เมื่อหกเจ็ดปีที่แล้ว
ขณะที่ผมเดินเที่ยวอยู่ในตัวเมืองกัวลาลัมเปอร์
ผมเจอเด็กผู้หญิง น่ารักคนหนึ่ง
อะไรบางอย่างที่ตัวเธอ
อาจจะเป็น 'รอยยิ้ม'
ฉุดให้พบเดินกลับมา
หลังจากเดินผ่านเธอไปแล้ว
บางทีบางคำถามก็ตอบยากนะ
ว่าอะไร ในจำนวนคนหมื่นแสนล้าน
ที่เดินสวนทางกับเรา
ทำให้ใครสักคนได้รู้จักกัน
แต่สำหรับครั้งนี้ ต้องมี 'ความกล้า' อยู่ในนั้น
ผมตัดสินใจเดินตรงไปที่เธอ
และนั่นคือชั่วไม่กี่วินาทีที่เราได้รู้จักคนคนหนึ่ง
ผมขอถ่ายรูปเธอ
ก่อนเอารูปจากในกล้องให้เธอดูรูปที่ถ่าย
เธอหันมายิ้มให้ และพูดประโยคประโยคหนึ่ง
ที่ผมตีความว่าเหมือนบอกความในใจ (มโนไปไกลเอง)
ก็รอยยิ้มมันฟ้องอย่างนั้นอะ
ทั้งที่เธอแค่บอก "ขอบคุณ"
และนั่นเป็นครั้งแรกที่เราเจอกัน
แล้วเป็นครั้งสุดท้ายด้วย
ขณะที่นั่งอยู่บนเครื่องบิน
อดคิดสงสัยไม่ได้ว่ากลับมา มาเลย์รอบนี้จะเจอเธออีกไหม
หรือบางทีเธออาจเป็นเหมือนรุ้งสายฝน
ที่จางหายนานไปแล้ว
....
เหลือแต่ความทรงจำ
เครื่องบินลงสนามบินกัวลาฯ KLIA2
เราเดินต่อไปตามป้าย เพื่อไปขึ้นรถไฟ KLIA Trasit (ไปไม่ยากครับ) ตามป้ายไป
เดินออกจากสนามบินเพื่อไปขึ้นรถไฟ
เพื่อไป Putrajaya (ปุตราจาย่า) สถานีปุตราจาย่า อยู่ระหว่างทางจากสนามบินเข้าตัวเมืองกัวลาลัมเปอร์
ขณะยืนรอรถเจอเด็กหนุ่มมาคนเดียว
"ถามว่าจะไป KLIA1 อย่างไร"
ผมเปิดหนังสือเดินทางให้แน่ใจ ก่อนตอบไปว่า "นั่งไปอีกหนึ่งสถานีจากตรงนี้"
นั่งรถไฟไม่นานก็ถึงปุตราจาย่า ลืมบอกบนรถไฟมี Wifi ให้ใช้ด้วยนะครับ เพื่ออยากอัพรูป FB กัน
มาถึงสถานีรถไฟปุตราจาย่า เราต้องนั่งรถบัสต่อเข้าไป
เป้าหมายของผมคือ มัสยิดสีชมพู
ต้องต่อรถบัสสาย 21 เพื่อเข้าไปต่อ
คือแต่ละสายไปไม่เหมือนกันนะครับ
เพราะตัวปุตราจาย่า คือ ศูนย์รวมศูนย์ราชการสำคัญของมาเลเซีย
ที่เป็นที่ตั้ง รัฐสภา รวมถึงกระทรวงต่างๆ ห้างร้าน และที่อยู่อาศัย ที่สร้างออกมาเป็นเมืองๆ หนึ่ง
นอกตัวเมืองกัวลาฯ
ตามวิสัยทัศน์ของอดีตผู้นำมาเลเซีย มหาเธร์ โมฮัมหมัด หรือ ดร.เอ็ม
เพื่อรองรับความแออัดยัดเยียดในตัวเมือง บวกตัวอาคารต่างเป็นสถาปัตย์กรรมออกแบบสวยๆ
สะท้อนวัฒนธรรม ความเชื่อ ตามค่านิยมของชาติ ผสมกับความสมัยใหม่
จนกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกที่
เมื่อหลายปีก่อนผมเคยมาปุตราจาย่าครับ
แต่ไปอยู่อีกฝังหนึ่งของเมือง
ไม่ได้มามัสยิดสีชมพู ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของที่นี่
เหตุผลเพราะอะไรหรือครับ
นั่งรถผิดสายครับ (หลง นั่นเอง)
มัสยิดสีชมพู
สำนักงานนายกรัฐมนตรีอยู่ใกล้มัสยิดครับ
ด้วยแดดร้อนถึงลมจะเย็น เราจึงรีบออกจากปุตราจาย่า
เพื่อนั่งรถไฟไปเข้าไป KL Sentel ที่เป็นศูนย์กลางการเดินรถของที่นี่
เพื่อนั่งรถไฟ Monorail (สายสีเขียว)
เพื่อไปต่อยังที่พัก
พอถึง KL Sentral (ในกรณีจองที่พักตามแนว รถไฟสายสีเขียว)
เราสามารถเดินขึ้นบันไดเลื่อน แล้วเข้าไปในห้างก่อน
จะมีป้ายบอกทาง จะมีรูปสีเขียว บอกตลอดทางครับ
ก่อนไปลงสถานี Bukit Bintang บูกิต บินตัง
พอเข้าไปเช็คอินเรียบร้อย
ออกมากินร้านอาหารร้านชื่อดัง ที่มีสาขามากที่สุดที่หนึ่งของที่นี่
'Ole Town White Coffee'
สาขา บูกิต บันตัง
เมนูส่วนใหญ่ที่เป็นอาหารต้องเรียกว่า อร่อยครับ
แต่ถ้าขนมปังก็เฉยๆ
ภาพสุดท้าย Signature ของร้านอร่อยมาก
กินข้าวเสร็จนั่งรถไฟฟ้าจากบูกิต บินตังมาลงสถานี Imbi หนึ่งสถานี
มาห้าง Berjaya Times Square
ห้างเก่าไปเยอะมากจากที่มาเดินเมื่อหลายปีก่อน
คนเดินน้อยมาก สภาพห้างจากไฮโซเมื่อหลายปีก่อน ปัจจุบันออกแนวห้างคล้ายแพททินัม ประตูน้ำบ้านเรา
สมัยที่ผมมาครั้งก่อนคนเดินหนาแน่นมาก ตอนนี้เงียบๆ อาจเป็นเพราะวันพฤหัสด้วยหรือเปล่าไม่แน่ใจ
ห้างนี้มีของมีชื่ออีกอย่าง คือเอาสวนสนุกขนาดใหญ่ มาไว้ในห้าง
แต่จากที่ผมไปดู ก็ไม่ตัดสินใจเล่น เพราะเครื่องเล่นค่อนข้างเก่า และราคาไม่ค่อยถูกครับ
เราเดินเล่นในตัวเมืองต่อ
เพื่อไปยังจุดหมายอีกแห่งหนึ่ง
ที่นี่ครับโรงงานช็อคโกแลต ที่มีจำหน่ายช็อคโกแลตราคาขายปลีก
ปรากฎว่าปิด เพราะเรามาหลังหกโมงเย็นแล้ว จะเปิดอีกทีเก้าโมงเช้า
เราเลยไปต่อยังจุดหมายถัดไป
....
มัสยิดจาเม็ก (masjid jamek)
เราสามารถมาได้โดย ลงรถไฟฟ้า สถานี Masjid jamek ชื่อเดียวกับตัวมัสยิดเลย
ตอนที่ลงมาเป็นช่วงที่เขากำลังพิธีกัน ทำให้ได้ยินเสียงสวดมนต์ ได้บรรยากาศพอสมควร
เดินลงจากสถานีจะเจอร้าน Burger King เลี้ยวขวาแล้วเดินตรงมา
จะเจอหอนาฬิกา ซึ่งจะมีน้ำพุเปลี่ยนสีเล็กอยู่ข้างหลัง
และจะเจอตัวตึกป้ายไฟสีฟ้า Pacific Express Hotel
ถ้าเดินไปข้างตัวตึกทางซ้ายมือ ถนนสายนั้นจะพาเราไป
Central Market และย่าน China Town
แต่ผมไปทางขวาก่อน เพื่อจะไป Walking Route เส้นทางสายประวัติศาสตร์ หรือ
แถว Merdeka Datalan นั้นมีเป็นสถานที่ซึ่งสำคัญทางประวัติศาสตร์ของชนชาติมาเลเซีย
ไปแถวนั้นก็จะเห็นเสาธงชาติเต็มไปหมด+ลานสนามหญ้ากว้างที่คนมาพักผ่อนกัน
ฝั่งตรงข้ามเป็นไฮไลท์อีกที
ทีนักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกัน
อาคารสุลต่านอับดุลซามัค (Sultan Abdul Samad) หรือรู้จักกันในอาคารเปลี่ยนสี
นั่งอยูที่นี่พักหนึ่ง เห็นทัวร์ฝรั่งมาลงถ่ายรูป แล้วทัวร์ก็เรียกกลับขึ้นรถ
แบบสายฟ้าแลบ
ผมไปต่อ Central Market ซึ่งเป็นศูนย์รวมที่ซื้อของฝาก สำหรับนักท่องเที่ยว
เพิ่งสังเกตเห็นว่าใน Central Market ร้าน Old Town White Coffee แต่ละสาขาหน้าตาจะไม่เหมือนกัน
ออกมาจาก ใน Central Market หน่อยจะเจอ ร้านอาหารร้านนี้ครับ
ซึ่งเป็นร้านอาหารมีชื่อเสียง รายการกับหนังสือท่องเที่ยวส่วนใหญ่แนะนำให้มากิน
แต่ผมจุดมุ่งหมายร้านอาหารที่ China Town แล้ว เลยขอผ่าน
จุดหมายสุดท้ายของคืนนี้
คือที่นี่ครับ ร้านอาหาร หน้าตาบ้านๆ Koon kee wan tan me ที่ผมเห็นยืนปั้นเกี๊ยวกันสดๆ เลย
ยิ่งเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติมากิน และต้องถ่ายรูปก่อนลงมือรับประทานน่ารับประกันคุณภาพได้
เพราะทุกโต๊ะสั่งเหมือนกันหมด บะหมี่รูปร่างอย่างในรูป กับ เกี๊ยวน้ำ
แต่ผม แม่ และน้อง กิน บะหมี่ก็เฉยๆ
แต่เกี๊ยว นี่สุดยอดไปเลย ต้องยอมให้ครับ
หลังจากกินเสร็จ เราก็ออกมาเดินเล่น
คืนนี้ที่ China Town มีฝรั่งหัวแดงมาเดินเล่น กินข้าวกันเยอะ
ผมอดจะเล่าให้แม่กับน้องฟัง ถึงเรื่องเมื่อหลายปีก่อน
ที่เจอคนไทย แต่งตัว (น่าจะเรียกว่าปลอมตัวได้)
เป็นนักบวช และเดินออกขอเงินตาม ร้านอาหารโต๊ะที่คนนั่งกิน
กลับมาคืนนี้ ไม่พบบรรยากาศแบบนั้น
น่าแปลกหลายภาพ ก่อนเดินทางมาถึงที่นี่
บางความรู้สึก บางอย่างยังอยู่ในหัว
แต่ภาพไม่ชัดเจนนัก
แต่พอได้มายืน มาเดินอีกครั้ง
ภาพเหล่านั้น กลับชัดเจนขึ้น
เหมือนภาพเหล่านั้น เพิ่งภาพไปไม่นานนี้เอง
เช่นกันกับผู้หญิงที่ผมรวบรวมเดินเข้าไปทักทาย ขอถ่ายรูปกับเธอ
หลังผมเอาภาพถ่ายในมือถือ ให้เธอดู
ผมลังเลว่าจะขออีเมล์ หรือ ไฮไฟท์ (ยุคนั้นยังไม่มี Facebook เฟคเพิ่งมาที่หลังจากนั้นไม่นาน) ดีมั้ย?
ผมยืนลังเลด้วยการมองหน้าเธอ อยู่นาน
....
โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ
หรือ ติดตามได้ก่อนใคร ที่ลิงค์นี้ครับ
http://longitudethai.blogspot.com/
[CR] กัวลาลัมเปอร์ มีอะไร? วันที่หนึ่ง
เมื่อหกเจ็ดปีที่แล้ว
ขณะที่ผมเดินเที่ยวอยู่ในตัวเมืองกัวลาลัมเปอร์
ผมเจอเด็กผู้หญิง น่ารักคนหนึ่ง
อะไรบางอย่างที่ตัวเธอ
อาจจะเป็น 'รอยยิ้ม'
ฉุดให้พบเดินกลับมา
หลังจากเดินผ่านเธอไปแล้ว
บางทีบางคำถามก็ตอบยากนะ
ว่าอะไร ในจำนวนคนหมื่นแสนล้าน
ที่เดินสวนทางกับเรา
ทำให้ใครสักคนได้รู้จักกัน
แต่สำหรับครั้งนี้ ต้องมี 'ความกล้า' อยู่ในนั้น
ผมตัดสินใจเดินตรงไปที่เธอ
และนั่นคือชั่วไม่กี่วินาทีที่เราได้รู้จักคนคนหนึ่ง
ผมขอถ่ายรูปเธอ
ก่อนเอารูปจากในกล้องให้เธอดูรูปที่ถ่าย
เธอหันมายิ้มให้ และพูดประโยคประโยคหนึ่ง
ที่ผมตีความว่าเหมือนบอกความในใจ (มโนไปไกลเอง)
ก็รอยยิ้มมันฟ้องอย่างนั้นอะ
ทั้งที่เธอแค่บอก "ขอบคุณ"
และนั่นเป็นครั้งแรกที่เราเจอกัน
แล้วเป็นครั้งสุดท้ายด้วย
ขณะที่นั่งอยู่บนเครื่องบิน
อดคิดสงสัยไม่ได้ว่ากลับมา มาเลย์รอบนี้จะเจอเธออีกไหม
หรือบางทีเธออาจเป็นเหมือนรุ้งสายฝน
ที่จางหายนานไปแล้ว
....
เหลือแต่ความทรงจำ
เครื่องบินลงสนามบินกัวลาฯ KLIA2
เราเดินต่อไปตามป้าย เพื่อไปขึ้นรถไฟ KLIA Trasit (ไปไม่ยากครับ) ตามป้ายไป
เดินออกจากสนามบินเพื่อไปขึ้นรถไฟ
เพื่อไป Putrajaya (ปุตราจาย่า) สถานีปุตราจาย่า อยู่ระหว่างทางจากสนามบินเข้าตัวเมืองกัวลาลัมเปอร์
ขณะยืนรอรถเจอเด็กหนุ่มมาคนเดียว
"ถามว่าจะไป KLIA1 อย่างไร"
ผมเปิดหนังสือเดินทางให้แน่ใจ ก่อนตอบไปว่า "นั่งไปอีกหนึ่งสถานีจากตรงนี้"
นั่งรถไฟไม่นานก็ถึงปุตราจาย่า ลืมบอกบนรถไฟมี Wifi ให้ใช้ด้วยนะครับ เพื่ออยากอัพรูป FB กัน
มาถึงสถานีรถไฟปุตราจาย่า เราต้องนั่งรถบัสต่อเข้าไป
เป้าหมายของผมคือ มัสยิดสีชมพู
ต้องต่อรถบัสสาย 21 เพื่อเข้าไปต่อ
คือแต่ละสายไปไม่เหมือนกันนะครับ
เพราะตัวปุตราจาย่า คือ ศูนย์รวมศูนย์ราชการสำคัญของมาเลเซีย
ที่เป็นที่ตั้ง รัฐสภา รวมถึงกระทรวงต่างๆ ห้างร้าน และที่อยู่อาศัย ที่สร้างออกมาเป็นเมืองๆ หนึ่ง
นอกตัวเมืองกัวลาฯ
ตามวิสัยทัศน์ของอดีตผู้นำมาเลเซีย มหาเธร์ โมฮัมหมัด หรือ ดร.เอ็ม
เพื่อรองรับความแออัดยัดเยียดในตัวเมือง บวกตัวอาคารต่างเป็นสถาปัตย์กรรมออกแบบสวยๆ
สะท้อนวัฒนธรรม ความเชื่อ ตามค่านิยมของชาติ ผสมกับความสมัยใหม่
จนกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกที่
เมื่อหลายปีก่อนผมเคยมาปุตราจาย่าครับ
แต่ไปอยู่อีกฝังหนึ่งของเมือง
ไม่ได้มามัสยิดสีชมพู ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของที่นี่
เหตุผลเพราะอะไรหรือครับ
นั่งรถผิดสายครับ (หลง นั่นเอง)
มัสยิดสีชมพู
สำนักงานนายกรัฐมนตรีอยู่ใกล้มัสยิดครับ
ด้วยแดดร้อนถึงลมจะเย็น เราจึงรีบออกจากปุตราจาย่า
เพื่อนั่งรถไฟไปเข้าไป KL Sentel ที่เป็นศูนย์กลางการเดินรถของที่นี่
เพื่อนั่งรถไฟ Monorail (สายสีเขียว)
เพื่อไปต่อยังที่พัก
พอถึง KL Sentral (ในกรณีจองที่พักตามแนว รถไฟสายสีเขียว)
เราสามารถเดินขึ้นบันไดเลื่อน แล้วเข้าไปในห้างก่อน
จะมีป้ายบอกทาง จะมีรูปสีเขียว บอกตลอดทางครับ
ก่อนไปลงสถานี Bukit Bintang บูกิต บินตัง
พอเข้าไปเช็คอินเรียบร้อย
ออกมากินร้านอาหารร้านชื่อดัง ที่มีสาขามากที่สุดที่หนึ่งของที่นี่
'Ole Town White Coffee'
สาขา บูกิต บันตัง
เมนูส่วนใหญ่ที่เป็นอาหารต้องเรียกว่า อร่อยครับ
แต่ถ้าขนมปังก็เฉยๆ
ภาพสุดท้าย Signature ของร้านอร่อยมาก
กินข้าวเสร็จนั่งรถไฟฟ้าจากบูกิต บินตังมาลงสถานี Imbi หนึ่งสถานี
มาห้าง Berjaya Times Square
ห้างเก่าไปเยอะมากจากที่มาเดินเมื่อหลายปีก่อน
คนเดินน้อยมาก สภาพห้างจากไฮโซเมื่อหลายปีก่อน ปัจจุบันออกแนวห้างคล้ายแพททินัม ประตูน้ำบ้านเรา
สมัยที่ผมมาครั้งก่อนคนเดินหนาแน่นมาก ตอนนี้เงียบๆ อาจเป็นเพราะวันพฤหัสด้วยหรือเปล่าไม่แน่ใจ
ห้างนี้มีของมีชื่ออีกอย่าง คือเอาสวนสนุกขนาดใหญ่ มาไว้ในห้าง
แต่จากที่ผมไปดู ก็ไม่ตัดสินใจเล่น เพราะเครื่องเล่นค่อนข้างเก่า และราคาไม่ค่อยถูกครับ
เราเดินเล่นในตัวเมืองต่อ
เพื่อไปยังจุดหมายอีกแห่งหนึ่ง
ที่นี่ครับโรงงานช็อคโกแลต ที่มีจำหน่ายช็อคโกแลตราคาขายปลีก
ปรากฎว่าปิด เพราะเรามาหลังหกโมงเย็นแล้ว จะเปิดอีกทีเก้าโมงเช้า
เราเลยไปต่อยังจุดหมายถัดไป
....
มัสยิดจาเม็ก (masjid jamek)
เราสามารถมาได้โดย ลงรถไฟฟ้า สถานี Masjid jamek ชื่อเดียวกับตัวมัสยิดเลย
ตอนที่ลงมาเป็นช่วงที่เขากำลังพิธีกัน ทำให้ได้ยินเสียงสวดมนต์ ได้บรรยากาศพอสมควร
เดินลงจากสถานีจะเจอร้าน Burger King เลี้ยวขวาแล้วเดินตรงมา
จะเจอหอนาฬิกา ซึ่งจะมีน้ำพุเปลี่ยนสีเล็กอยู่ข้างหลัง
และจะเจอตัวตึกป้ายไฟสีฟ้า Pacific Express Hotel
ถ้าเดินไปข้างตัวตึกทางซ้ายมือ ถนนสายนั้นจะพาเราไป
Central Market และย่าน China Town
แต่ผมไปทางขวาก่อน เพื่อจะไป Walking Route เส้นทางสายประวัติศาสตร์ หรือ
แถว Merdeka Datalan นั้นมีเป็นสถานที่ซึ่งสำคัญทางประวัติศาสตร์ของชนชาติมาเลเซีย
ไปแถวนั้นก็จะเห็นเสาธงชาติเต็มไปหมด+ลานสนามหญ้ากว้างที่คนมาพักผ่อนกัน
ฝั่งตรงข้ามเป็นไฮไลท์อีกที
ทีนักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกัน
อาคารสุลต่านอับดุลซามัค (Sultan Abdul Samad) หรือรู้จักกันในอาคารเปลี่ยนสี
นั่งอยูที่นี่พักหนึ่ง เห็นทัวร์ฝรั่งมาลงถ่ายรูป แล้วทัวร์ก็เรียกกลับขึ้นรถ
แบบสายฟ้าแลบ
ผมไปต่อ Central Market ซึ่งเป็นศูนย์รวมที่ซื้อของฝาก สำหรับนักท่องเที่ยว
เพิ่งสังเกตเห็นว่าใน Central Market ร้าน Old Town White Coffee แต่ละสาขาหน้าตาจะไม่เหมือนกัน
ออกมาจาก ใน Central Market หน่อยจะเจอ ร้านอาหารร้านนี้ครับ
ซึ่งเป็นร้านอาหารมีชื่อเสียง รายการกับหนังสือท่องเที่ยวส่วนใหญ่แนะนำให้มากิน
แต่ผมจุดมุ่งหมายร้านอาหารที่ China Town แล้ว เลยขอผ่าน
จุดหมายสุดท้ายของคืนนี้
คือที่นี่ครับ ร้านอาหาร หน้าตาบ้านๆ Koon kee wan tan me ที่ผมเห็นยืนปั้นเกี๊ยวกันสดๆ เลย
ยิ่งเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติมากิน และต้องถ่ายรูปก่อนลงมือรับประทานน่ารับประกันคุณภาพได้
เพราะทุกโต๊ะสั่งเหมือนกันหมด บะหมี่รูปร่างอย่างในรูป กับ เกี๊ยวน้ำ
แต่ผม แม่ และน้อง กิน บะหมี่ก็เฉยๆ
แต่เกี๊ยว นี่สุดยอดไปเลย ต้องยอมให้ครับ
หลังจากกินเสร็จ เราก็ออกมาเดินเล่น
คืนนี้ที่ China Town มีฝรั่งหัวแดงมาเดินเล่น กินข้าวกันเยอะ
ผมอดจะเล่าให้แม่กับน้องฟัง ถึงเรื่องเมื่อหลายปีก่อน
ที่เจอคนไทย แต่งตัว (น่าจะเรียกว่าปลอมตัวได้)
เป็นนักบวช และเดินออกขอเงินตาม ร้านอาหารโต๊ะที่คนนั่งกิน
กลับมาคืนนี้ ไม่พบบรรยากาศแบบนั้น
น่าแปลกหลายภาพ ก่อนเดินทางมาถึงที่นี่
บางความรู้สึก บางอย่างยังอยู่ในหัว
แต่ภาพไม่ชัดเจนนัก
แต่พอได้มายืน มาเดินอีกครั้ง
ภาพเหล่านั้น กลับชัดเจนขึ้น
เหมือนภาพเหล่านั้น เพิ่งภาพไปไม่นานนี้เอง
เช่นกันกับผู้หญิงที่ผมรวบรวมเดินเข้าไปทักทาย ขอถ่ายรูปกับเธอ
หลังผมเอาภาพถ่ายในมือถือ ให้เธอดู
ผมลังเลว่าจะขออีเมล์ หรือ ไฮไฟท์ (ยุคนั้นยังไม่มี Facebook เฟคเพิ่งมาที่หลังจากนั้นไม่นาน) ดีมั้ย?
ผมยืนลังเลด้วยการมองหน้าเธอ อยู่นาน
....
โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ
หรือ ติดตามได้ก่อนใคร ที่ลิงค์นี้ครับ http://longitudethai.blogspot.com/