มาสวัสดีอีกรอบ เราเพิ่งตั้งกระทู้เรื่องพาลูกที่อยู่เยอรมันกลับเมืองไทย ค่อนข้างพอใจกับหลายๆความคิดเห็นและขอบคุณมากค่ะ วันนี้เลยอยากมาเขียนอีกสักกระทู้เกี่ยวกับชีวิต เกิด แก่ เจ็บ ตาย ในเยอรมัน ขอชี้แจงก่อนนะคะ ว่าไม่ได้เป็นการต่อว่าหรือเปรียบเทียบเรื่องแย่หรือไม่แย่ แต่เป็นการเล่าสู่กันฟัง อาจจะยาวสักนิดใครขี้เกียจอ่านก็ผ่านไปได้ค่ะ เริ่มนะ
เราอาศัยอยู่เมืองดึซเซลดอร์ป ประเทศเยอรมัน อยู่กลางใจเมืองจริงๆ ซึ่งค่าครองชีพที่นี่จากผลสำรวจเกือบทุกปีแพงเป็นอันดับ 3 รองจาก มิวนิค และ เบอลิน
- การเกิด เราเป็นแม่ลูก 2 ที่อายุ 30 ต้นๆ ลูกคนโตเกิด ศิริราช เมืองไทย คนเล็กเกิดที่เยอรมัน เพราะปัญหาสุขภาพทำให้ต้องผ่าตัดคลอด ซึ่งปรกติที่เมืองนอกหมอจะไม่ค่อยผ่าคลอดให้ เพราะค่าใช้จ่ายห้องผ่าตัดแพงและจะใช้กรณีที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น เลยทำให้เรารู้ว่าโรงพยาบาลที่บ้านเราดีกว่า และการดูแลหลังคลอดดีกว่า พยาบาลบ้านเราพูดเพราะกว่า อันนี้เราอาจจะโชคไม่ดี หรือคนบางคนเค้าเหยียดคนต่างชาติก็ไม่รู้ เราเลยมีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดี แต่ที่อื่นในเยอรมันอาจจะดีก็ได้ เป็นประสบการณ์ส่วนตัวเรา หลังจากครั้งนั้นเราเลยบอกตัวเองว่า อยู่เยอรมันต้องอดทน ถ้ารถชนฉันจะไม่ตาย ขำๆค่ะ ดีที่สุดคือเดินไม่ให้รถชนดีกว่า การรักษาพยาบาลที่นี่ คือถ้าไม่ฉุกเฉิน ห้ามไปโรงพยาบาล คุณต้องไปหาหมอที่คลีนิคก่อน และการไปหาหมอที่คลีนิคถ้าคุณไม่โทรนัดล่วงหน้าในวันนั้นคุณอาจจะไม่ได้พบหมอ หรือคุณป่วยวันนี้แต่คิวเต็มคุณอาจต้องรออีก 1-2 วันถัดไป หมอทุกคลีนิคจะเปืดถึงประมาณ 5-6โมงเย็น คลีนิคพิเศษที่โรงพยาบาลเปิด 2ทุ่ม ช่วง 6 โมง-2 ทุ่ม ถ้าคุณไม่ป่วยแทบตาย ฉุกเฉิน สิ่งที่คุณทำได้อย่างเดียวคือรอต่อไป ถ้าคุณได้นัดหมอแล้วสิ่งที่คุณจะได้รับ คือการเข้าไปนั่งรอคิวเจอหมอในคลีนิคไม่ต่ำกว่า 1ชม.เป็นอย่างน้อย หรืออาจมากกว่านั้นถึงคุณจะนัดหมอแล้วก็ตาม ไม่เกี่ยวว่าคุณมีประกันของรัฐหรือของเอกชน ต้องรอเหมือนกัน หรืออาจเป็นเพราะเมืองที่เราอยู่เป็นเมืองใหญ่ก็ไม่ทราบ ในจุดนี้สำหรับเราเลยค่อนข้างชอบเมืองไทยมากกว่า เพราะมีโรงพยาบาลทางเลือก คือ เอกชน ถึงอาจจะจ่ายแพงกว่าแต่แลกกับบริการที่รวดเร็วกว่า บางครั้งหลายๆคนก็ยินดีจะจ่าย เอาคร่าวๆแค่นี้ละเอียดไปมันจะยาว เดี๋ยวคุยกันต่อในความเห็นนะคะ
- เรื่องประกันสังคมของที่นี่ก็ยอมรับค่ะว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปเพราะเพราะถ้าคุณแต่งงานจดทะเบียนสมรสแล้วภรรยาไม่ได้ทำงาน ประกันชีวิตจะครอบคลุมค่ารักษาพยาบาล ของภรรยาและบุตรด้วยอันนี้ดีกว่าบ้านเราแน่นอนเห็นด้วย แต่ประกันตัวนี้คือของรัฐนะคะ เบี้ยก็แพงพอสมควร คือประมาณ 14% ของเงินเดือนทุกเดือน ยกตัวอย่าง ถ้าเงินเดือน 100,000บาท ก็เสียเดือนละ 14000บาท แต่ประกันตัวนี้จะประกันแค่สุขภาพ เวลาไปโรงพยาบาลแค่เอาบัตรไปยื่นไม่ต้องสำรองเงินจ่าย แต่ค่ายาบางตัวเราจ่ายส่วนหนึ่งที่เหลือปรกันช่วยจ่าย อันนี้เฉพาะกรณีผู้ใหญ่ ถ้าเสียชีวิตไม่ได้เงินนะ ถ้าอยากมีเงินไว้ทำศพตัวเองต้องซื้อประกันชีวิตต่างหาก ตัวนี้ครอบคลุมแค่รายบุคคลไม่ครอบคลุมครอบครัว ถ้าคุณไม่มีประกันชีวิตเวลาตายคุณอาจจะต้องโดนฝังรวม หรือเผาทิ้งรวมกับหลายๆศพที่ไม่มีเงินจ่ายเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังต่อ และประกันสุขภาพของเอกชนอันนี้คุณจะจ่ายตายตัวเดือนละ 500€ สำหรับคนโสด แต่ไม่ครอบคลุมถึงครอบครัว ถ้ามีภรรยาไม่ได้ทำงาน และมีบุตร 2 คน ต่อหนึ่งเดือนต้องจ่าย 2000€ หรือประมาณ 80000 บาททุกเดือน เวลาไปหาหมอต้องสำรองเงินจ่ายไปก่อน แล้วส่งใบเสร็จไปให้บริษัทประกัน ตัวนี้ดีสำหรับคนโสดที่รายได้เยอะจะทำให้จ่ายเบี้ยประกันน้อย ไม่ต้องจ่ายเป็นเปอร์เซ็นของรายรับ หรือเงินเข้ากระเป๋าเยอะแต่ถ้าคุณมีครอบครัวประกันตัวนี้ทำให้การเงินแย่แน่ ถ้าจะบอกว่าพอมีครอบครัวแล้วเปลี่ยนไปใช้ของรัฐ เปลี่ยนได้แต่ยากมากๆ คุณต้องแสดงทรัพย์สินสถานะทางการเงินว่าคุณไม่สามารถจ่ายได้ นั่นอาจหมายถึงคุณต้องลาออกจากงานที่ทำ และความยุ่งยากที่จะตามมานั่นไม่ใช่เรื่องง่าย
ต่อไปเป็นรายจ่ายภาษีและเพราะเรื่องนี้ทำให้เราคิดอยากพาลูกกลับไปอยู่เมืองไทย ที่เยอรมันนี้พอคุณเหยียบเท้าเข้ามาในฐานะผู้อยู่อาศัย ประมาณ 2-3 อาทิตย์จะมีจดหมายพร้อมหมายเลขผู้เสียภาษีส่งมาให้คุณทันที รวมถึงลูกเล็กเด็กแดงที่จะมีหมายเลขนี้ติดตัวทันทีหลังจากแจ้งเกิด บริการดีไม่มีตกหล่นเรื่องเงินๆทองๆ เราละสามีใช้เงินขวัญถุงที่ผู้ใหญ่ให้ตอนแต่งงาน มาซื้อรถบรรทุกขนาด 3 ตัน เปิดประบริษัทรับจ้างขนของ ส่งของทั่วทุกประเทศยุโรป โดยเป็นเจ้านายและลูกจ้างในเวลาเดียวกัน ถ้ามีย้ายแฟลตขนของเล็กที่ดิฉันพอจะยกไหวกับสามีเราก็ทำกันเอง ถ้าของใหญ่เราก็จ้างลูกจ้างรายวัน ฟังดูเหมือนจะดีไม่ได้เดือดร้อนอะไรใช่มั้ยคะ ติดตามต่อ ปัญหาคือ เราสองคนอายุ 30ต้นๆ เท่ากันไม่มีปัญญาซื้อบ้านที่ไหน เราอยู่บ้านเช่า กลางใจเมือง ที่ค่าครองชีพแพงพอสมควร ถามว่าทำไมไม่ย้ายเพราะสามีพื้นเพเป็นคนที่นี่ และอยู่ใกล้แม่ซึ่งมันดีต่อเราที่จะพาลูกไปฝากแม่ดูแลเวลาที่มีงาน เด็กๆไปหาย่าได้บ่อย รายได้ก็ถือว่าดีพอสมควรแต่รายจ่ายก็ตามมาเป็นเงาหลอกหลอน เพราะรายจ่ายค่าประกันรถใหญ่ ค่าประกันเวลาขนของ ค่าประกันเผื่อรถเสียกลางทางเวลาออกนอกประเทศ ค่าน้ำมัน ยังไม่รวมค่าเช่าบ้านและค่าใช้จ่ายต่างๆ ในบ้าน เพราะที่เยอรมันกฎหมายสำหรับคนที่ต้องการมีกิจการเป็นของตัวเองจะค่อนข้างยุ่งยากเพราะรัฐจะไม่สามารถรู้รายรับที่แท้จริงทำให้เก็บภาษีได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนคนที่เป็นลูกจ้างในบริษัท กรณีนั้นรัฐเช็คที่มาของรายรับได้แน่นอน และอย่างในกรณีของเราถ้ารถเสียขึ้นมาบางครั้งนั่นเป็นเงินก้อนที่เราเก็บสะสมมาทั้งเดือนเลย เพราะประกันรถยนต์จะครอบคลุมแค่อุบัติเหตุและเหตุสุดวิสัยบางอย่าง แน่นอนไม่ใช่ประกันชั้นหนึ่งเพราะเราคงจ่ายไม่ไหวทุกเดือน
ยาวมากเลย เบื่ออ่านกันรึเปล่า โพสก่อนและเขียนต่อจะได้ไม่ต้องอ่านยาวๆ
คุณรู้จักประเทศเยอรมันพอแล้วรึยัง?
เราอาศัยอยู่เมืองดึซเซลดอร์ป ประเทศเยอรมัน อยู่กลางใจเมืองจริงๆ ซึ่งค่าครองชีพที่นี่จากผลสำรวจเกือบทุกปีแพงเป็นอันดับ 3 รองจาก มิวนิค และ เบอลิน
- การเกิด เราเป็นแม่ลูก 2 ที่อายุ 30 ต้นๆ ลูกคนโตเกิด ศิริราช เมืองไทย คนเล็กเกิดที่เยอรมัน เพราะปัญหาสุขภาพทำให้ต้องผ่าตัดคลอด ซึ่งปรกติที่เมืองนอกหมอจะไม่ค่อยผ่าคลอดให้ เพราะค่าใช้จ่ายห้องผ่าตัดแพงและจะใช้กรณีที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น เลยทำให้เรารู้ว่าโรงพยาบาลที่บ้านเราดีกว่า และการดูแลหลังคลอดดีกว่า พยาบาลบ้านเราพูดเพราะกว่า อันนี้เราอาจจะโชคไม่ดี หรือคนบางคนเค้าเหยียดคนต่างชาติก็ไม่รู้ เราเลยมีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดี แต่ที่อื่นในเยอรมันอาจจะดีก็ได้ เป็นประสบการณ์ส่วนตัวเรา หลังจากครั้งนั้นเราเลยบอกตัวเองว่า อยู่เยอรมันต้องอดทน ถ้ารถชนฉันจะไม่ตาย ขำๆค่ะ ดีที่สุดคือเดินไม่ให้รถชนดีกว่า การรักษาพยาบาลที่นี่ คือถ้าไม่ฉุกเฉิน ห้ามไปโรงพยาบาล คุณต้องไปหาหมอที่คลีนิคก่อน และการไปหาหมอที่คลีนิคถ้าคุณไม่โทรนัดล่วงหน้าในวันนั้นคุณอาจจะไม่ได้พบหมอ หรือคุณป่วยวันนี้แต่คิวเต็มคุณอาจต้องรออีก 1-2 วันถัดไป หมอทุกคลีนิคจะเปืดถึงประมาณ 5-6โมงเย็น คลีนิคพิเศษที่โรงพยาบาลเปิด 2ทุ่ม ช่วง 6 โมง-2 ทุ่ม ถ้าคุณไม่ป่วยแทบตาย ฉุกเฉิน สิ่งที่คุณทำได้อย่างเดียวคือรอต่อไป ถ้าคุณได้นัดหมอแล้วสิ่งที่คุณจะได้รับ คือการเข้าไปนั่งรอคิวเจอหมอในคลีนิคไม่ต่ำกว่า 1ชม.เป็นอย่างน้อย หรืออาจมากกว่านั้นถึงคุณจะนัดหมอแล้วก็ตาม ไม่เกี่ยวว่าคุณมีประกันของรัฐหรือของเอกชน ต้องรอเหมือนกัน หรืออาจเป็นเพราะเมืองที่เราอยู่เป็นเมืองใหญ่ก็ไม่ทราบ ในจุดนี้สำหรับเราเลยค่อนข้างชอบเมืองไทยมากกว่า เพราะมีโรงพยาบาลทางเลือก คือ เอกชน ถึงอาจจะจ่ายแพงกว่าแต่แลกกับบริการที่รวดเร็วกว่า บางครั้งหลายๆคนก็ยินดีจะจ่าย เอาคร่าวๆแค่นี้ละเอียดไปมันจะยาว เดี๋ยวคุยกันต่อในความเห็นนะคะ
- เรื่องประกันสังคมของที่นี่ก็ยอมรับค่ะว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปเพราะเพราะถ้าคุณแต่งงานจดทะเบียนสมรสแล้วภรรยาไม่ได้ทำงาน ประกันชีวิตจะครอบคลุมค่ารักษาพยาบาล ของภรรยาและบุตรด้วยอันนี้ดีกว่าบ้านเราแน่นอนเห็นด้วย แต่ประกันตัวนี้คือของรัฐนะคะ เบี้ยก็แพงพอสมควร คือประมาณ 14% ของเงินเดือนทุกเดือน ยกตัวอย่าง ถ้าเงินเดือน 100,000บาท ก็เสียเดือนละ 14000บาท แต่ประกันตัวนี้จะประกันแค่สุขภาพ เวลาไปโรงพยาบาลแค่เอาบัตรไปยื่นไม่ต้องสำรองเงินจ่าย แต่ค่ายาบางตัวเราจ่ายส่วนหนึ่งที่เหลือปรกันช่วยจ่าย อันนี้เฉพาะกรณีผู้ใหญ่ ถ้าเสียชีวิตไม่ได้เงินนะ ถ้าอยากมีเงินไว้ทำศพตัวเองต้องซื้อประกันชีวิตต่างหาก ตัวนี้ครอบคลุมแค่รายบุคคลไม่ครอบคลุมครอบครัว ถ้าคุณไม่มีประกันชีวิตเวลาตายคุณอาจจะต้องโดนฝังรวม หรือเผาทิ้งรวมกับหลายๆศพที่ไม่มีเงินจ่ายเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังต่อ และประกันสุขภาพของเอกชนอันนี้คุณจะจ่ายตายตัวเดือนละ 500€ สำหรับคนโสด แต่ไม่ครอบคลุมถึงครอบครัว ถ้ามีภรรยาไม่ได้ทำงาน และมีบุตร 2 คน ต่อหนึ่งเดือนต้องจ่าย 2000€ หรือประมาณ 80000 บาททุกเดือน เวลาไปหาหมอต้องสำรองเงินจ่ายไปก่อน แล้วส่งใบเสร็จไปให้บริษัทประกัน ตัวนี้ดีสำหรับคนโสดที่รายได้เยอะจะทำให้จ่ายเบี้ยประกันน้อย ไม่ต้องจ่ายเป็นเปอร์เซ็นของรายรับ หรือเงินเข้ากระเป๋าเยอะแต่ถ้าคุณมีครอบครัวประกันตัวนี้ทำให้การเงินแย่แน่ ถ้าจะบอกว่าพอมีครอบครัวแล้วเปลี่ยนไปใช้ของรัฐ เปลี่ยนได้แต่ยากมากๆ คุณต้องแสดงทรัพย์สินสถานะทางการเงินว่าคุณไม่สามารถจ่ายได้ นั่นอาจหมายถึงคุณต้องลาออกจากงานที่ทำ และความยุ่งยากที่จะตามมานั่นไม่ใช่เรื่องง่าย
ต่อไปเป็นรายจ่ายภาษีและเพราะเรื่องนี้ทำให้เราคิดอยากพาลูกกลับไปอยู่เมืองไทย ที่เยอรมันนี้พอคุณเหยียบเท้าเข้ามาในฐานะผู้อยู่อาศัย ประมาณ 2-3 อาทิตย์จะมีจดหมายพร้อมหมายเลขผู้เสียภาษีส่งมาให้คุณทันที รวมถึงลูกเล็กเด็กแดงที่จะมีหมายเลขนี้ติดตัวทันทีหลังจากแจ้งเกิด บริการดีไม่มีตกหล่นเรื่องเงินๆทองๆ เราละสามีใช้เงินขวัญถุงที่ผู้ใหญ่ให้ตอนแต่งงาน มาซื้อรถบรรทุกขนาด 3 ตัน เปิดประบริษัทรับจ้างขนของ ส่งของทั่วทุกประเทศยุโรป โดยเป็นเจ้านายและลูกจ้างในเวลาเดียวกัน ถ้ามีย้ายแฟลตขนของเล็กที่ดิฉันพอจะยกไหวกับสามีเราก็ทำกันเอง ถ้าของใหญ่เราก็จ้างลูกจ้างรายวัน ฟังดูเหมือนจะดีไม่ได้เดือดร้อนอะไรใช่มั้ยคะ ติดตามต่อ ปัญหาคือ เราสองคนอายุ 30ต้นๆ เท่ากันไม่มีปัญญาซื้อบ้านที่ไหน เราอยู่บ้านเช่า กลางใจเมือง ที่ค่าครองชีพแพงพอสมควร ถามว่าทำไมไม่ย้ายเพราะสามีพื้นเพเป็นคนที่นี่ และอยู่ใกล้แม่ซึ่งมันดีต่อเราที่จะพาลูกไปฝากแม่ดูแลเวลาที่มีงาน เด็กๆไปหาย่าได้บ่อย รายได้ก็ถือว่าดีพอสมควรแต่รายจ่ายก็ตามมาเป็นเงาหลอกหลอน เพราะรายจ่ายค่าประกันรถใหญ่ ค่าประกันเวลาขนของ ค่าประกันเผื่อรถเสียกลางทางเวลาออกนอกประเทศ ค่าน้ำมัน ยังไม่รวมค่าเช่าบ้านและค่าใช้จ่ายต่างๆ ในบ้าน เพราะที่เยอรมันกฎหมายสำหรับคนที่ต้องการมีกิจการเป็นของตัวเองจะค่อนข้างยุ่งยากเพราะรัฐจะไม่สามารถรู้รายรับที่แท้จริงทำให้เก็บภาษีได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนคนที่เป็นลูกจ้างในบริษัท กรณีนั้นรัฐเช็คที่มาของรายรับได้แน่นอน และอย่างในกรณีของเราถ้ารถเสียขึ้นมาบางครั้งนั่นเป็นเงินก้อนที่เราเก็บสะสมมาทั้งเดือนเลย เพราะประกันรถยนต์จะครอบคลุมแค่อุบัติเหตุและเหตุสุดวิสัยบางอย่าง แน่นอนไม่ใช่ประกันชั้นหนึ่งเพราะเราคงจ่ายไม่ไหวทุกเดือน
ยาวมากเลย เบื่ออ่านกันรึเปล่า โพสก่อนและเขียนต่อจะได้ไม่ต้องอ่านยาวๆ