่ในตาข่ายของมาร เวทนาที่เบาสบายก็คือเมล็ดข้าว ซึ่งเป็นหลุมพรางของมาร หากท่านเริ่มเพลิดเพลินยินดีไปกับเวทนาที่เบาสบาย ท่านก็ติดกับเข้าเสียแล้ว ท่านอาจจะคิดว่าตัวเองกำลังจะได้หลุดพ้น ได้เข้าใกล้สภาวะนิพพานจากการปฏิบัติวิปัสสนา แต่นี่กลับกลายเป็นว่าท่านกำลังวิ่งไป ในทิศทางที่ตรงกันข้าม
ที่มา : เสนามารทั้งสิบ โดย ท่านอาจารย์อุบาขิ่น และ หลุมพรางของมาร โดย ท่านอาจารย์
บทความนี้ กินใจ
จัดพิมพ์โดยมูนิธิส่งเสริมวิปัสสนากรรมฐานในพระสังฆราชูปถัมภ์
.... ตราบใดที่ยังมีความรู้สึกเพลิดเพลินไม่เบื่อหน่ายไม่เห็นโทษภายในความหลงยินดี ท่านก็ยังคงห่างไกลจากนิพพาน ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่จะต้องเฝ้าสังเกตุเวทนาอย่างถูกต้อง การที่ท่านสามารถรับรู้เวทนาได้นั้นเป็นเรื่องดี แต่ท่านรับรู้มันอย่างไรล่ะ สัญญา(การจำได้หมายรู้)ของท่านยังคงทำงานไปตามความลุ่มหลงเดิมๆ หรือได้แปรเปลี่ยนไปสู่ อนิจจสัญญา แล้วท่านเข้าใจว่าอะไรคือหลุมพรางของมารหรือยัง และเท่าทันมันมากขึ้นหรือเปล่า
มีนิทานเกี่ยวกับนกแก้วตัวหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่สถานที่บำเพ็ญเพียรของพระภิกษุรูปหนึ่ง เป็นบริเวณที่เงียบสงบ เต็มไปด้วยผลหมากรากไม้ ภิกษุรูปนั้น พยายามสอนนกแก้ว โดยพูดกับมันว่า "เจ้านกแก้วเอ๋ย อันตรายๆ จะมีนายพรานมาหว่านเมล็ดข้าวล่อให้เจ้าติดกับ แล้วเค้าจะใช้ตาข่ายจับเจ้า อันตรายยิ่งนัก เจ้าต้องระวังให้ดี เมล็ดข้าวที่เขาหว่านนั้นอันตรายยิ่งนัก เพราะมันจะทำให้เจ้าถูกจับอยู่ในตาข่ายอันตรายยิ่งนัก เจ้านกแก้วเอ๋ย จะมีนายพรานหว่านเมล็ดข้าวล่อให้เจ้าติดกับ เขาจะใช้ตาข่ายจับเจ้า จงระวังให้ดี เจ้านกแก้วเอ๋ย จงระวังให้ดี"
นกแก้วตัวนั้นรู้จักท่องจำ คำเหล่านี้ มันเอาแต่ท่องว่า "เจ้านกแก้วเอ๋ย จงระวังให้ดี เจ้านกแก้วเอ๋ย จงระวังให้ดี จะมีนายพรานหว่านเมล็ดข้าวล่อให้เจ้าติดกับ เขาจะใช้ตาข่ายจับเจ้า จงระวังให้ดี"
และแล้วก็เกิดเหตุการณ์ดังเช่นที่พระภิกษุเตือน วันหนึ่งมีนายพรานมาหว่านเมล็ดข้าว เจ้านกแก้วหลงกลไปกิน จึงถูกนายพรานใช้ตาข่ายดักจับได้ ถึงแม้จะตกอยู่ในเงื้อมมือของนายพราน แต่ปากก็ยังคงท่อง ซ้ำไปซ้ำมาว่า "เจ้านกแก้วเอ๋ย จงระวังให้ดี เจ้านกแก้วเอ๋ย จงระวังให้ดี จะมีนายพรานหว่านเมล็ดข้าวแล้วใช้ตาข่ายดักจับเจ้า จงระวังให้ดี จงระวังให้ดี"
ผู้ปฏิบัติวิปัสสนา ที่หลงยินดีไปกับเมล็ดข้าวของนายพราน ยังติดอยู่ในตาข่ายของมาร เวทนาที่เบาสบายก็คือเมล็ดข้าว ซึ่งเป็นหลุมพรางของมาร หากท่านเริ่มเพลิดเพลินยินดีไปกับเวทนาที่เบาสบาย ท่านก็ติดกับเข้าเสียแล้ว ท่านอาจจะคิดว่าตัวเองกำลังจะได้หลุดพ้น ได้เข้าใกล้สภาวะนิพพานจากการปฏิบัติวิปัสสนา แต่นี่กลับกลายเป็นว่าท่านกำลังวิ่งไป ในทิศทางที่ตรงกันข้าม
ที่มา : เสนามารทั้งสิบ โดย ท่านอาจารย์อุบาขิ่น และ หลุมพรางของมาร โดย ท่านอาจารย์