วันที่สองของการเดิน Trekking จาก Sing Gompa ไป Lauribinayak
===========================
ตอนแรก เรื่องการเตรียมความพร้อมก่อนเดินทางและการเดินทางบนถนนอันหฤโหด
http://ppantip.com/topic/35158572
ตอนสอง วันแรกของการ Trekking:
http://ppantip.com/topic/35159715
ตอนสาม วันที่สองของการ Trekking มาต่อกันเลยค่ะ..........>>>>>>
.........ก่อนนอน ได้แจกจ่ายยาคลายกล้ามเนื้อ และยาบรรเทาอาการกล้ามเนื้ออักเสบ หลับสบายเลย (ดิฉันคนเดียว)
และ!!! เป็นธรรมดาของสุขภาพลำไส้ใหญ่ เมื่อมาแปลกถิ่นแปลกที่....วันนี้วันที่ 2 ของการ Trekking แต่เป็นวันที่ 4 ของการเดินทาง
เมื่อไม่ค่อยได้มีเวลาดื่มน้ำ + ไม่ได้มีโอกาสทานผัก-ผลไม้ ยาช่วยระบายก็จัดไปค่ะ
เช้ามาออกไปเรียบร้อย ค่อยสบายตัวหน่อย ฮ่าๆๆๆ (ระหว่างทางเดินป่า ก็เตรียมผ้าถุงไว้ค่ะ เผื่อๆ)
เช้านี้...เมื่อเราได้มาเยือน Sing Gompa (สิงกอมปา) ทั้งทีต้องเข้าไปเยี่ยมชมโรงงานชีสกันนะคะ
นี่คือ โรงเก็บ Yak ชีส (Yak Cheese Store)
การผลิตจะเกิดขึ้นอีกแห่งนึง ซึ่งเก็บนมจาก Yak มาผ่านกระบวนการ แล้วจึงมาเก็บไว้ที่ Store แห่งนี้
ลักษณะจะเป็นก้อนกลมๆเหมือนเค้ก 3 ปอนด์ก้อนใหญ่ๆ
ประโยชน์ของ Yak ชีสคงสารพัดอ่ะค่ะ แหล่งพลังงาน ปรุงอาหารเพิ่มไขมันให้ความอบอุ่นร่างกาย
ที่นี่ คือหน้าร้านขายด้วยค่ะ
ตามเวลานัดดิฉันตื่นตี 5 เหมือนทุกวัน เพื่อจัดเก็บกระเป๋าเตรียมเดินทางในแต่ละวัน
และออกมาเดินเล่นรอเวลาอาหารเช้า 6:00
ทุกครั้งเมื่อถึงเวลาอาหาร มันเป็นอะไรที่ลุ้นมาก....ว่าวันนี้เราจะเสี่ยง!!
หรือเราจะ Save ตัวเองด้วยเมนูไข่ต้ม ไข่ดาว ไข่เจียว หรือไข่คน
วันนี้ดิฉันเลือกเสี่ยง! ค่ะ เมนูอาหารเช้าขอ Milk Muesli with Apple
แทน แท่น แท้น !!
ราคาในเมนูเป็นหน่วยรูปีค่ะ คิดผันเป็นบาทไทยเร็วๆง่ายๆคร่าวๆคือ หารสองเอาค่ะ
ภาพในจานใหญ่คือ ไข่เจียวค่ะความเค็มจะมาจากชีส
ตอนวันแรกๆเราก็บ่นกันว่าจะใส่เกลือมาทำไมเยอะแยะ เค็มทั้งไข่ดาว ไข่เจียวอ่ะ
หลังๆเริ่มเข้าใจว่า....ความเค็มมาจากกระบวนการทอดจากชีส (มั้ง?)
ภาพถ้วยเล็กๆด้านหลังไข่เจียว คือ Milk Muesli with Apple ที่ดิฉันสั่งค่ะ เริ่ดค่ะ!
มันคล้ายๆ นมใส่คอนเฟลก แต่เพิ่ม Apple มาด้วย
แต่ต่างกันตรงที่นมค่ะ ดิฉันถามเค้าว่านมอะไร ทำไมมันอร่อยเวอร์วังขนาดนี้
นางตอบว่า "Cow"
....รสชาตินมวัวมันไม่เหมือนนมวัวบ้านเรา คือ...เนื้อนมจะเบากว่า หอม และไม่เลี่ยนคอ
ตอนแรกพวกเราเดากันว่าเป็นเพราะวัวที่นี่มันมีความสุขแน่ๆเลย อากาศก็ดี
เลี้ยงก็แบบปล่อยอิสระ ไม่ต้องฉีดยาปฎิชีวนะ ปล่อยกินหญ้าไปเรื่อยๆ
แต่เพิ่งมาทราบหลังจากกลับมาไทยว่า ปศุสัตว์ที่นั่นยังเป็นแบบดั้งเดิม
นมวัว นมควาย จะผสมปนเปกันไป ไม่ได้คัดแยกการปศุสัตว์แบบบ้าน
ผู้รู้ท่านใด มีความรู้ มาช่วยแชร์ประสบการณ์กันนะคะ ว่าทำไมนมวัวที่นั่นถึงอร่อยมาก
อ่ิมท้องแล้ว จิบชาร้อน กาแฟร้อนไป บ้างก็ออกมา Warm up ก่อนออกเดินเสมอนะจ๊ะ ไปกัน! ซัม ซั่ม!!!
ความสูงที่หมู่บ้านสิงกอมปา คือ 3300m จึงเร่ิมมีป้ายเตือนอาการ AMS (Acute Mountain Sickness)
แต่จนถึงตอนนี้ พวกเราอึดกันจริงๆ ไม่มีอาการเลยค่ะ เร่ิดดดดดดด!
Bye bye Sing Gompa
ภูมิประเทศหลังจากนี้ จะมีความแตกต่างจากเมื่อวานแล้วค่ะ จากป่ากุหลาบพันปีจะเริ่มเป็นป่าโอ๊ค
และข้อดีของการเริ่มออกเดินตอนเช้า อากาศดี สดชื่น สุดๆค่ะ ลั้นลา... ลั้นลา...
เดินกันอย่างเพลิดเพลิน เจอ Yak baby ตัวเล็กด้วยมันลักษณะคล้ายควายผสมวัว ยังไงสักอย่าง
ธรรมชาติ ต้นไม้สูง ช่างใหญ่โต-อลังการ
มนุษย์ตัวน้อยๆอย่างพวกเรา ก็ค่อยๆไต่ ค่อยๆเดินเลาะไปตามทางก้อนหิน
เวลาเดิน.... ลูกหาบชอบเปิดเพลงเนปาล สนุกดี เข้ากับบรรยากาศมากค่ะ
เดินไปเรื่อยๆค่ะ ชมนก-ชมไม้-ชมธรรมชาติ ไม่ต้องไปคิดหรอกค่ะว่าเมื่อไหร่จะถึง
ขอให้อยู่กับปัจจุบันเข้าไว้ หายใจเข้าท้องป่อง หายใจออกท้องแฟ่บ
สูดออกซิเจนเข้าไปเยอะๆ สูดตุนเอาไว้เยอะๆค่ะ
เพราะกลับมากรุงเทพฯบ้านเรา มันเหลือออกซิเจนน้อยเต็มที
ประนึงเป็นการเดินทางมาฟอกปอด ฮ่าๆๆๆ
ผ่านไปไม่ช้า ไม่นาน สัก 2-3 ชั่วโมงได้มั้ง ก็มาถึงที่พักกลางทางแห่งเดียวที่มี
เรานั่งชมวิว จิบชาร้อนให้ความอบอุ่น และแวะซื้อหมวกไหมพรม
ปักลาย โกไซกุนดาครบเหมือนกันทั้งทีม
...เพื่อเตรียมไปเจออากาศหนาวเหน็บของทะเลสาปฯในคืนถัดไป (ไม่ใช่คืนนี้นะ)
จริงๆในวันฟ้าเปิดเราจะได้เห็นวิวยอด Langtang Lirung จากตรงนี้ด้วยค่ะ
แต่ช่วงที่เราไป ฟ้าปิดตลอด หมอกหนาทุกวัน
น่ั่งพักสักแพ่บ มีคนเดินสวนลงมาจากข้างบนค่ะ เย้ๆๆๆ เจอคนแล้ว!!!!
เค้าบอกเราว่า ข้างบนไม่มี Snow แล้วนะ (พวกเราแอบเซ็งนิดหน่อย)
แหม!! ก็เมืองร้อน ฤดูเดียวอย่างเรา ใส่เสื้อยืด-กางเกงขาสั้นได้ตั้งแต่ มกราคมยันธันวาคม
จะสัมผัสหิมะ กันได้บ่อยๆเมื่อไหร่ล่ะ?
แต่เป้าหมายก็คือ เป้าหมาย มันยังแน่วแน่ มุ่นมั่นกับมันที่ทะเลสาปโกไซกุนดา
เดินต่อค่ะ! ซัม ซั่ม โดยยังไม่พักทานอาหารเที่ยงนะคะ รอไปทานทีเดียวที่ Lauribinayak
ไม่นานค่ะ สัก 1-2 ชั่วโมงก็ถึงที่พักที่ Lauribinayak แล้ว
พวกเราไปถึงที่นั่นพร้อมกลุ่มเมฆครึ้ม-ลมแรง
เจ้าของที่พักออกมารีบพาม้าไปเก็บในคอก
ไม่สามารถเก็บภาพได้ค่ะ เพราะกลัวกล้องเปียก อีกทั้งฟ้ามืดมาก
เราเข้าไปหลบในห้องอาหารรวม เพื่อรอทานอาหารเที่ยง
และเก็บสัมภาระเข้าห้องพัก ในแบบเดิม เตียง หมอน ผ้าห่ม ประตูมีแค่นี้ จบ!!
ถึงตอนนี้อาการแต่ละคน ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ สังเกตได้จากการรับประทานอาหาร
ดิฉันเข้าปากไปได้ 2 คำ ต้องวาง (อาจไม่ใช่เพราะรสชาติอาหาร แต่คงเป็นเพราะอาการเริ่มต้นของ AMS)
ขอจิบน้ำอุ่น-น้ำขิงซองที่พกมาช่วยให้อุ่นขึ้น ไกด์กำชับว่าห้ามนอนกลางวันเด็ดขาด
อาการจะยิ่งแย่ ให้ฝืนนั่ง และจิบน้ำอุ่นไปค่ะ แล้วค่อยนอนทีเดียวตอนกลางคืน
คืนนี้ฟ้าร้องดังมาก เห็นแสงฟ้าผ่าด้วย
(นึกในใจ...กระท่อมเดี่ยวๆกลางเขาอันโล่งกว้างที่มีแต่หิน ฉันไม่เคยสาบานอะไรไว้นะ!!!)
หลังมื้อเย็น ดิฉันกินยาเพื่อป้องกันอาการ AMS ไว้ดีกว่า....
ตกดึก... เนื่องจากฝาห้องเป็นไม้อัด ไม่อาจกันเสียงใดๆได้ทั้งสิ้น
ดิฉันได้ยินเสียงภาษาไทย ต้องมาจากห้องเพื่อนๆเราแน่นอน
"แก! ฉันไม่ไหวแล้ว อยากอ้วกว่ะ!"
ได้ยินเช่นนั้น ดิฉันเดินไปเคาะห้องทันที แจกจ่ายยา Diamox ไป 1/2 เม็ด
ทุกอย่างสงบ จนถึงเช้า......
ตื่นตี 5 เวลาเดิมค่ะ ออกมาเดินเล่นชมบรรยากาศยามเช้าตามปกติ แต่สิ่งที่เห็นคือ.......!!!!!!
อะไรกันเนี่ย!!! เมื่อคืนนึกว่าเสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่า พายุฝน ที่แท้มันคือหิมะ เหรอเนี่ย???? เห้ย!!! ดีใจอ่ะ
คนเลี้ยงม้าออกมาดูม้า ในคอกแต่เช้า
นั้นแปลว่า เช้านี้เราต้องออกเดินทางลุยหิมะ อันบริสุทธิ์ที่ยังไม่ได้ผ่านรอยเท้าผู้ใดมาก่อนงั้นสินะ
โอววววว! เริ่ด และวันนี้แหล่ะที่เราจะเดินไปสู่ ทะเลสาปศักดิ์สิทธิ์แห่งพระศิวะ เย้ๆๆๆๆๆๆ
Gosaikunda Lake
================
ไว้มาต่อตอนหน้า การเดินทางท่ามกลางหิมะกันค่ะ มันคือโลกใหม่จริงๆ
อ่านต่อตอนที่ 4 วันที่สามของการ Trek ได้จากลิงค์นี้คร้า:
http://ppantip.com/topic/35178713/comment11
[CR] Trekking Nepal: เส้นทาง Gosaikunda Lake (Langtang) เริ่ม Trek วันที่สอง Sing Gompa to Lauribinayak 3850m
===========================
ตอนแรก เรื่องการเตรียมความพร้อมก่อนเดินทางและการเดินทางบนถนนอันหฤโหด http://ppantip.com/topic/35158572
ตอนสอง วันแรกของการ Trekking: http://ppantip.com/topic/35159715
ตอนสาม วันที่สองของการ Trekking มาต่อกันเลยค่ะ..........>>>>>>
.........ก่อนนอน ได้แจกจ่ายยาคลายกล้ามเนื้อ และยาบรรเทาอาการกล้ามเนื้ออักเสบ หลับสบายเลย (ดิฉันคนเดียว)
และ!!! เป็นธรรมดาของสุขภาพลำไส้ใหญ่ เมื่อมาแปลกถิ่นแปลกที่....วันนี้วันที่ 2 ของการ Trekking แต่เป็นวันที่ 4 ของการเดินทาง
เมื่อไม่ค่อยได้มีเวลาดื่มน้ำ + ไม่ได้มีโอกาสทานผัก-ผลไม้ ยาช่วยระบายก็จัดไปค่ะ
เช้ามาออกไปเรียบร้อย ค่อยสบายตัวหน่อย ฮ่าๆๆๆ (ระหว่างทางเดินป่า ก็เตรียมผ้าถุงไว้ค่ะ เผื่อๆ)
เช้านี้...เมื่อเราได้มาเยือน Sing Gompa (สิงกอมปา) ทั้งทีต้องเข้าไปเยี่ยมชมโรงงานชีสกันนะคะ
นี่คือ โรงเก็บ Yak ชีส (Yak Cheese Store)
การผลิตจะเกิดขึ้นอีกแห่งนึง ซึ่งเก็บนมจาก Yak มาผ่านกระบวนการ แล้วจึงมาเก็บไว้ที่ Store แห่งนี้
ลักษณะจะเป็นก้อนกลมๆเหมือนเค้ก 3 ปอนด์ก้อนใหญ่ๆ
ประโยชน์ของ Yak ชีสคงสารพัดอ่ะค่ะ แหล่งพลังงาน ปรุงอาหารเพิ่มไขมันให้ความอบอุ่นร่างกาย
ที่นี่ คือหน้าร้านขายด้วยค่ะ
ตามเวลานัดดิฉันตื่นตี 5 เหมือนทุกวัน เพื่อจัดเก็บกระเป๋าเตรียมเดินทางในแต่ละวัน
และออกมาเดินเล่นรอเวลาอาหารเช้า 6:00
ทุกครั้งเมื่อถึงเวลาอาหาร มันเป็นอะไรที่ลุ้นมาก....ว่าวันนี้เราจะเสี่ยง!!
หรือเราจะ Save ตัวเองด้วยเมนูไข่ต้ม ไข่ดาว ไข่เจียว หรือไข่คน
วันนี้ดิฉันเลือกเสี่ยง! ค่ะ เมนูอาหารเช้าขอ Milk Muesli with Apple
แทน แท่น แท้น !!
ราคาในเมนูเป็นหน่วยรูปีค่ะ คิดผันเป็นบาทไทยเร็วๆง่ายๆคร่าวๆคือ หารสองเอาค่ะ
ภาพในจานใหญ่คือ ไข่เจียวค่ะความเค็มจะมาจากชีส
ตอนวันแรกๆเราก็บ่นกันว่าจะใส่เกลือมาทำไมเยอะแยะ เค็มทั้งไข่ดาว ไข่เจียวอ่ะ
หลังๆเริ่มเข้าใจว่า....ความเค็มมาจากกระบวนการทอดจากชีส (มั้ง?)
ภาพถ้วยเล็กๆด้านหลังไข่เจียว คือ Milk Muesli with Apple ที่ดิฉันสั่งค่ะ เริ่ดค่ะ!
มันคล้ายๆ นมใส่คอนเฟลก แต่เพิ่ม Apple มาด้วย
แต่ต่างกันตรงที่นมค่ะ ดิฉันถามเค้าว่านมอะไร ทำไมมันอร่อยเวอร์วังขนาดนี้
นางตอบว่า "Cow"
....รสชาตินมวัวมันไม่เหมือนนมวัวบ้านเรา คือ...เนื้อนมจะเบากว่า หอม และไม่เลี่ยนคอ
ตอนแรกพวกเราเดากันว่าเป็นเพราะวัวที่นี่มันมีความสุขแน่ๆเลย อากาศก็ดี
เลี้ยงก็แบบปล่อยอิสระ ไม่ต้องฉีดยาปฎิชีวนะ ปล่อยกินหญ้าไปเรื่อยๆ
แต่เพิ่งมาทราบหลังจากกลับมาไทยว่า ปศุสัตว์ที่นั่นยังเป็นแบบดั้งเดิม
นมวัว นมควาย จะผสมปนเปกันไป ไม่ได้คัดแยกการปศุสัตว์แบบบ้าน
ผู้รู้ท่านใด มีความรู้ มาช่วยแชร์ประสบการณ์กันนะคะ ว่าทำไมนมวัวที่นั่นถึงอร่อยมาก
อ่ิมท้องแล้ว จิบชาร้อน กาแฟร้อนไป บ้างก็ออกมา Warm up ก่อนออกเดินเสมอนะจ๊ะ ไปกัน! ซัม ซั่ม!!!
ความสูงที่หมู่บ้านสิงกอมปา คือ 3300m จึงเร่ิมมีป้ายเตือนอาการ AMS (Acute Mountain Sickness)
แต่จนถึงตอนนี้ พวกเราอึดกันจริงๆ ไม่มีอาการเลยค่ะ เร่ิดดดดดดด!
Bye bye Sing Gompa
ภูมิประเทศหลังจากนี้ จะมีความแตกต่างจากเมื่อวานแล้วค่ะ จากป่ากุหลาบพันปีจะเริ่มเป็นป่าโอ๊ค
และข้อดีของการเริ่มออกเดินตอนเช้า อากาศดี สดชื่น สุดๆค่ะ ลั้นลา... ลั้นลา...
เดินกันอย่างเพลิดเพลิน เจอ Yak baby ตัวเล็กด้วยมันลักษณะคล้ายควายผสมวัว ยังไงสักอย่าง
ธรรมชาติ ต้นไม้สูง ช่างใหญ่โต-อลังการ
มนุษย์ตัวน้อยๆอย่างพวกเรา ก็ค่อยๆไต่ ค่อยๆเดินเลาะไปตามทางก้อนหิน
เวลาเดิน.... ลูกหาบชอบเปิดเพลงเนปาล สนุกดี เข้ากับบรรยากาศมากค่ะ
เดินไปเรื่อยๆค่ะ ชมนก-ชมไม้-ชมธรรมชาติ ไม่ต้องไปคิดหรอกค่ะว่าเมื่อไหร่จะถึง
ขอให้อยู่กับปัจจุบันเข้าไว้ หายใจเข้าท้องป่อง หายใจออกท้องแฟ่บ
สูดออกซิเจนเข้าไปเยอะๆ สูดตุนเอาไว้เยอะๆค่ะ
เพราะกลับมากรุงเทพฯบ้านเรา มันเหลือออกซิเจนน้อยเต็มที
ประนึงเป็นการเดินทางมาฟอกปอด ฮ่าๆๆๆ
ผ่านไปไม่ช้า ไม่นาน สัก 2-3 ชั่วโมงได้มั้ง ก็มาถึงที่พักกลางทางแห่งเดียวที่มี
เรานั่งชมวิว จิบชาร้อนให้ความอบอุ่น และแวะซื้อหมวกไหมพรม
ปักลาย โกไซกุนดาครบเหมือนกันทั้งทีม
...เพื่อเตรียมไปเจออากาศหนาวเหน็บของทะเลสาปฯในคืนถัดไป (ไม่ใช่คืนนี้นะ)
จริงๆในวันฟ้าเปิดเราจะได้เห็นวิวยอด Langtang Lirung จากตรงนี้ด้วยค่ะ
แต่ช่วงที่เราไป ฟ้าปิดตลอด หมอกหนาทุกวัน
น่ั่งพักสักแพ่บ มีคนเดินสวนลงมาจากข้างบนค่ะ เย้ๆๆๆ เจอคนแล้ว!!!!
เค้าบอกเราว่า ข้างบนไม่มี Snow แล้วนะ (พวกเราแอบเซ็งนิดหน่อย)
แหม!! ก็เมืองร้อน ฤดูเดียวอย่างเรา ใส่เสื้อยืด-กางเกงขาสั้นได้ตั้งแต่ มกราคมยันธันวาคม
จะสัมผัสหิมะ กันได้บ่อยๆเมื่อไหร่ล่ะ?
แต่เป้าหมายก็คือ เป้าหมาย มันยังแน่วแน่ มุ่นมั่นกับมันที่ทะเลสาปโกไซกุนดา
เดินต่อค่ะ! ซัม ซั่ม โดยยังไม่พักทานอาหารเที่ยงนะคะ รอไปทานทีเดียวที่ Lauribinayak
ไม่นานค่ะ สัก 1-2 ชั่วโมงก็ถึงที่พักที่ Lauribinayak แล้ว
พวกเราไปถึงที่นั่นพร้อมกลุ่มเมฆครึ้ม-ลมแรง
เจ้าของที่พักออกมารีบพาม้าไปเก็บในคอก
ไม่สามารถเก็บภาพได้ค่ะ เพราะกลัวกล้องเปียก อีกทั้งฟ้ามืดมาก
เราเข้าไปหลบในห้องอาหารรวม เพื่อรอทานอาหารเที่ยง
และเก็บสัมภาระเข้าห้องพัก ในแบบเดิม เตียง หมอน ผ้าห่ม ประตูมีแค่นี้ จบ!!
ถึงตอนนี้อาการแต่ละคน ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ สังเกตได้จากการรับประทานอาหาร
ดิฉันเข้าปากไปได้ 2 คำ ต้องวาง (อาจไม่ใช่เพราะรสชาติอาหาร แต่คงเป็นเพราะอาการเริ่มต้นของ AMS)
ขอจิบน้ำอุ่น-น้ำขิงซองที่พกมาช่วยให้อุ่นขึ้น ไกด์กำชับว่าห้ามนอนกลางวันเด็ดขาด
อาการจะยิ่งแย่ ให้ฝืนนั่ง และจิบน้ำอุ่นไปค่ะ แล้วค่อยนอนทีเดียวตอนกลางคืน
คืนนี้ฟ้าร้องดังมาก เห็นแสงฟ้าผ่าด้วย
(นึกในใจ...กระท่อมเดี่ยวๆกลางเขาอันโล่งกว้างที่มีแต่หิน ฉันไม่เคยสาบานอะไรไว้นะ!!!)
หลังมื้อเย็น ดิฉันกินยาเพื่อป้องกันอาการ AMS ไว้ดีกว่า....
ตกดึก... เนื่องจากฝาห้องเป็นไม้อัด ไม่อาจกันเสียงใดๆได้ทั้งสิ้น
ดิฉันได้ยินเสียงภาษาไทย ต้องมาจากห้องเพื่อนๆเราแน่นอน
"แก! ฉันไม่ไหวแล้ว อยากอ้วกว่ะ!"
ได้ยินเช่นนั้น ดิฉันเดินไปเคาะห้องทันที แจกจ่ายยา Diamox ไป 1/2 เม็ด
ทุกอย่างสงบ จนถึงเช้า......
ตื่นตี 5 เวลาเดิมค่ะ ออกมาเดินเล่นชมบรรยากาศยามเช้าตามปกติ แต่สิ่งที่เห็นคือ.......!!!!!!
อะไรกันเนี่ย!!! เมื่อคืนนึกว่าเสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่า พายุฝน ที่แท้มันคือหิมะ เหรอเนี่ย???? เห้ย!!! ดีใจอ่ะ
คนเลี้ยงม้าออกมาดูม้า ในคอกแต่เช้า
นั้นแปลว่า เช้านี้เราต้องออกเดินทางลุยหิมะ อันบริสุทธิ์ที่ยังไม่ได้ผ่านรอยเท้าผู้ใดมาก่อนงั้นสินะ
โอววววว! เริ่ด และวันนี้แหล่ะที่เราจะเดินไปสู่ ทะเลสาปศักดิ์สิทธิ์แห่งพระศิวะ เย้ๆๆๆๆๆๆ
Gosaikunda Lake
================
ไว้มาต่อตอนหน้า การเดินทางท่ามกลางหิมะกันค่ะ มันคือโลกใหม่จริงๆ
อ่านต่อตอนที่ 4 วันที่สามของการ Trek ได้จากลิงค์นี้คร้า: http://ppantip.com/topic/35178713/comment11