สวัสดีครับชาวพันทิปทุกคน เรื่องนี้เป็นเรื่องราวจากบทสัมภาษณ์งานวิจัยวิชาเลือกของเด็กน้อยคนหนึ่งนะครับ จริงๆโครงงานยังไม่เสร็จดีแต่ไหนๆบก.ก็จะกินหัวอยู่แล้วเลยเอางานมาลงไว้นี้ด้วยแล้วกันนะครับ พอดีคิดว่ามันน่าสนใจเลยอยากเอามาบอกเล่าต่อเนาะ กระทู้นี้ 'งดดราม่า' นะครับ ขอร้องนะครับพลีสสส ผมชอบชื่นชมความสำเร็จของผู้อื่นเลยอยากบอกต่อก็เท่านั้น ส่วนดี/ไม่ดี ทุกคนมีวิจารณญาณเป็นของตัวเองเนาะ หรือไม่ก็อ่านเอาความรู้ อ่านเอาสนุกเหมือนเพื่อนมาเล่าชีวิตให้ฟังแล้วกันนะครับ
ขอบคุณครับ
............................................
09/08/2000
เดินทางจากประเทศไทยสู่กรุงลอนดอน
สาเหตุหลักที่ดิชั่นเลือกที่จะไปอยู่ต่างประเทศก็คือการยอมรับไม่ได้ของครอบครัว ที่เราเป็นแบบนี้ โดนพี่ชายทำร้าย ก็เลยคิดไปตายเอาดาบหน้า ครั้งหนึ่งในชีวิตเคยกินยาฆ่าแมลงเพื่อหวังจะฆ่าตัวตายตอนอายุ 16 แต่ไม่ตาย ครอบครัวเรามีกันสี่คนคือพี่ชาย 2 คนอายุต่างกัน 4 กับ 2 ปี เป็นครอบครัวไทยแท้ พ่อเสียดิชั่นเสียตอนดิชั้นอายุ 2 ขวบด้วยความที่ฐานะทางบ้านไม่ดีพี่ชาย 2 คนจึงถูกญาติเอาไปเลี้ยงต่างหาก ดิชั้นเรียนโรงเรียนวัด สอบติดโรงเรียนดีๆมาตลอด เพราะเป็นคนเรียนเก่ง แต่ก็แอบเกเรเหมือนกัน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม่เครียดและทำใจไม่ได้มาตลอดที่เราเป็นเกย์ออกสาว แต่ก็ทิ้งเราไปไม่ได้ แล้วก็ทะเลาะกันเป็นประจำ ตัวเราเองก็พยายามเรียนให้จบเร็ว หวังเพื่อได้งานทำแล้วจะออกมาใช้ชีวิตเพียงลำพังคนเดียว จบ ปวส. ด้านการธนาคาร จากเทคนิคกรุงเทพ ก็ได้งานทำที่ธนาคารเลย ระหว่างเรียน ก็เรียน รด.ไปด้วยเพื่อไม่ต้องการเป็นทหาร ตลอดเวลาที่พี่ชายกลับมาเยี่ยมแม่ ก็ด่าว่าเราที่เราเป็นแบบนี้ แล้วก็ทำร้ายชกต่อยจนเลือดออกหลายครั้ง แม่กลับไม่ห้าม แถมยังต่อว่าเราและเห็นสมควรที่พี่ชายทำกับเราแบบนี้ ในที่สุดเมื่อได้งานทำก็ทิ้งให้แม่อยู่คนเดียวไม่ได้ แม่เป็นผู้หญิงไม่อ่อนหวาน พูดจาทิ้งแทงเสียดสี ว่าเรื่องที่เราเป็นเกย์ตลอดเวลา
ตลอดเวลาที่ทำงานธนาคารมา 8 ปี ก็คิดเรื่องที่จะไปใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอื่นตลอดก็เลยเก็บเงินเพื่อใช้ขอวีซ่าและเรียนภาษาในระยะแรกตอนนี้ (ปัจจุบัน)ทุกอย่างลงตัวผ่าตัดแปลงเพศที่อังกฤษ ทุกอย่างสร้างจากศูนย์ได้ทุกอย่างจากงานที่สุจริต มีงานที่ชอบทำ มีอนาคตที่ดี มีเงินใช้ มีเงินเก็บ ตอนนี้ดิชั้นมีบ้าน 3 หลัง ที่ ลอนดอน 1 ที่ กรุงเทพ 2 มีคอนโดริมน้ำ 1 ซื้อเงินสด และได้สถานะนางสาวในเอกสารการเป็นพลเมืองอังกฤษอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีบ้านที่เป็นน้ำพักน้ำแรงเป็นของตัวเอง มีงานที่ถนัดและรักทำได้เงินดี มีแฟนเป็นชาวอังกฤษอายุน้อยกว่า 5 ปี เป็นตำรวจ Scottland yard. ทำศัลยกรรมหลายครั้ง เพื่อให้ดูเป็นผู้หญิงสมบูรณ์แบบมากที่สุด
.....และกำลังจะจดทะเบียนสมรส ในแบบผู้ชายผู้หญิง อีก 2 เดือนข้างหน้า ที่ลอนดอนนี้นี้เอง
_______________________________________________________________
ถิงถิง : อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้อยากผ่าตัดแปลงเพศครับ ?
ผ่านเรื่องสาหัสมามากมาย ความจริงไม่มีความคิดที่จะผ่าตัดแปลงเพศมาแต่ไหนแต่ไร เหมือนกะเทยคนอื่น เพราะชีวิตการเป็นเกย์ที่ลอนดอนก็สนุกและอิสระดีมาก ก่อนผ่าก็มีแฟนฝรั่งหลายคน และก็มีบางคนถึงขั้นต้องการแต่งงานใช้ชีวิตคู่ แต่เรากลับไม่พร้อม แต่เป็นเพราะต้องการเอาชนะคนในครอบครัวที่ดูถูกเราสาระพัดว่าการเป็นเกย์หรือกะเทยไม่มีวันเอาตัวรอด ชีวิตบันปลายก็จะต้องอยู่คนเดียวไม่มีคนรักจริง ก็เลยผ่าตัดแปลงเพศค่ะ
ถิงถิง : รบกวนช่วยเล่าถึงการผ่าตัดให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ ?
คือเราต้องเป็น citizen ของที่นี่ก่อนอันดับแรก ถึงจะใช้ benefit นี้ได้ ขั้นตอนแรก ก็ต้องเดินเข้าหา GP (สาธารณะสุขประจำท้องถิ่น) ว่าเราต้องการแปลงเพศ หมอประจำตัวเราก็จะทำเรื่องส่งต่อให้ถูกขั้นตอนคือต้องผ่านจิตแพทย์ประจำท้องถิ่นนัด สัมภาษณ์ ประเมินผล แล้วส่งต่อจิตแพทย์ส่วนกลาง (มี 2 คน) ต่างคนต่างสัมภาษณ์ ดูการเปลี่ยนแปลง ระหว่างนี้ก็เทคฮอร์โมนตามที่แพทย์สั่ง การเจอจิตแพทย์แต่ละครั้งทิ้งระยะห่างทุก 3 เดือน (ไม่มีการเลื่อนหรือ cancel เด็ดขาด) 2 ท่าน ท่านละ 2 ครั้ง รวมทั่งสิ้น 4 ครั้ง กินเวลา 1 ปี เต็ม แล้วแพทย์ทั้ง 2 ก็จะต่างสรุปผล และต้องเห็นตรงกันทั้ง 2 ท่าน ถึงจะเข้าสู่การส่งตัวเข้าโรงพยาบาลกลาง (Charing cross hospital) รอคิวผ่าตัด เพราะเค้าเอาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเท่านั้น เราได้ Dr.James Bellringer (search google ได้) เรารอคิวประมาณ 4 เดือนก็ได้ผ่าตัด นอนโรงพยาบาล 8 วัน สาเหตุที่ต้องผ่าแปลงเพศที่นี่ไม่ใช่เพราะฟรี แต่สาเหตุหลัก 2 ประการคือ 1 ถ้าเราครบทุกขั้นตอนที่นี่ รัฐบาลก็จะให้สถานะภาพการเป็นผู้หญิงของเราอย่างสมบูรณ์ เพราะมี record ที่นี่ครบทุกขั้นตอน สาเหตุที่ 2 คือ ทางบ้านไม่รู้ พี่รู้ว่าผ่าตัดแปลงเพศมันเรื่องใหญ่ เราต้องการคนดูแลแต่เราไม่สามารถบอกคนที่เมืองไทยได้ ซึ่งคนที่เราเลือกจะบอกก็คือแฟนเราที่กำลังจะแต่งงานด้วยนั้นเอง....
ถิงถิง : ตั้งแต่ไปเริ่มต้นเลยจนกระทั้งตอนนี้ มีอุปสรรคอะไรใหญ่ๆบ้างครับ ?
เมื่อ 10-15 ปีก่อนที่นี่หางานง่ายมากทุกที่ต้องการแรงงาน ทำงานได้เต็มที่ภาษีก็เสียน้อย แต่อุปสรรคด่านแรก คงเป็นการขอ visa ต้องแสดงละครให้เก่ง หลอกให้เนียน อุปสรรคหนักๆที่นี่ก็คงเป็นเรื่องภาษาก็คงเกี่ยวกับเรื่องใช้ภาษานี่แหละ ตอนได้ visa ผ่านวันแรก ยังดูไม่เป็นเลยว่าต้องไปเมื่อไหร่ กลับเมื่อไหร่ เพราะเราขอวีซ่านักเรียนไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศ ไม่รู้เลย คำว่า terminal คืออะไร ติดต่อคนรู้จักคนหนึ่งที่ลอนดอนให้มารับ เค้าถามว่าให้ไปรับที่ terminal ไหน พี่โทรไปถาม agency ขายตั๋ว เค้าตอบว่า terminal 2 ก็บอกคนที่อังกฤษ terminal 2 แต่เครื่อง แควนตัส ลง terminal 4 พี่กลัวทันที เครื่อง ดีเลย์ไปครึ่งชั่วโมงลงจากเครื่องแทนทีจะต้อง check out ที่ terminal 4 กลับ วิ่งหาทางออก terminal 2 แล้วก็หลงไปออกที่ terminal 1
พนักงานตกใจ เค้าท์เตอร์ check out ปิดไฟ พนักนั่งกินกาแฟ เห็นเราเดินมา แล้วควักมือเรียกให้มาที่เค้าท์เตอร์แล้วเปิดไฟสัมภาษณ์เรา พนักงาน 2 คน แล้ว พนักงานรักษาความปลอดภัยอีก 2 คน ล้อมเราไว้เพราะไม่มีเครื่องลงที่ terminal นี้แล้วเรามาได้ยังไง ? พนักงานพูดภาษาอังกฤษเราฟังไม่รู้เรื่องเลย เค้าพยายามสื่อสารกับเราเหมือนเราเป็นคนใบ้ ต้องใช้ท่าทางประกอบ คำถามที่เราจับได้มีแค่ 2 คำถาม ทั้งๆที่ เราโดนกักตัวสัมภาษณ์เกือบชั่วโมง
คือเรามาทำไมที่นี่ เราตอบว่ามาเรียน เขาถามต่อว่าเรียนอะไร เราตอบ เรียนภาษา เขาก็ถามต่อไปอีกว่าเรียนนานเท่าไร เราตอบ ไม่รู้ เขาก็ถามว่ามีเงินเท่าไหร่ เราควักโชว์ไปมีติดตัวมา 200 ปอนด์ พนง.ที่กักตัวไว้ก็สงสัย พออยู่ พอกินเหรอ บังเอิญเราทำงานธนาคารมาก่อน เราก็โกหกว่า เดี๋ยวแม่ฉันก็โอนเงินผ่านธนาคารมาให้ เขาเชื่อแฮะ.! เขาหันไปจับกลุ่มคุยกันซักพัก เห็นท่าทาง 1 ในนั่น ทำท่าเหมือนให้ส่งเรากลับประเทศ แล้วก็หันกลับ stamp ใน passport เราให้อยู่ได้ 2 ปี (เขาคงเห็นเราโง่มากคงต้องเรียนอีกนาน ///หัวเราะ) เขายอมให้ผ่าน แล้วชี้ให้เราไปห้อง healt control
นางพยาบาลผิวสีคนแรกถามว่ามาทำอะไร เราฟังไม่รู้เรื่องอีก ยื่นอึ้ง ก็มันบอกให้มาก็มาตอบไม่ถูก เลยไม่พูด นางพยาบาลผิวสีเกาหัว เรียกนางพยาบาลขาวอีกคนมา นางพยาบาลขาวพูดช้าๆ พอเข้าใจแล้วถามว่าฟิลม์เอกซ์อยู่ไหน ก็ตามไปว่าอยู่ในกระเป๋าเดินแล้วก็มองหากระเป๋าเดินทางเรา ซึ่งไม่มีเพราะกระเป๋าเราไปออกที่ terminal 4 แต่ตัวเรามาออกที่ terminal 1 เราพูดว่าเราหลงทาง พยาบาลมองหน้ากัน แล้วนางพยาบาลขาวก็เขียนกระดาษแผ่นยื่นให้เราแล้วอธิบายเป็นภาษาใบ้ว่า หลังจากออกจากห้องนี้แล้วให้เดินตามหา terminal 4 ให้เจอ แล้วไปเดินสวนทางกับผู้โดยสารขาออก จะมีพนักงานรักษาความปลอดภัยเข้ามาจับตัวเรา แล้วให้เรายื่นกระดาษใบนี้ เราทำตามเป็นจริงอย่างที่บอก พนักงาน 2 คน เข้ามาหิ้วปีกเราสองข้างตัวลอยเลย คนมองกันใหญ่ เรายื่นกระดาษแล้วพาเราไปโกดังเก็บกระเป๋า
โอ้ว....!!! แม่เจ้า ห้องเก็บกระเป๋า ใหญ่เท่าสนามฟุตบอล หลังคาสูงมา กระเป๋าถูกเรียงเป็นชั้น คงเป็นแสนใบ แล้วเราจะหาเจอของเราเจอเหรอ ?? ไม่มีพนักงานสักคน พนักงานรักษาความปลอดภัยจับเรามาโยนทิ้วไว้แล้วก็ไป เราคิดว่าของเรายังเพิ่งไม่นานคงอยู่ชั้นล่างสุด เดินหาเกือบครึ่งชั่วโมงก็เจอ ยังกองอยู่บริเวรประตูแล้วก็ลากออกไป แปลกไม่มีพนักงานสักคน แต่เพื่อนที่มารอรับกลับไปก่อนแล้ว เราโทรไปเพื่อนบอกว่ารอเกือบ 2 ชม. ไม่เห็นก็เลยกลับบ้านเพื่อนบอกให้นั่งรถไฟใต้ดินมาเองไม่มารับแล้ว ดีที่ว่าแผนที่รถไฟใต้ดินลอนดอนละเอียดและเข้าใจง่ายก็เลยกลับที่พักเองได้
พอมาถึงที่นี่ทุกอย่างก็ฉลุย มาถึงก็ต้องรีบหางานให้ได้เพราะเงินเหลือติดตัวมาน้อย ต้องหน้าด้านเดินออกตระเวรไปของานทำทั้งที่พูดภาษาอังกฤษยังไม่ได้ ออกเดินหางานทำวันรุ่งขึ้นก็ได้งานร้านไทยทันที (ล้างจาน )บางวันร้านยุ่ง จานยังไม่มีล้างเจ้าของร้านก็ให้ช่วยยกอาหารออกไปเสริฟ ลูกค้าก็นึกว่าเราเป็นพนักงาน สั่งอาหารใหญ่เลย แต่เราฟังไม่รู้เรื่องลูกค้าไม่ได้อะไรสักอย่าง(หัวเราะ) เจ้าของเค้ารู้ดีเค้าไม่ว่าอะไร ก็ยังให้เราทำซ้ำอยู่อย่างนี้ เจ้าของบอก เราตลกดีแล้วก็สอนให้เรารู้เรื่องมากขึ้น และให้เราไปเผชิญหน้ากับลูกค้ามากขึ้น แล้วเราก็ค่อยๆดีขึ้น
15 ปีในลอนดอน เรื่องเล่าจากชีวิตของ'ว่าที่เจ้าสาว'คนหนึ่งที่เมื่อก่อนนั้น...เคยใช้คำนำหน้าว่า 'นาย'
ขอบคุณครับ
............................................
09/08/2000
เดินทางจากประเทศไทยสู่กรุงลอนดอน
สาเหตุหลักที่ดิชั่นเลือกที่จะไปอยู่ต่างประเทศก็คือการยอมรับไม่ได้ของครอบครัว ที่เราเป็นแบบนี้ โดนพี่ชายทำร้าย ก็เลยคิดไปตายเอาดาบหน้า ครั้งหนึ่งในชีวิตเคยกินยาฆ่าแมลงเพื่อหวังจะฆ่าตัวตายตอนอายุ 16 แต่ไม่ตาย ครอบครัวเรามีกันสี่คนคือพี่ชาย 2 คนอายุต่างกัน 4 กับ 2 ปี เป็นครอบครัวไทยแท้ พ่อเสียดิชั่นเสียตอนดิชั้นอายุ 2 ขวบด้วยความที่ฐานะทางบ้านไม่ดีพี่ชาย 2 คนจึงถูกญาติเอาไปเลี้ยงต่างหาก ดิชั้นเรียนโรงเรียนวัด สอบติดโรงเรียนดีๆมาตลอด เพราะเป็นคนเรียนเก่ง แต่ก็แอบเกเรเหมือนกัน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม่เครียดและทำใจไม่ได้มาตลอดที่เราเป็นเกย์ออกสาว แต่ก็ทิ้งเราไปไม่ได้ แล้วก็ทะเลาะกันเป็นประจำ ตัวเราเองก็พยายามเรียนให้จบเร็ว หวังเพื่อได้งานทำแล้วจะออกมาใช้ชีวิตเพียงลำพังคนเดียว จบ ปวส. ด้านการธนาคาร จากเทคนิคกรุงเทพ ก็ได้งานทำที่ธนาคารเลย ระหว่างเรียน ก็เรียน รด.ไปด้วยเพื่อไม่ต้องการเป็นทหาร ตลอดเวลาที่พี่ชายกลับมาเยี่ยมแม่ ก็ด่าว่าเราที่เราเป็นแบบนี้ แล้วก็ทำร้ายชกต่อยจนเลือดออกหลายครั้ง แม่กลับไม่ห้าม แถมยังต่อว่าเราและเห็นสมควรที่พี่ชายทำกับเราแบบนี้ ในที่สุดเมื่อได้งานทำก็ทิ้งให้แม่อยู่คนเดียวไม่ได้ แม่เป็นผู้หญิงไม่อ่อนหวาน พูดจาทิ้งแทงเสียดสี ว่าเรื่องที่เราเป็นเกย์ตลอดเวลา
ตลอดเวลาที่ทำงานธนาคารมา 8 ปี ก็คิดเรื่องที่จะไปใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอื่นตลอดก็เลยเก็บเงินเพื่อใช้ขอวีซ่าและเรียนภาษาในระยะแรกตอนนี้ (ปัจจุบัน)ทุกอย่างลงตัวผ่าตัดแปลงเพศที่อังกฤษ ทุกอย่างสร้างจากศูนย์ได้ทุกอย่างจากงานที่สุจริต มีงานที่ชอบทำ มีอนาคตที่ดี มีเงินใช้ มีเงินเก็บ ตอนนี้ดิชั้นมีบ้าน 3 หลัง ที่ ลอนดอน 1 ที่ กรุงเทพ 2 มีคอนโดริมน้ำ 1 ซื้อเงินสด และได้สถานะนางสาวในเอกสารการเป็นพลเมืองอังกฤษอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีบ้านที่เป็นน้ำพักน้ำแรงเป็นของตัวเอง มีงานที่ถนัดและรักทำได้เงินดี มีแฟนเป็นชาวอังกฤษอายุน้อยกว่า 5 ปี เป็นตำรวจ Scottland yard. ทำศัลยกรรมหลายครั้ง เพื่อให้ดูเป็นผู้หญิงสมบูรณ์แบบมากที่สุด
.....และกำลังจะจดทะเบียนสมรส ในแบบผู้ชายผู้หญิง อีก 2 เดือนข้างหน้า ที่ลอนดอนนี้นี้เอง
_______________________________________________________________
ถิงถิง : อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้อยากผ่าตัดแปลงเพศครับ ?
ผ่านเรื่องสาหัสมามากมาย ความจริงไม่มีความคิดที่จะผ่าตัดแปลงเพศมาแต่ไหนแต่ไร เหมือนกะเทยคนอื่น เพราะชีวิตการเป็นเกย์ที่ลอนดอนก็สนุกและอิสระดีมาก ก่อนผ่าก็มีแฟนฝรั่งหลายคน และก็มีบางคนถึงขั้นต้องการแต่งงานใช้ชีวิตคู่ แต่เรากลับไม่พร้อม แต่เป็นเพราะต้องการเอาชนะคนในครอบครัวที่ดูถูกเราสาระพัดว่าการเป็นเกย์หรือกะเทยไม่มีวันเอาตัวรอด ชีวิตบันปลายก็จะต้องอยู่คนเดียวไม่มีคนรักจริง ก็เลยผ่าตัดแปลงเพศค่ะ
ถิงถิง : รบกวนช่วยเล่าถึงการผ่าตัดให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ ?
คือเราต้องเป็น citizen ของที่นี่ก่อนอันดับแรก ถึงจะใช้ benefit นี้ได้ ขั้นตอนแรก ก็ต้องเดินเข้าหา GP (สาธารณะสุขประจำท้องถิ่น) ว่าเราต้องการแปลงเพศ หมอประจำตัวเราก็จะทำเรื่องส่งต่อให้ถูกขั้นตอนคือต้องผ่านจิตแพทย์ประจำท้องถิ่นนัด สัมภาษณ์ ประเมินผล แล้วส่งต่อจิตแพทย์ส่วนกลาง (มี 2 คน) ต่างคนต่างสัมภาษณ์ ดูการเปลี่ยนแปลง ระหว่างนี้ก็เทคฮอร์โมนตามที่แพทย์สั่ง การเจอจิตแพทย์แต่ละครั้งทิ้งระยะห่างทุก 3 เดือน (ไม่มีการเลื่อนหรือ cancel เด็ดขาด) 2 ท่าน ท่านละ 2 ครั้ง รวมทั่งสิ้น 4 ครั้ง กินเวลา 1 ปี เต็ม แล้วแพทย์ทั้ง 2 ก็จะต่างสรุปผล และต้องเห็นตรงกันทั้ง 2 ท่าน ถึงจะเข้าสู่การส่งตัวเข้าโรงพยาบาลกลาง (Charing cross hospital) รอคิวผ่าตัด เพราะเค้าเอาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเท่านั้น เราได้ Dr.James Bellringer (search google ได้) เรารอคิวประมาณ 4 เดือนก็ได้ผ่าตัด นอนโรงพยาบาล 8 วัน สาเหตุที่ต้องผ่าแปลงเพศที่นี่ไม่ใช่เพราะฟรี แต่สาเหตุหลัก 2 ประการคือ 1 ถ้าเราครบทุกขั้นตอนที่นี่ รัฐบาลก็จะให้สถานะภาพการเป็นผู้หญิงของเราอย่างสมบูรณ์ เพราะมี record ที่นี่ครบทุกขั้นตอน สาเหตุที่ 2 คือ ทางบ้านไม่รู้ พี่รู้ว่าผ่าตัดแปลงเพศมันเรื่องใหญ่ เราต้องการคนดูแลแต่เราไม่สามารถบอกคนที่เมืองไทยได้ ซึ่งคนที่เราเลือกจะบอกก็คือแฟนเราที่กำลังจะแต่งงานด้วยนั้นเอง....
ถิงถิง : ตั้งแต่ไปเริ่มต้นเลยจนกระทั้งตอนนี้ มีอุปสรรคอะไรใหญ่ๆบ้างครับ ?
เมื่อ 10-15 ปีก่อนที่นี่หางานง่ายมากทุกที่ต้องการแรงงาน ทำงานได้เต็มที่ภาษีก็เสียน้อย แต่อุปสรรคด่านแรก คงเป็นการขอ visa ต้องแสดงละครให้เก่ง หลอกให้เนียน อุปสรรคหนักๆที่นี่ก็คงเป็นเรื่องภาษาก็คงเกี่ยวกับเรื่องใช้ภาษานี่แหละ ตอนได้ visa ผ่านวันแรก ยังดูไม่เป็นเลยว่าต้องไปเมื่อไหร่ กลับเมื่อไหร่ เพราะเราขอวีซ่านักเรียนไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศ ไม่รู้เลย คำว่า terminal คืออะไร ติดต่อคนรู้จักคนหนึ่งที่ลอนดอนให้มารับ เค้าถามว่าให้ไปรับที่ terminal ไหน พี่โทรไปถาม agency ขายตั๋ว เค้าตอบว่า terminal 2 ก็บอกคนที่อังกฤษ terminal 2 แต่เครื่อง แควนตัส ลง terminal 4 พี่กลัวทันที เครื่อง ดีเลย์ไปครึ่งชั่วโมงลงจากเครื่องแทนทีจะต้อง check out ที่ terminal 4 กลับ วิ่งหาทางออก terminal 2 แล้วก็หลงไปออกที่ terminal 1
พนักงานตกใจ เค้าท์เตอร์ check out ปิดไฟ พนักนั่งกินกาแฟ เห็นเราเดินมา แล้วควักมือเรียกให้มาที่เค้าท์เตอร์แล้วเปิดไฟสัมภาษณ์เรา พนักงาน 2 คน แล้ว พนักงานรักษาความปลอดภัยอีก 2 คน ล้อมเราไว้เพราะไม่มีเครื่องลงที่ terminal นี้แล้วเรามาได้ยังไง ? พนักงานพูดภาษาอังกฤษเราฟังไม่รู้เรื่องเลย เค้าพยายามสื่อสารกับเราเหมือนเราเป็นคนใบ้ ต้องใช้ท่าทางประกอบ คำถามที่เราจับได้มีแค่ 2 คำถาม ทั้งๆที่ เราโดนกักตัวสัมภาษณ์เกือบชั่วโมง
คือเรามาทำไมที่นี่ เราตอบว่ามาเรียน เขาถามต่อว่าเรียนอะไร เราตอบ เรียนภาษา เขาก็ถามต่อไปอีกว่าเรียนนานเท่าไร เราตอบ ไม่รู้ เขาก็ถามว่ามีเงินเท่าไหร่ เราควักโชว์ไปมีติดตัวมา 200 ปอนด์ พนง.ที่กักตัวไว้ก็สงสัย พออยู่ พอกินเหรอ บังเอิญเราทำงานธนาคารมาก่อน เราก็โกหกว่า เดี๋ยวแม่ฉันก็โอนเงินผ่านธนาคารมาให้ เขาเชื่อแฮะ.! เขาหันไปจับกลุ่มคุยกันซักพัก เห็นท่าทาง 1 ในนั่น ทำท่าเหมือนให้ส่งเรากลับประเทศ แล้วก็หันกลับ stamp ใน passport เราให้อยู่ได้ 2 ปี (เขาคงเห็นเราโง่มากคงต้องเรียนอีกนาน ///หัวเราะ) เขายอมให้ผ่าน แล้วชี้ให้เราไปห้อง healt control
นางพยาบาลผิวสีคนแรกถามว่ามาทำอะไร เราฟังไม่รู้เรื่องอีก ยื่นอึ้ง ก็มันบอกให้มาก็มาตอบไม่ถูก เลยไม่พูด นางพยาบาลผิวสีเกาหัว เรียกนางพยาบาลขาวอีกคนมา นางพยาบาลขาวพูดช้าๆ พอเข้าใจแล้วถามว่าฟิลม์เอกซ์อยู่ไหน ก็ตามไปว่าอยู่ในกระเป๋าเดินแล้วก็มองหากระเป๋าเดินทางเรา ซึ่งไม่มีเพราะกระเป๋าเราไปออกที่ terminal 4 แต่ตัวเรามาออกที่ terminal 1 เราพูดว่าเราหลงทาง พยาบาลมองหน้ากัน แล้วนางพยาบาลขาวก็เขียนกระดาษแผ่นยื่นให้เราแล้วอธิบายเป็นภาษาใบ้ว่า หลังจากออกจากห้องนี้แล้วให้เดินตามหา terminal 4 ให้เจอ แล้วไปเดินสวนทางกับผู้โดยสารขาออก จะมีพนักงานรักษาความปลอดภัยเข้ามาจับตัวเรา แล้วให้เรายื่นกระดาษใบนี้ เราทำตามเป็นจริงอย่างที่บอก พนักงาน 2 คน เข้ามาหิ้วปีกเราสองข้างตัวลอยเลย คนมองกันใหญ่ เรายื่นกระดาษแล้วพาเราไปโกดังเก็บกระเป๋า
โอ้ว....!!! แม่เจ้า ห้องเก็บกระเป๋า ใหญ่เท่าสนามฟุตบอล หลังคาสูงมา กระเป๋าถูกเรียงเป็นชั้น คงเป็นแสนใบ แล้วเราจะหาเจอของเราเจอเหรอ ?? ไม่มีพนักงานสักคน พนักงานรักษาความปลอดภัยจับเรามาโยนทิ้วไว้แล้วก็ไป เราคิดว่าของเรายังเพิ่งไม่นานคงอยู่ชั้นล่างสุด เดินหาเกือบครึ่งชั่วโมงก็เจอ ยังกองอยู่บริเวรประตูแล้วก็ลากออกไป แปลกไม่มีพนักงานสักคน แต่เพื่อนที่มารอรับกลับไปก่อนแล้ว เราโทรไปเพื่อนบอกว่ารอเกือบ 2 ชม. ไม่เห็นก็เลยกลับบ้านเพื่อนบอกให้นั่งรถไฟใต้ดินมาเองไม่มารับแล้ว ดีที่ว่าแผนที่รถไฟใต้ดินลอนดอนละเอียดและเข้าใจง่ายก็เลยกลับที่พักเองได้
พอมาถึงที่นี่ทุกอย่างก็ฉลุย มาถึงก็ต้องรีบหางานให้ได้เพราะเงินเหลือติดตัวมาน้อย ต้องหน้าด้านเดินออกตระเวรไปของานทำทั้งที่พูดภาษาอังกฤษยังไม่ได้ ออกเดินหางานทำวันรุ่งขึ้นก็ได้งานร้านไทยทันที (ล้างจาน )บางวันร้านยุ่ง จานยังไม่มีล้างเจ้าของร้านก็ให้ช่วยยกอาหารออกไปเสริฟ ลูกค้าก็นึกว่าเราเป็นพนักงาน สั่งอาหารใหญ่เลย แต่เราฟังไม่รู้เรื่องลูกค้าไม่ได้อะไรสักอย่าง(หัวเราะ) เจ้าของเค้ารู้ดีเค้าไม่ว่าอะไร ก็ยังให้เราทำซ้ำอยู่อย่างนี้ เจ้าของบอก เราตลกดีแล้วก็สอนให้เรารู้เรื่องมากขึ้น และให้เราไปเผชิญหน้ากับลูกค้ามากขึ้น แล้วเราก็ค่อยๆดีขึ้น