ติดตามเรื่องราวตอนที่แล้วได้จาก
ตอน1: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-I ตอนดีเลย์เดลี
http://ppantip.com/topic/35118550
ตอน2: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-II ตอนกฏแห่งแรงดึงดูดที่ปันกอง
http://ppantip.com/topic/35123718
ตอน3: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-III ตอนไปนูบราแบบแมนๆ Royal Enfield
http://ppantip.com/topic/35127049
ตอน4: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-IV ตอน In Love In Leh
http://ppantip.com/topic/35130597
ตอน5: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-V ตอน เส้นทางสู่ Zanskar หุบเขาแห่งสวรรค์
http://ppantip.com/topic/35139076
ตอน6: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-VI ตอน เมืองแห่ง Zanskar, Rungdum-Padum
http://ppantip.com/topic/35151837
ตอน7: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-VII ตอน ไปขี่ม้าที่ Sonamarg, นั่งเรือชม Dal Lake
http://ppantip.com/topic/35159052
คืนสุดท้ายอำลา Kashmir
คืนสุดท้ายที่ Kashmir หลังจากไปนั่งเรือและด้วยความบ้าบิ่นของป้าไปเล่นน้ำใน ดาลเลค ที่หวั่นๆอยู่ว่าจะมีอนาคอนดาใต้น้ำมารัดขาดึงเราไปกินใต้น้ำเหมือนในหนังรึเปล่า...ปรากฎว่าไม่มีรอดไปค่ะ..มีแต่พงศ์ตะโกนบอก จาปาตีๆลอยมาจ้า..
นั่งเรือชิวๆๆๆๆ ใน Dal Lake
เราสั่งอาหารที่ Boat house เป็นไก่มีผัดผักและปลาเทราท์ที่เราเจอตอนนั่งเรือในดาลเลค และขอนามบัตรติดต่อให้มาส่งที่หน้าเรือโรงแรม..พร้อมของหวานเป็นลูกแพร์เชื่อม ค่าเสียหายคืนนี้ 1400 รูปี.. คนทำกับข้าวพยายามมาแวะเวียนคุยกับเรา..บอกแล้วค่ะ คนอินเดียพูดเก่งมากกกก...สามารถคุยได้ตลอดจะรู้จักหรือไม่รู้จัก จนบางครั้งต้องทำเฉยๆ ไม่งั้นยาวววว...
คนขายปลาเทราท์บนเรือจนติดใจ สั่งมาให้ส่งที่โรงแรมตอนเย็น
อาหารค่ำคืนนี้จัดเต็ม อุดหนุนคุณลุงค่ะ
เราใช้เวลาคืนนี้ภายใต้แสงนีออน แสงเทียน แสงตะเกียงครบนั่งเสวนาเรื่องราวทั้งในอดีต เส้นทางที่แต่ละคนเคยผ่านและพบพาน และฝันถึงอนาคต การเดินทางที่มีเพื่อนร่วมทางที่รู้ใจ..อืม..อาจจะไม่ได้รู้ใจไปทั้งหมดแต่เราปรับจูนกันได้ง่ายๆ มีหงุดหงิดบ้าง ไม่ชอบความเยอะของแต่ละคนบ้าง คงเป็นเรื่องธรรมดาของต่างคนที่ต่างมา ทั้งๆที่ก่อนมาก็หวั่นๆว่าจะรอดมั้ย..ไม่เคยมานานขนาดนี้ แต่ 20 วันที่ผ่านมาพิสูจน์ได้แล้วว่า ไม่มีช่วงไหนเลยที่เรารู้สึกว่า ไม่ไหวแล้ว..นี่คงเป็นเสน่ห์ของการเดินทางที่มีเพื่อนร่วมทาง ต่างจากการเดินทางคนเดียวที่อาจมีเพื่อนร่วมทางตามทางที่เจอะกันแล้วก็จากกันไปหรือถ้าโชคดีก็ได้เป็นเพื่อนกันยาว เพื่อนเดินทางที่รู้ใจถือเป็นหนึ่งในของขวัญที่ส่งมาให้เป็นส่วนหนึ่งของช่วงชีวิต...แม้ว่าเราจะเพิ่งกลับมาเจอกันแต่ก็ดีกว่าไม่ได้เจอกันเลย และเราหวังว่ายังมีโอกาสได้ใช้เวลาร่วมประสบการณ์ต่อๆไปได้มากที่สุด ตราบที่เงือนไขของชีวิตอำนวย
เมาๆ เม้าท์ๆ กินๆ ดริ้งค์ๆ มีความสุขๆ
ค่ำคืนนี้อีกยาว @ Kashmir Boat House
คืนนี้เราเลยเม้าท์กันทั้งคืนจนถึงดึกและต่างหลับกันไป...เป็นคืนหนึ่งในความทรงจำที่ดี...
เข้าพรุ่งนี้เราต้องออกจาก Srinagar โดยสายการบินในประเทศกลับไปที่เดลี เรานัดลุงให้เรียกแทกซี่ตอน 7 โมงเช้าในราคา 600 รูปี (300 บาท)
ภาพจากด้านหัวเรือ boat house
เช้า..หน้าที่ต้มกาแฟสดของพงศ์จะเป็นเข้าวันสุดท้ายที่นี่ข้างๆ ปีกเรือท่ามกลางวิวหุบเขาไกลๆสะท้อนน้ำทะเลสาปดาล เช้านี้เราไม่ได้ล่ำราอูเมอร์หนุ่มแจวเรือหน้าเข้มเค้าส่งเพื่อนมาแทน..คงทำใจไม่ได้ที่ต้องอำลาจากป้า...5555
การต้มกาแฟสดเช้าสุดท้ายในทริปนี้ ขอบคุณเตากาแฟและผู้ชงฝีมือดีที่สุดในสามโลก
ที่สนามบินศรีนาการ์ก็มีการตรวจเข้มข้นเหมือนเดิม..บางครั้งก็ไม่เข้าใจ อย่างที่สนามบินเดลี คือเค้าให้เอาของทุกอย่างออกจากเป้ที่ถือขึ้นเครื่องและตรวจทุกอย่างแม้กระทั่งสมุดไดอารี่..ไม่เข้าใจจริงๆ
ถึงสนามบินศรีนาการ์
จับรถไฟไปทรานไซ..เอ๊ยไปอักรา (แหม..ตื่นๆ)
ถึงสนามบินเดลีประมาณเที่ยงเราจับรถแทกซี่ไปสถานีรถไฟอักราทันที...ไม่ค่ะ ไม่มีการจองล่วงหน้า..เราถูกทดสอบการแก้สถานการณ์เฉพาะหน้า...555
สถานีรถไฟเดลี นั่งแทกซี่มาจากสนามบินราคา 360 รูปี
ตอนนี้เราเริ่มรู้สึกร่างกายรับสภาพเป้ backpacker ที่หนักกว่า 12 กิโลแทบจะไม่ไหว เพราะน้ำหนักกระเป๋าที่หลังรั้งดึงมาที่ไหล่จนถึงต้นคอ และเราต้องทนสภาพนั้นตลอดเวลาที่กระเป๋าอยู่บนหลัง สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะเป็นกระเป๋าไม่ได้มาตรฐานเพราะเป็นกระเป๋าก๊อป..ยังคิดว่ากลับไปถ้ากระดูกคอเคลื่อนจะคุ้มกันมั้ยนะ...(แนะนำค่ะ มีวิธีเลือกเป้และน้ำหนักเป้ที่ควรจะเป็นในรีวิวของหมอตะลุยโลกค่ะ)
ที่สถานีรถไฟเดลีมีเค้าท์เตอร์ขายตั๋วด้านล่างสามารถไปเข้าแถวและบอกสถานีที่ต้องการไปโดยเช็คจากเที่ยวเดินทาง แต่ต้องเสี่ยงกับถ้าที่นั่งเต็ม สำหรับนักท่องเที่ยวมีที่จำหน่ายตั๋วชั้น 2 เป็นสำหรับ international ticket ต้องกรอกรายละเอียดตั๋วขาไป ขากลับ ชื่อ พาสปอร์ต อายุ เป็นรถไฟด่วนใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงถึงอักรา เรามีปัญหาสับสนนิดหน่อยเพราะกรอกข้อมูลเที่ยวผิด..เลยทำให้ต้องยกเลิกตั๋วเดิมและซื้อตั๋วใหม่ 3 คนในราคาคนะละ 550 รูปี แถมยังมีปากเสียงกับเจ้าหน้าที่เพราะแทนที่เราจะได้ไปเที่ยวบ่าย 2 กลับต้องรอเที่ยว เกือบทุ่ม ทำให้เราไม่ได้ดูพระอาทิตย์ตกที่ทัชมาฮาล
เค้าท์เต้อร์จองตั๋วสำหรับชาวต่างชาติชั้น 2
First Floor คือชั้นบนค่ะ ชั้นล่างเป็น Ground Floor
ระหว่างที่รอเราไปหาข้าวกินและเดินสำรวจรอบๆสถานีรถไฟ ความรู้สึกก็คงคล้ายๆกับหัวลำโพงคือมีของกินของขายราคาไม่สูงมากสำหรับคนเดินทางด้วยรถไฟ เราหากินข้าวแกงอินเดีย และมีไข่ต้มมาฝากต๋อง
เดินไปตรงไหนก็จะมีคนอินเดียมาชวนคุย ถามว่ามาจากไหน ไปไหน...พูดไม่ยอมหยุดจริงๆ ตลอดทาง
เมนูอาหาร ในร้านแถวสถานีรถไฟเดลี
เรารอจนถึงเวลารถไฟมา เรานั่งกับพงศ์ส่วนต๋องแยกไปอีกตู้เพราะที่นั่งตู้เดียวกันไม่ว่าง เป็นเหมือนรถไฟไทยชั้น 2 คือมีที่นั่งสำหรับ 4 คน ที่เรานั่งมีชาวอินเดียที่เป็นครูมาร่วมนั่งด้วย คุยกันเค้ามาอบรมที่เดลีและกำลังจะกลับบ้าน เราชวนคุยกันสัพเพเหระกันพักนึง และต่างคนต่างนั่งจนถึงจุดหมายที่อักรา...โดยรวมรถไฟอินเดียก็ไม่ได้แย่อย่างที่เห็นในภาพอาจเป็นเพราะเป็นชั้น 2A (1A ราคา 750 รูปี, 2A ราคา 550 รูปี)
ถ่ายกับนายตรวจตั๋วค่ะ ตอนแรกพอบอกขอถ่าย เค้าบอกเดี๋ยวๆแล้วหยิบหวีค่ะ..หวีขึ้นมาหวีก่อน..อืม อารมณ์ดีค่ะ
เราถึงสถานี อักราประมาณเกือบ 4 ทุ่ม และใช้บริการ pre-paid taxi เพื่อเข้าที่พักที่เราเสิรชหาไว้ ที่พักที่ใกล้ๆทัชมาฮาลหาไม่ยากมีหลายที่ สำหรับคนมาแบบ walk-in เราได้ที่พักที่ Sheela Guesthouse ใกล้ๆกับทัชมาฮาล ราคา 1000 รูปีต่อห้อง
Prepaid Taxi @ Agra Railway Station
Sheela Guest house @ East Gate
ทัชมาฮาล..ในฝันที่เป็นจริง
เช้าที่อักรา หนุ่มๆยังคงไม่ตื่นแต่เราอยากเก็บภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่ทัชมาฮาล เลยรีบลุกเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปซื้อตั๋ว ณ ที่ขายตั๋วในราคา 510 รูปี เป็นราคาที่ใช้พาสปอร์ตไทยซึ่งถูกกว่าราคาทั่วไป
เดินด้อมๆสำรวจประตูยังไม่เปิด มาเจอกับพงศ์และต๋องที่ออกมาพอดีและชวนกันไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ Shanti Guesthouse Roof top
Tasmahal @ Roof top
ที่ East Gate ต้องไปต่อคิวคนอินเดียที่รอประตูเปิด .ไปเจอไกด์คนอินเดียชื่อ Kosan เค้าบอกจะพาเข้าแบบไม่ต้องต่อคิวและเป็นไกด์ให้เราด้วย เลยตกลงและนัดแนะกันในราคา 500 รูปี Kosan บอกว่าเค้าเกิดและเติบโตข้างๆ ทัชมาฮาล จนเลือดเนื้อเค้าคือทัชมาฮาล Kosan เล่าประวัติที่มาและจุดเด่นของสถาปัตยกรรมได้อย่างดี แถมเป็นตากล้องให้ด้วยเพราะรู้มุมว่าควรถ่ายที่จุดไหน (จุดยอดนิยม) และพาลัดคิวบางคร้ง 555
“Kosan คุณอายุเท่าไหร่คะ”
“26 ครับ ผมมีเลือดของทัชมาฮาล เพราะผมเกิดและโตนอกรั้วนี้”
“ที่เมืองไทยมีงานมั้ยครับ ผมอยากไปทำงานที่นั่น”
“ คุณอยากทำงานประเภทไหนล่ะ”
“…..งานไม่หนัก เงินดีน่ะครับ”
“555 อืม ถ้าคุณเจองานนั้นบอกฉันทีนะ..ฉันก็กำลังหาเหมือนกัน”
Kosan เป็นหนุ่มแขกที่สุภาพ อารมณ์ดี รู้เหลี่ยม รู้มุมกล้อง ถ้าเราอยากถ่ายรูปสาวอินเดีย เค้าจะเดินเข้าไปขอให้ก่อนถ่าย
เค้าว่าปกติผู้หญิงอินเดียจะไม่ถ่ายรูปกับผู้ชายที่ไม่ใช่สามี เป็นธรรมเนียม แต่ผู้หญิงไม่เป็นไร
ข้ามจากแม่น้ำยุมนาด้านหลังของ ทัชมาฮาล เป็นสวนสวยที่สร้างขึ้นตอนจะสร้าง Black Taj mahal และมีสวนที่นักท่องเทียวนิยมไปถ่ายรูปอูฐผ่านมุมนั้น (ซึ่งเราไม่ได้ไป
“ถ้าคุณอยากไป ผมพาไปได้ ซ้อนมอเตอร์ไซค์ ผมไป”
“ผมไปที่นั่นกับแฟนสาวบ่อยๆ”
“อ่อ..ไม่เป็นไร ขอบคุณค่ะ”” คือถึงจะเป็นป้าแต่ใจยังไม่กล้าพออ่ะค่ะ...
ด้วยพลังแห่งรัก
จากฝันที่จะได้มาชมอนุสรณ์ความรักของพระเจ้า Shah Jahan ที่มีต่อพระนางมุมตัซ (Mumtaz Mahal) จริงๆ พระเจ้า Shah มีมเหสีหลายองค์ ซึ่งพระนางมุมตัตซ์เป็นมเหสีที่โปรดปรานมากที่สุดและมีโอรส ธิดาด้วยกัน ตอนพระนางสิ้นใจจึงโทมนัส ต้องการสร้างทัชมาฮาล ซื่งแปลว่ามงกุฎแห่งราชินีเป็นที่ฝังพระศพ แต่เนื่องจากการก่อสร้างที่ใหญ่ใช้วัสดุหินอ่อนนำเข้ามาใช้เงินมาก ลูกชาย Aurangzeb. จึงไม่พอใจจับพ่อเข้าขังคุกที่ Agra Fort นาน 8 ปีจนพ่อเสียชีวิต ลูกสาวเป็นคนนำศพพ่อล่องมาตามแม่น้ำยุมนาด้านหลังเพื่อเชิญมาฝังร่วมกับแม่ ส่วนฝั่งตรงข้ามแม่น้ำทางพระเจ้า Shah Jahan ตั้งใจสร้าง Black Tajmahal เพื่อเป็นที่บรรจุศพของตน แต่สร้างได้แค่กำแพงและสวนเท่านั้น
ทัชมาฮาลจากทางด้านข้าง
ทัชมาฮาลทางด้านหลังก่อนออกประตู ภายในไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป
มุมจากทางเข้าทางประตู East Gate
[CR] [เลห์][ลาดักห์][ซันสการ์][แบคแพคเกอร์]22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-VIII (จบ) ความรัก..ความรู้สึก
ติดตามเรื่องราวตอนที่แล้วได้จาก
ตอน1: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-I ตอนดีเลย์เดลี http://ppantip.com/topic/35118550
ตอน2: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-II ตอนกฏแห่งแรงดึงดูดที่ปันกอง http://ppantip.com/topic/35123718
ตอน3: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-III ตอนไปนูบราแบบแมนๆ Royal Enfield http://ppantip.com/topic/35127049
ตอน4: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-IV ตอน In Love In Leh http://ppantip.com/topic/35130597
ตอน5: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-V ตอน เส้นทางสู่ Zanskar หุบเขาแห่งสวรรค์ http://ppantip.com/topic/35139076
ตอน6: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-VI ตอน เมืองแห่ง Zanskar, Rungdum-Padum http://ppantip.com/topic/35151837
ตอน7: 22 วันตกหลุมรัก Ladahk & Kashmir-VII ตอน ไปขี่ม้าที่ Sonamarg, นั่งเรือชม Dal Lake http://ppantip.com/topic/35159052
คืนสุดท้ายอำลา Kashmir
คืนสุดท้ายที่ Kashmir หลังจากไปนั่งเรือและด้วยความบ้าบิ่นของป้าไปเล่นน้ำใน ดาลเลค ที่หวั่นๆอยู่ว่าจะมีอนาคอนดาใต้น้ำมารัดขาดึงเราไปกินใต้น้ำเหมือนในหนังรึเปล่า...ปรากฎว่าไม่มีรอดไปค่ะ..มีแต่พงศ์ตะโกนบอก จาปาตีๆลอยมาจ้า..
เราสั่งอาหารที่ Boat house เป็นไก่มีผัดผักและปลาเทราท์ที่เราเจอตอนนั่งเรือในดาลเลค และขอนามบัตรติดต่อให้มาส่งที่หน้าเรือโรงแรม..พร้อมของหวานเป็นลูกแพร์เชื่อม ค่าเสียหายคืนนี้ 1400 รูปี.. คนทำกับข้าวพยายามมาแวะเวียนคุยกับเรา..บอกแล้วค่ะ คนอินเดียพูดเก่งมากกกก...สามารถคุยได้ตลอดจะรู้จักหรือไม่รู้จัก จนบางครั้งต้องทำเฉยๆ ไม่งั้นยาวววว...
เราใช้เวลาคืนนี้ภายใต้แสงนีออน แสงเทียน แสงตะเกียงครบนั่งเสวนาเรื่องราวทั้งในอดีต เส้นทางที่แต่ละคนเคยผ่านและพบพาน และฝันถึงอนาคต การเดินทางที่มีเพื่อนร่วมทางที่รู้ใจ..อืม..อาจจะไม่ได้รู้ใจไปทั้งหมดแต่เราปรับจูนกันได้ง่ายๆ มีหงุดหงิดบ้าง ไม่ชอบความเยอะของแต่ละคนบ้าง คงเป็นเรื่องธรรมดาของต่างคนที่ต่างมา ทั้งๆที่ก่อนมาก็หวั่นๆว่าจะรอดมั้ย..ไม่เคยมานานขนาดนี้ แต่ 20 วันที่ผ่านมาพิสูจน์ได้แล้วว่า ไม่มีช่วงไหนเลยที่เรารู้สึกว่า ไม่ไหวแล้ว..นี่คงเป็นเสน่ห์ของการเดินทางที่มีเพื่อนร่วมทาง ต่างจากการเดินทางคนเดียวที่อาจมีเพื่อนร่วมทางตามทางที่เจอะกันแล้วก็จากกันไปหรือถ้าโชคดีก็ได้เป็นเพื่อนกันยาว เพื่อนเดินทางที่รู้ใจถือเป็นหนึ่งในของขวัญที่ส่งมาให้เป็นส่วนหนึ่งของช่วงชีวิต...แม้ว่าเราจะเพิ่งกลับมาเจอกันแต่ก็ดีกว่าไม่ได้เจอกันเลย และเราหวังว่ายังมีโอกาสได้ใช้เวลาร่วมประสบการณ์ต่อๆไปได้มากที่สุด ตราบที่เงือนไขของชีวิตอำนวย
คืนนี้เราเลยเม้าท์กันทั้งคืนจนถึงดึกและต่างหลับกันไป...เป็นคืนหนึ่งในความทรงจำที่ดี...
เข้าพรุ่งนี้เราต้องออกจาก Srinagar โดยสายการบินในประเทศกลับไปที่เดลี เรานัดลุงให้เรียกแทกซี่ตอน 7 โมงเช้าในราคา 600 รูปี (300 บาท)
เช้า..หน้าที่ต้มกาแฟสดของพงศ์จะเป็นเข้าวันสุดท้ายที่นี่ข้างๆ ปีกเรือท่ามกลางวิวหุบเขาไกลๆสะท้อนน้ำทะเลสาปดาล เช้านี้เราไม่ได้ล่ำราอูเมอร์หนุ่มแจวเรือหน้าเข้มเค้าส่งเพื่อนมาแทน..คงทำใจไม่ได้ที่ต้องอำลาจากป้า...5555
การต้มกาแฟสดเช้าสุดท้ายในทริปนี้ ขอบคุณเตากาแฟและผู้ชงฝีมือดีที่สุดในสามโลก
ที่สนามบินศรีนาการ์ก็มีการตรวจเข้มข้นเหมือนเดิม..บางครั้งก็ไม่เข้าใจ อย่างที่สนามบินเดลี คือเค้าให้เอาของทุกอย่างออกจากเป้ที่ถือขึ้นเครื่องและตรวจทุกอย่างแม้กระทั่งสมุดไดอารี่..ไม่เข้าใจจริงๆ
จับรถไฟไปทรานไซ..เอ๊ยไปอักรา (แหม..ตื่นๆ)
ถึงสนามบินเดลีประมาณเที่ยงเราจับรถแทกซี่ไปสถานีรถไฟอักราทันที...ไม่ค่ะ ไม่มีการจองล่วงหน้า..เราถูกทดสอบการแก้สถานการณ์เฉพาะหน้า...555
ตอนนี้เราเริ่มรู้สึกร่างกายรับสภาพเป้ backpacker ที่หนักกว่า 12 กิโลแทบจะไม่ไหว เพราะน้ำหนักกระเป๋าที่หลังรั้งดึงมาที่ไหล่จนถึงต้นคอ และเราต้องทนสภาพนั้นตลอดเวลาที่กระเป๋าอยู่บนหลัง สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะเป็นกระเป๋าไม่ได้มาตรฐานเพราะเป็นกระเป๋าก๊อป..ยังคิดว่ากลับไปถ้ากระดูกคอเคลื่อนจะคุ้มกันมั้ยนะ...(แนะนำค่ะ มีวิธีเลือกเป้และน้ำหนักเป้ที่ควรจะเป็นในรีวิวของหมอตะลุยโลกค่ะ)
ที่สถานีรถไฟเดลีมีเค้าท์เตอร์ขายตั๋วด้านล่างสามารถไปเข้าแถวและบอกสถานีที่ต้องการไปโดยเช็คจากเที่ยวเดินทาง แต่ต้องเสี่ยงกับถ้าที่นั่งเต็ม สำหรับนักท่องเที่ยวมีที่จำหน่ายตั๋วชั้น 2 เป็นสำหรับ international ticket ต้องกรอกรายละเอียดตั๋วขาไป ขากลับ ชื่อ พาสปอร์ต อายุ เป็นรถไฟด่วนใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงถึงอักรา เรามีปัญหาสับสนนิดหน่อยเพราะกรอกข้อมูลเที่ยวผิด..เลยทำให้ต้องยกเลิกตั๋วเดิมและซื้อตั๋วใหม่ 3 คนในราคาคนะละ 550 รูปี แถมยังมีปากเสียงกับเจ้าหน้าที่เพราะแทนที่เราจะได้ไปเที่ยวบ่าย 2 กลับต้องรอเที่ยว เกือบทุ่ม ทำให้เราไม่ได้ดูพระอาทิตย์ตกที่ทัชมาฮาล
ระหว่างที่รอเราไปหาข้าวกินและเดินสำรวจรอบๆสถานีรถไฟ ความรู้สึกก็คงคล้ายๆกับหัวลำโพงคือมีของกินของขายราคาไม่สูงมากสำหรับคนเดินทางด้วยรถไฟ เราหากินข้าวแกงอินเดีย และมีไข่ต้มมาฝากต๋อง
เดินไปตรงไหนก็จะมีคนอินเดียมาชวนคุย ถามว่ามาจากไหน ไปไหน...พูดไม่ยอมหยุดจริงๆ ตลอดทาง
เรารอจนถึงเวลารถไฟมา เรานั่งกับพงศ์ส่วนต๋องแยกไปอีกตู้เพราะที่นั่งตู้เดียวกันไม่ว่าง เป็นเหมือนรถไฟไทยชั้น 2 คือมีที่นั่งสำหรับ 4 คน ที่เรานั่งมีชาวอินเดียที่เป็นครูมาร่วมนั่งด้วย คุยกันเค้ามาอบรมที่เดลีและกำลังจะกลับบ้าน เราชวนคุยกันสัพเพเหระกันพักนึง และต่างคนต่างนั่งจนถึงจุดหมายที่อักรา...โดยรวมรถไฟอินเดียก็ไม่ได้แย่อย่างที่เห็นในภาพอาจเป็นเพราะเป็นชั้น 2A (1A ราคา 750 รูปี, 2A ราคา 550 รูปี)
ถ่ายกับนายตรวจตั๋วค่ะ ตอนแรกพอบอกขอถ่าย เค้าบอกเดี๋ยวๆแล้วหยิบหวีค่ะ..หวีขึ้นมาหวีก่อน..อืม อารมณ์ดีค่ะ
เราถึงสถานี อักราประมาณเกือบ 4 ทุ่ม และใช้บริการ pre-paid taxi เพื่อเข้าที่พักที่เราเสิรชหาไว้ ที่พักที่ใกล้ๆทัชมาฮาลหาไม่ยากมีหลายที่ สำหรับคนมาแบบ walk-in เราได้ที่พักที่ Sheela Guesthouse ใกล้ๆกับทัชมาฮาล ราคา 1000 รูปีต่อห้อง
ทัชมาฮาล..ในฝันที่เป็นจริง
เช้าที่อักรา หนุ่มๆยังคงไม่ตื่นแต่เราอยากเก็บภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่ทัชมาฮาล เลยรีบลุกเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปซื้อตั๋ว ณ ที่ขายตั๋วในราคา 510 รูปี เป็นราคาที่ใช้พาสปอร์ตไทยซึ่งถูกกว่าราคาทั่วไป
เดินด้อมๆสำรวจประตูยังไม่เปิด มาเจอกับพงศ์และต๋องที่ออกมาพอดีและชวนกันไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ Shanti Guesthouse Roof top
ที่ East Gate ต้องไปต่อคิวคนอินเดียที่รอประตูเปิด .ไปเจอไกด์คนอินเดียชื่อ Kosan เค้าบอกจะพาเข้าแบบไม่ต้องต่อคิวและเป็นไกด์ให้เราด้วย เลยตกลงและนัดแนะกันในราคา 500 รูปี Kosan บอกว่าเค้าเกิดและเติบโตข้างๆ ทัชมาฮาล จนเลือดเนื้อเค้าคือทัชมาฮาล Kosan เล่าประวัติที่มาและจุดเด่นของสถาปัตยกรรมได้อย่างดี แถมเป็นตากล้องให้ด้วยเพราะรู้มุมว่าควรถ่ายที่จุดไหน (จุดยอดนิยม) และพาลัดคิวบางคร้ง 555
“Kosan คุณอายุเท่าไหร่คะ”
“26 ครับ ผมมีเลือดของทัชมาฮาล เพราะผมเกิดและโตนอกรั้วนี้”
“ที่เมืองไทยมีงานมั้ยครับ ผมอยากไปทำงานที่นั่น”
“ คุณอยากทำงานประเภทไหนล่ะ”
“…..งานไม่หนัก เงินดีน่ะครับ”
“555 อืม ถ้าคุณเจองานนั้นบอกฉันทีนะ..ฉันก็กำลังหาเหมือนกัน”
Kosan เป็นหนุ่มแขกที่สุภาพ อารมณ์ดี รู้เหลี่ยม รู้มุมกล้อง ถ้าเราอยากถ่ายรูปสาวอินเดีย เค้าจะเดินเข้าไปขอให้ก่อนถ่าย
เค้าว่าปกติผู้หญิงอินเดียจะไม่ถ่ายรูปกับผู้ชายที่ไม่ใช่สามี เป็นธรรมเนียม แต่ผู้หญิงไม่เป็นไร
ข้ามจากแม่น้ำยุมนาด้านหลังของ ทัชมาฮาล เป็นสวนสวยที่สร้างขึ้นตอนจะสร้าง Black Taj mahal และมีสวนที่นักท่องเทียวนิยมไปถ่ายรูปอูฐผ่านมุมนั้น (ซึ่งเราไม่ได้ไป
“ถ้าคุณอยากไป ผมพาไปได้ ซ้อนมอเตอร์ไซค์ ผมไป”
“ผมไปที่นั่นกับแฟนสาวบ่อยๆ”
“อ่อ..ไม่เป็นไร ขอบคุณค่ะ”” คือถึงจะเป็นป้าแต่ใจยังไม่กล้าพออ่ะค่ะ...
ด้วยพลังแห่งรัก
จากฝันที่จะได้มาชมอนุสรณ์ความรักของพระเจ้า Shah Jahan ที่มีต่อพระนางมุมตัซ (Mumtaz Mahal) จริงๆ พระเจ้า Shah มีมเหสีหลายองค์ ซึ่งพระนางมุมตัตซ์เป็นมเหสีที่โปรดปรานมากที่สุดและมีโอรส ธิดาด้วยกัน ตอนพระนางสิ้นใจจึงโทมนัส ต้องการสร้างทัชมาฮาล ซื่งแปลว่ามงกุฎแห่งราชินีเป็นที่ฝังพระศพ แต่เนื่องจากการก่อสร้างที่ใหญ่ใช้วัสดุหินอ่อนนำเข้ามาใช้เงินมาก ลูกชาย Aurangzeb. จึงไม่พอใจจับพ่อเข้าขังคุกที่ Agra Fort นาน 8 ปีจนพ่อเสียชีวิต ลูกสาวเป็นคนนำศพพ่อล่องมาตามแม่น้ำยุมนาด้านหลังเพื่อเชิญมาฝังร่วมกับแม่ ส่วนฝั่งตรงข้ามแม่น้ำทางพระเจ้า Shah Jahan ตั้งใจสร้าง Black Tajmahal เพื่อเป็นที่บรรจุศพของตน แต่สร้างได้แค่กำแพงและสวนเท่านั้น
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น