สวัสดีค่ะเพื่อนๆชาว Pantip
ก่อนอื่นต้องขอบคุณสมาชิกทุกๆคนที่ช่วยกันสร้างสังคมออนไลน์ที่อบอุ่นนี้ขึ้นมานะคะ เพราะเวลาไผ่มีคำถามอะไรก็ได้รับคำแนะนำดีๆมาตลอดที่ผ่านมา
กระทู้นี้มีจุดประสงค์แชร์ประสบการณ์การแบกเป้โซโลของไผ่ในทวีปอเมริกาใต้เป็นครั้งแรกค่ะ ต้องขอออกตัวว่าข้อมูลต่างๆอย่างละเอียดทางประวัติศาสตร์ไม่ค่อยมีนะคะ รูปก็งั้นๆค่ะ มีแค่กล้อง 5ล้านพิเซลกะมือถือกากๆที่อยู่รอดในทริปแค่ วันที่ 10 ของการเดินทาง แต่ไผ่อยากแชร์ประสบการณ์ การวางแผนเดินทาง และเรื่องราวต่างๆในแง่มุมของ ผู้หญิงไทยตัวเล็กๆคนนึง ที่มีความฝันอยากเที่ยวรอบโลก ไม่มีโชคลาภ ไม่มีเงินถุงเงินถัง ไม่ได้มีความสามารถพิเศษ ไม่มีงานเงินเดือนสูงๆ หรือโอกาสอะไรที่ยื่นเข้ามาแบบง่ายดาย ทริปนี้เกิดขึ้นได้จากเงินที่ไผ่เก็บเล็กผสมน้อยเป็นเวลาหลายปีและการลาออกจากงานค่ะ เป็นไลฟ์สไตล์ที่พ่อแม่เครียดค่ะ แต่เราไม่เครียด 555 ไผ่ไม่มีเงินเยอะค่ะ ทำงานเท่าไหร่เก็บค่ะ ไม่ฟุ่มเฟือยใดๆทั้งสิ้น เพราะ priority ของไผ่ชัดเจน นั่นคือประสบการณ์จากการท่องเที่ยวค่ะ ไผ่อยากเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแรงบันดาลใจให้เพื่อนๆ โดยเฉพาะผู้หญิงทุกคนให้มีความกล้า กล้าที่จะอยู่กับตัวเอง กล้าที่จะเอาชนะความกลัวของตัวเอง กล้าที่จะยืนหยัดในความเชื่อของตัวเอง กล้าที่จะสำรวจโลกอันกว้างใหญ่และสวยงามใบนี้ค่ะ อย่างที่เคยได้ยินกันว่าจุดมุ่งหมายของการเดินทางไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สาระของการเดินทางอยู่ที่สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางค่ะ การเดินทางคนเดียวมันสอนให้ไผ่ได้รู้จักตัวเองขึ้นมากค่ะ การเดิน และเดินทางเป็นวีธีเดียวที่ทำให้ไผ่มีสติ และสมาธิอยู่กับตัวเองได้ดีที่สุด นั่นคงเป็นเหตุผลหลักว่าทำไม๊ ทำไมไผ่ถึงชอบเดินทาง มันเหมือนกันทำสมาธิดีๆนี่เองค่ะ ถ้าใครนั่งสมาธิแล้วหลับทุกทีเหมือนไผ่ ลองเริ่มเดินทางด้วยตัวเองดูนะคะ อาจจะติดใจเหมือนไผ่ก็ได้ค่ะ
เขียนเรื่อยเปื่อยไปซะยาว ลองมาเข้าเรื่องการเริ่มต้นของการเดินทางครั้งนี้กันดีกว่าค่ะ
ไผ่เลือกเดินทางคนเดียวครั้งแรกในทวีปนี้ก็เพราะว่า 1 ไม่ต้องขอวีซ่าล่วงหน้าค่ะ คนไทยมักจะท่องเที่ยวด้วย visa on arrival กับประเทศส่วนใหญ่ในทวีปอเมริกาใต้ค่ะ ไม่ต้องเสียเวลาเตรียมเอกสารขอวีซ่าให้ปวดกะบาล เงินในบัญชีเป็นศูนย์ก็เที่ยวได้แบบไร้กังวลค่ะ เพราะไม่ต้องโชว์ statement เหตุผลที่ 2 ก็คือมันเป็นทวีปที่ไกลจากบ้านเราทั้งระยะทาง ความรู้สึก และความรู้ที่มีต่อทวีปนี้ค่ะ ไผ่ถือแนวคิดที่ว่า ไปประเทศที่ไปยากๆตอนยังมีสุขภาพดีๆก่อน ประเทศใกล้ๆ ความสะดวกเพียบพร้อมค่อยไปตอนแก่หน่อยก็ได้ค่ะ เหตุผลที่ 3 คือ ไผ่อยากไปประเทศที่ไผ่พูดภาษาของประเทศนั้นไม่ได้ค่ะ มันน่าสนุกและท้าทายมากกกกกก อยากรู้ว่าเราจะเอาตัวรอดในประเทศต่างๆเหล่านี้ด้วยความรู้ภาษาสเปนแบบเบสิคสุดๆของตัวเองได้รึเปล่า เหตุผลที่ 4 คือ อยากไปดูผู้ชายค่ะ!!! สเป็คของไผ่คือต้องเข้มๆ ผมดำๆ จมูกโด่งๆ พูดภาษาอังกฤษแบบมี accent เป็นนักกีฬาตัวยง อะไรทำนองนั้น เอาง่ายๆคือไผ่ว่าผู้ชายทวีปนี้หล่อในสายตาไผ่ค่ะ 555 แหม่ะ สาวๆอย่างเราก็ต้องเคยมีจินตนาการบ้างอะไรบ้างถึงโรแมนซ์ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทางเหมือนในหนังหรือนิยายที่เคยผ่านตาใช่มั๊ยคะ ใครจะไปรู้เราอาจจะเจอเนื้อคู่ตุนาหงันที่รอเราอยู่อีกฟากหนึ่งของโลกก็ได้ อิอิ
สำหรับการเดินทางครั้งนี้อันดับแรกที่ไผ่ทำนะคะคือเตรียมสตางค์ให้พร้อมค่ะ สำคัญสุด มีน้อยมีมากช่างมัน ไผ่เชื่อว่าทุกๆคนสามารถท่องเที่ยวได้ทุกงบประมาณค่ะ นอกจากนั้นสิ่งที่ต้องเตรียมก่อนเดินทางก็คือ
- พาสปอร์ต เช็ควันหมดอายุให้ดี และมีหน้าเปล่าเพียงพอสำหรับการแสตมป์วีซ่านะคะ
- หนังสือท่องเที่ยวค่ะ ไผ่ใช้ของ Footprint ค่ะ จะเป็นสำนักพิมพ์ไหนก็ดีหมดค่ะ ไม่มีเล่มไหนดีกว่ากัน ยังไงก็มีข้อบกพร่องที่ต้องอัพเดทอยู่เสมออยู่แล้ว แต่ไผ่เริ่มต้นการวางแผนการเดินทางด้วยหนังสือค่ะ แล้วหลังจากนั้นรายละเอียดปลีกย่อยแนะนำให้อ่านจากอินเตอร์เน็ตเลย เพราะข้อมูลจะละเอียดและอัพเดทกว่าเยอะค่ะ
- ประกันสุขภาพระหว่างการเดินทางค่ะ มีบริษัทหลากหลายให้เลือกตามความต้องการของแต่ละคน จากประสบการณ์ของไผ่ ถ้าไม่เล่นกิจกรรม extreme พวกดำน้ำ ปีนเขา กระโดดบันจี้จัมป์ อะไรพวกนั้นก็ใช้ประกันท่องเที่ยวแบบธรรมดาก็ได้ค่ะ แต่ไผ่จะให้ความสำคัญกับบริการขนส่งผู้ป่วยหรือผู้เสียชีวิตกลับประเทศที่มีวงเงิน 1 ล้านเหรียญประมาณนั้นค่ะ คืออุ่นใจดีเผื่อเป็นอะไรขึ้นมา การเดินทางสภาพเดี้ยงๆ โคม่า หรือแบบหมดลมหายใจ แพงมาก ถึงมากที่สุดค่ะ ไม่อยากเป็นภาระให้กับทางบ้านค่ะ แต่ใครที่อยากได้แบบครอบคลุมกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงทุกประเภทก็มีเหมือนกันนะคะเป็นของบริษัทในออสเตเลียค่ะ คาดว่าคงหาในอากู๋ได้ไม่ยาก
- บัตรเดบิต บัตรเครดิต เตรียมไว้สัก 2-3 ใบนะคะ เผื่อหาย ไม่ต้องพกเงินสดไปเยอะค่ะ เบิกผ่านบัตรเดบิตสะดวกที่สุด
- เป้ค่ะ สำคัญมากๆ สำหรับแบ็คแพ็กเกอร์ เป้ที่มีคุณภาพดีและเหมาะกับสรีระของตัวเองสำคัญมากนะคะ เพราะการเดินทางด้วยกระเป๋าใบใหญ่ๆ แพ็คให้ดียังไงปวดหลัง ปวดบ่าแน่นอนค่ะ ปวดมากปวดน้อยขึ้นอยู่การเลือกเป้ที่เหมาะสมกับตัวเอง หลังจากที่เดินทางมา ขนาดเป้ที่ตัวเองคิดว่าเลือกมาอย่างดีแล้ว สุดท้ายก็ยังไม่ค่อย practical ค่ะ แนะนำเป้ที่สามารถรูดซิปเปิดโดยไม่ต้องเปิดด้านบนของเป้แบบเปิดได้หมดทั้งกระเป๋าจะดีมากค่ะ ของไผ่รูดซิปเปิดได้แค่ด้านข้าง ยังสะดวกไม่พอค่ะ จากประสบการณ์ การต้องแพ็คของเข้าออกทุกวันมันเหนื่อยค่ะ ปรมาณนี้จะดีมากค่ะ คือแบบที่ใส้ทั้งด้านบนได้และเปิดแบบนี้ได้
- เสื้อผ้า เตรียมให้พร้อมกับสภาพอากาศนะคะ ขาดไม่ได้คือเสื้อกันฝน กางเกงกันฝน กางเกงเดินป่า รองเท้าเดินป่า (สำคัญมาก ถึงมากที่สุดค่ะ) เสื้อกันหนาวก็ดูตามสภาพอากาศนะคะ แต่ไม่ถึงขนาดต้องเอาแบบตัวหนาสำหรับอากาศหนาวจัดไปหรอกค่ะ หนักและเปลืองพื้นที่กระเป๋า ถ้าต้องใช้จริงๆเช่นกันเดินแค้มปิ้งบนภูเขาหิมะทางบริษัททัวร์มีให้เช่าค่ะ
- ยาประจำตัว และถ้ามีติดไว้แล้วจะแฮปปี้มากค่ะ แผ่นแปะบรรเทาอาการปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ อาดม ยาหม่อง ยานอนหลับ ช่วยได้หลายสถานการณ์ค่ะ และสำหรับนักเดินทางสาวๆที่ชอบเดินป่า อย่าลืมยาเลื่อนประจำเดือนไปด้วยนะคะ เพราะบางทีเรามีเวลาจำกัดเรื่องการเดินทาง ถ้าไม่อยากให้ธรรมชาติของร่างกายเราเป็นอุปสรรคต่อการผจญภัยของเรา พกไว้ก็ดีค่ะ เพราะขนาดมีผ้าอนามัยแบบสอดบางครั้งก็ยังไม่สะดวกค่ะ และยาตัวนี้หาซื้อตามร้านขายยาที่นี่ไม่ได้เลยค่ะ
- อุปกรณ์เสริมสำหรับนักเดินทางหญิง อาจจะพกสเปรย์พริกไทย หรืออย่างอื่นที่ใช้ป้องกันตัวไว้ก็ดีค่ะ แต่อย่าใช้อาวุธมีคมจะดีกว่านะคะ เพราะอาวุธนั้นคนร้ายอาจใช้มาทำร้ายเราได้ค่ะ สำหรับไผ่ใช้อุปกรณ์ที่ส่งเสียงดังเมื่อมีการดึงสลักออกค่ะ คือถ้ามีเหตุการณ์อะไรฉุกเฉิน ดึงสลักออกมันจะส่งเสียงไซเรนดังพอสมควร ช่วยดึงดูดความสนใจคนรอบข้างได้ค่ะ
- อุปกรณ์เดินทาง เดินป่าอื่นๆมีอีกมากมาย แพ็คไปตามแต่ความต้องการของแต่ละคนนะคะ ไผ่เน้นอุปกรณ์น้อยค่ะ เพราะเราต้องการเดินทางให้เบาที่สุด
หลังจากอ่านหนังสือท่องเที่ยวพอได้ไอเดียแล้วว่าการเดินทางจากประเทศไหนไปไหนเหมาะกับเราสุดก็เริ่มหาข้อมูลรายละเอียดอย่างละเอียดในอินเตอร์เน็ตค่ะ ตอนแรกไผ่ต้ังใจว่าจะเริ่มจาก ชิลี โบลิเวีย เปรู ขึ้นไปจบที่เอกวาดอร์ แต่อ่านไปอ่านมาสิ่งที่อยากทำในชิลีคือการเดินป่าที่ Torres del Paine National Park เป็นเวลา 10 วัน ซึ่งต้องมีความพร้อมด้านร่างกาย ประสบการณ์ และเงินที่ต้องใช้ในการเดินทาง มันเกินงบเจ้าค่ะ ไม่คุ้มค่ากับการไปในครั้งนี้เลยปลอบใจตัวเองว่าคงต้องเป็นคราวหน้า ไผ่เลยเริ่มต้นจากเหนือลงใต้ที่เอกวาดอร์ เปรู และจบที่โบลิเวียค่ะ ที่ที่ตั้งใจจะไปให้ได้ในครั้งนี้คือ Santa Cruz Trek ซึ่งเป็นหนึ่งในเทรคที่ติดอันดับสวยที่สุดในโลก มาชูปิกชูและทะเลเกลือที่โบลิเวียค่ะ เป็นความใฝ่ฝันตั้งแต่วัยรุ่นที่ในชีวิตนี้จะต้องไปให้ได้ค่ะ ไผ่เน้นธรรมชาติค่ะ ไม่เน้นเมือง เข้าเมืองเมื่อไหร่มันเครียด มันเวียนหัวเหมือนในเพลง แพ้กรุงเทพยังไงอย่างงั้นเลยค่ะ ส่วนที่เหลือจะเจออะไรค่อยว่ากันค่ะ
ไผ่ได้เลือกเมืองที่ต้องการไปตั้งแต่ต้นจนจบ จำนวนวันที่จะอยู่แต่ละที่ สิ่งที่อยากทำ ค่าใช้จ่ายรายวันโดยเฉลี่ย ไผ่คิดละเอียดเป็นรายวันเลยค่ะ ตั้งแต่ค่าแท็กซี่ ค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่าทัวร์ แต่โดยรวมแล้ว ไม่ว่าไปที่ไหนเฉลี่ยแล้วก็ตกวันละ 1,000 บาทกว่าๆ ถ้ารวมค่าตั๋วแล้วก็เฉลี่ยตกวันละประมาณ 2,000 กว่าๆค่ะซึ่งอันนี้คำนวณจากค่าใช้จ่ายทั้งหมดนะคะ จะเดินทางกี่วันก็ว่ากันไป ใช้ตัวเลขนี้ในการคำนวณคร่าวๆของเพื่อนๆก็ได้ค่ะ วันละ 1,000 บวกค่าตั๋วเครื่องบิน (แบ็คแพ็คแบบยาจกนะคะ) ทริปนี้ไผ่ใช้เวลาทั้งหมด 69 วันค่ะ เลขสวยซะด้วย ที่ได้จำนวนวันเท่านี้ก็เพราะว่าดูตั๋วที่ถูกที่สุดเท่าที่จะหาได้ในช่วงเดินทางค่ะ ซึ่งคือระหว่างปลายตุลาคมถึงปลายธันวาคม 2558 ค่ะ
เมืองแรกที่แวะคือเมือง Mexico City ค่ะ
เริ่มที่เดินทางนะคะ ไผ่บินจาก LAX ด้วยสายการบิน Aero Mexico พักที่ Mexico City 21 ชั่วโมงค่ะ ตั๋วถูกสุดเลย stop over นานหน่อย แต่ไผ่ไม่รีบ ดีซะอีกได้แวะดูหนุ่มเม็กซิกัน ไผ่ถึง Mexico City เช้ามืด เหนื่อย และหนาว หาที่นอนสบายๆก็ไม่มีเลยนั่งรอจนพระอาทิตย์ขึ้นค่ะ เป็นการเริ่มต้นที่ไม่ค่อยดีเพราะไม่ได้นอนเลย เหนื่อยค่ะ ไผ่เป็นเหมือนเด็กน้อยที่ถ้านอนไม่พอแล้วจะหงุดหงิดและงอแง แต่ครั้งนี้ไปคนเดียวไม่มีใครให้หงุดหงิดใส่ ไหนๆก็มาแล้วก็ต้องออกไปดูเมืองซะหน่อยค่ะ ก็ถามอากู๋เอาว่าถ้ามีเวลา 1 วันในเมืองนี้ควรจะไปไหนดี ใจจริงอยากไปดูบ้าน Frida มากแต่มันออกนอกเส้นทาง ต้องนั่งรถเมล์ไปซึ่งคำนวณเวลาหลังจากเดินเล่นในเมืองพักนึงแล้วน่าจะไม่ทัน แต่ถ้าใครอยากนั่งรถดูเมืองก็ทำได้นะคะ ราคาไม่แพงมาก เป็นแบบ double decker แบบขึ้นลงกี่ครั้งก็ได้ หารถขึ้นได้ข้างๆโบสถ์กลางเมืองเลยค่ะ แต่รถที่นี่ติดมาก คือประมาณว่านั่งรถเมล์ไม่ติดแอร์ทัวร์ในกรุงเทพเลยค่ะ อาจต้องติดแหง็กบนรถเป็นชั่วโมงฟเพราะเมืองนี้วุ่นวายไม่ต่างกับกรุงเทพ ไผ่เลยเลือกวิธีเดินค่ะ จะกลับเมื่อไหร่ก็กระโดดขึ้นรถไฟใต้ดินกลับเข้าสนามบินได้เลย ถ้าตกเครื่องบินตั้งแต่ก่อนเริ่มทริปคงไม่ดีแน่
ยังไงเชิญชวนติดตามตอนที่ 2 ด้วยนะคะ จะรีบลงเร็วๆนี้ค่ะ
บันทึกการแบกเป้ลุยเดี่ยวอเมริกาใต้ 69 วัน ของผู้หญิงโลกส่วนตัวสูงเพี้ยนๆคนนึง ตอน 1 (เกริ่นนำและวางแผนการเดินทาง)
ก่อนอื่นต้องขอบคุณสมาชิกทุกๆคนที่ช่วยกันสร้างสังคมออนไลน์ที่อบอุ่นนี้ขึ้นมานะคะ เพราะเวลาไผ่มีคำถามอะไรก็ได้รับคำแนะนำดีๆมาตลอดที่ผ่านมา
กระทู้นี้มีจุดประสงค์แชร์ประสบการณ์การแบกเป้โซโลของไผ่ในทวีปอเมริกาใต้เป็นครั้งแรกค่ะ ต้องขอออกตัวว่าข้อมูลต่างๆอย่างละเอียดทางประวัติศาสตร์ไม่ค่อยมีนะคะ รูปก็งั้นๆค่ะ มีแค่กล้อง 5ล้านพิเซลกะมือถือกากๆที่อยู่รอดในทริปแค่ วันที่ 10 ของการเดินทาง แต่ไผ่อยากแชร์ประสบการณ์ การวางแผนเดินทาง และเรื่องราวต่างๆในแง่มุมของ ผู้หญิงไทยตัวเล็กๆคนนึง ที่มีความฝันอยากเที่ยวรอบโลก ไม่มีโชคลาภ ไม่มีเงินถุงเงินถัง ไม่ได้มีความสามารถพิเศษ ไม่มีงานเงินเดือนสูงๆ หรือโอกาสอะไรที่ยื่นเข้ามาแบบง่ายดาย ทริปนี้เกิดขึ้นได้จากเงินที่ไผ่เก็บเล็กผสมน้อยเป็นเวลาหลายปีและการลาออกจากงานค่ะ เป็นไลฟ์สไตล์ที่พ่อแม่เครียดค่ะ แต่เราไม่เครียด 555 ไผ่ไม่มีเงินเยอะค่ะ ทำงานเท่าไหร่เก็บค่ะ ไม่ฟุ่มเฟือยใดๆทั้งสิ้น เพราะ priority ของไผ่ชัดเจน นั่นคือประสบการณ์จากการท่องเที่ยวค่ะ ไผ่อยากเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแรงบันดาลใจให้เพื่อนๆ โดยเฉพาะผู้หญิงทุกคนให้มีความกล้า กล้าที่จะอยู่กับตัวเอง กล้าที่จะเอาชนะความกลัวของตัวเอง กล้าที่จะยืนหยัดในความเชื่อของตัวเอง กล้าที่จะสำรวจโลกอันกว้างใหญ่และสวยงามใบนี้ค่ะ อย่างที่เคยได้ยินกันว่าจุดมุ่งหมายของการเดินทางไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สาระของการเดินทางอยู่ที่สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางค่ะ การเดินทางคนเดียวมันสอนให้ไผ่ได้รู้จักตัวเองขึ้นมากค่ะ การเดิน และเดินทางเป็นวีธีเดียวที่ทำให้ไผ่มีสติ และสมาธิอยู่กับตัวเองได้ดีที่สุด นั่นคงเป็นเหตุผลหลักว่าทำไม๊ ทำไมไผ่ถึงชอบเดินทาง มันเหมือนกันทำสมาธิดีๆนี่เองค่ะ ถ้าใครนั่งสมาธิแล้วหลับทุกทีเหมือนไผ่ ลองเริ่มเดินทางด้วยตัวเองดูนะคะ อาจจะติดใจเหมือนไผ่ก็ได้ค่ะ
เขียนเรื่อยเปื่อยไปซะยาว ลองมาเข้าเรื่องการเริ่มต้นของการเดินทางครั้งนี้กันดีกว่าค่ะ
ไผ่เลือกเดินทางคนเดียวครั้งแรกในทวีปนี้ก็เพราะว่า 1 ไม่ต้องขอวีซ่าล่วงหน้าค่ะ คนไทยมักจะท่องเที่ยวด้วย visa on arrival กับประเทศส่วนใหญ่ในทวีปอเมริกาใต้ค่ะ ไม่ต้องเสียเวลาเตรียมเอกสารขอวีซ่าให้ปวดกะบาล เงินในบัญชีเป็นศูนย์ก็เที่ยวได้แบบไร้กังวลค่ะ เพราะไม่ต้องโชว์ statement เหตุผลที่ 2 ก็คือมันเป็นทวีปที่ไกลจากบ้านเราทั้งระยะทาง ความรู้สึก และความรู้ที่มีต่อทวีปนี้ค่ะ ไผ่ถือแนวคิดที่ว่า ไปประเทศที่ไปยากๆตอนยังมีสุขภาพดีๆก่อน ประเทศใกล้ๆ ความสะดวกเพียบพร้อมค่อยไปตอนแก่หน่อยก็ได้ค่ะ เหตุผลที่ 3 คือ ไผ่อยากไปประเทศที่ไผ่พูดภาษาของประเทศนั้นไม่ได้ค่ะ มันน่าสนุกและท้าทายมากกกกกก อยากรู้ว่าเราจะเอาตัวรอดในประเทศต่างๆเหล่านี้ด้วยความรู้ภาษาสเปนแบบเบสิคสุดๆของตัวเองได้รึเปล่า เหตุผลที่ 4 คือ อยากไปดูผู้ชายค่ะ!!! สเป็คของไผ่คือต้องเข้มๆ ผมดำๆ จมูกโด่งๆ พูดภาษาอังกฤษแบบมี accent เป็นนักกีฬาตัวยง อะไรทำนองนั้น เอาง่ายๆคือไผ่ว่าผู้ชายทวีปนี้หล่อในสายตาไผ่ค่ะ 555 แหม่ะ สาวๆอย่างเราก็ต้องเคยมีจินตนาการบ้างอะไรบ้างถึงโรแมนซ์ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทางเหมือนในหนังหรือนิยายที่เคยผ่านตาใช่มั๊ยคะ ใครจะไปรู้เราอาจจะเจอเนื้อคู่ตุนาหงันที่รอเราอยู่อีกฟากหนึ่งของโลกก็ได้ อิอิ
สำหรับการเดินทางครั้งนี้อันดับแรกที่ไผ่ทำนะคะคือเตรียมสตางค์ให้พร้อมค่ะ สำคัญสุด มีน้อยมีมากช่างมัน ไผ่เชื่อว่าทุกๆคนสามารถท่องเที่ยวได้ทุกงบประมาณค่ะ นอกจากนั้นสิ่งที่ต้องเตรียมก่อนเดินทางก็คือ
- พาสปอร์ต เช็ควันหมดอายุให้ดี และมีหน้าเปล่าเพียงพอสำหรับการแสตมป์วีซ่านะคะ
- หนังสือท่องเที่ยวค่ะ ไผ่ใช้ของ Footprint ค่ะ จะเป็นสำนักพิมพ์ไหนก็ดีหมดค่ะ ไม่มีเล่มไหนดีกว่ากัน ยังไงก็มีข้อบกพร่องที่ต้องอัพเดทอยู่เสมออยู่แล้ว แต่ไผ่เริ่มต้นการวางแผนการเดินทางด้วยหนังสือค่ะ แล้วหลังจากนั้นรายละเอียดปลีกย่อยแนะนำให้อ่านจากอินเตอร์เน็ตเลย เพราะข้อมูลจะละเอียดและอัพเดทกว่าเยอะค่ะ
- ประกันสุขภาพระหว่างการเดินทางค่ะ มีบริษัทหลากหลายให้เลือกตามความต้องการของแต่ละคน จากประสบการณ์ของไผ่ ถ้าไม่เล่นกิจกรรม extreme พวกดำน้ำ ปีนเขา กระโดดบันจี้จัมป์ อะไรพวกนั้นก็ใช้ประกันท่องเที่ยวแบบธรรมดาก็ได้ค่ะ แต่ไผ่จะให้ความสำคัญกับบริการขนส่งผู้ป่วยหรือผู้เสียชีวิตกลับประเทศที่มีวงเงิน 1 ล้านเหรียญประมาณนั้นค่ะ คืออุ่นใจดีเผื่อเป็นอะไรขึ้นมา การเดินทางสภาพเดี้ยงๆ โคม่า หรือแบบหมดลมหายใจ แพงมาก ถึงมากที่สุดค่ะ ไม่อยากเป็นภาระให้กับทางบ้านค่ะ แต่ใครที่อยากได้แบบครอบคลุมกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงทุกประเภทก็มีเหมือนกันนะคะเป็นของบริษัทในออสเตเลียค่ะ คาดว่าคงหาในอากู๋ได้ไม่ยาก
- บัตรเดบิต บัตรเครดิต เตรียมไว้สัก 2-3 ใบนะคะ เผื่อหาย ไม่ต้องพกเงินสดไปเยอะค่ะ เบิกผ่านบัตรเดบิตสะดวกที่สุด
- เป้ค่ะ สำคัญมากๆ สำหรับแบ็คแพ็กเกอร์ เป้ที่มีคุณภาพดีและเหมาะกับสรีระของตัวเองสำคัญมากนะคะ เพราะการเดินทางด้วยกระเป๋าใบใหญ่ๆ แพ็คให้ดียังไงปวดหลัง ปวดบ่าแน่นอนค่ะ ปวดมากปวดน้อยขึ้นอยู่การเลือกเป้ที่เหมาะสมกับตัวเอง หลังจากที่เดินทางมา ขนาดเป้ที่ตัวเองคิดว่าเลือกมาอย่างดีแล้ว สุดท้ายก็ยังไม่ค่อย practical ค่ะ แนะนำเป้ที่สามารถรูดซิปเปิดโดยไม่ต้องเปิดด้านบนของเป้แบบเปิดได้หมดทั้งกระเป๋าจะดีมากค่ะ ของไผ่รูดซิปเปิดได้แค่ด้านข้าง ยังสะดวกไม่พอค่ะ จากประสบการณ์ การต้องแพ็คของเข้าออกทุกวันมันเหนื่อยค่ะ ปรมาณนี้จะดีมากค่ะ คือแบบที่ใส้ทั้งด้านบนได้และเปิดแบบนี้ได้
- เสื้อผ้า เตรียมให้พร้อมกับสภาพอากาศนะคะ ขาดไม่ได้คือเสื้อกันฝน กางเกงกันฝน กางเกงเดินป่า รองเท้าเดินป่า (สำคัญมาก ถึงมากที่สุดค่ะ) เสื้อกันหนาวก็ดูตามสภาพอากาศนะคะ แต่ไม่ถึงขนาดต้องเอาแบบตัวหนาสำหรับอากาศหนาวจัดไปหรอกค่ะ หนักและเปลืองพื้นที่กระเป๋า ถ้าต้องใช้จริงๆเช่นกันเดินแค้มปิ้งบนภูเขาหิมะทางบริษัททัวร์มีให้เช่าค่ะ
- ยาประจำตัว และถ้ามีติดไว้แล้วจะแฮปปี้มากค่ะ แผ่นแปะบรรเทาอาการปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ อาดม ยาหม่อง ยานอนหลับ ช่วยได้หลายสถานการณ์ค่ะ และสำหรับนักเดินทางสาวๆที่ชอบเดินป่า อย่าลืมยาเลื่อนประจำเดือนไปด้วยนะคะ เพราะบางทีเรามีเวลาจำกัดเรื่องการเดินทาง ถ้าไม่อยากให้ธรรมชาติของร่างกายเราเป็นอุปสรรคต่อการผจญภัยของเรา พกไว้ก็ดีค่ะ เพราะขนาดมีผ้าอนามัยแบบสอดบางครั้งก็ยังไม่สะดวกค่ะ และยาตัวนี้หาซื้อตามร้านขายยาที่นี่ไม่ได้เลยค่ะ
- อุปกรณ์เสริมสำหรับนักเดินทางหญิง อาจจะพกสเปรย์พริกไทย หรืออย่างอื่นที่ใช้ป้องกันตัวไว้ก็ดีค่ะ แต่อย่าใช้อาวุธมีคมจะดีกว่านะคะ เพราะอาวุธนั้นคนร้ายอาจใช้มาทำร้ายเราได้ค่ะ สำหรับไผ่ใช้อุปกรณ์ที่ส่งเสียงดังเมื่อมีการดึงสลักออกค่ะ คือถ้ามีเหตุการณ์อะไรฉุกเฉิน ดึงสลักออกมันจะส่งเสียงไซเรนดังพอสมควร ช่วยดึงดูดความสนใจคนรอบข้างได้ค่ะ
- อุปกรณ์เดินทาง เดินป่าอื่นๆมีอีกมากมาย แพ็คไปตามแต่ความต้องการของแต่ละคนนะคะ ไผ่เน้นอุปกรณ์น้อยค่ะ เพราะเราต้องการเดินทางให้เบาที่สุด
หลังจากอ่านหนังสือท่องเที่ยวพอได้ไอเดียแล้วว่าการเดินทางจากประเทศไหนไปไหนเหมาะกับเราสุดก็เริ่มหาข้อมูลรายละเอียดอย่างละเอียดในอินเตอร์เน็ตค่ะ ตอนแรกไผ่ต้ังใจว่าจะเริ่มจาก ชิลี โบลิเวีย เปรู ขึ้นไปจบที่เอกวาดอร์ แต่อ่านไปอ่านมาสิ่งที่อยากทำในชิลีคือการเดินป่าที่ Torres del Paine National Park เป็นเวลา 10 วัน ซึ่งต้องมีความพร้อมด้านร่างกาย ประสบการณ์ และเงินที่ต้องใช้ในการเดินทาง มันเกินงบเจ้าค่ะ ไม่คุ้มค่ากับการไปในครั้งนี้เลยปลอบใจตัวเองว่าคงต้องเป็นคราวหน้า ไผ่เลยเริ่มต้นจากเหนือลงใต้ที่เอกวาดอร์ เปรู และจบที่โบลิเวียค่ะ ที่ที่ตั้งใจจะไปให้ได้ในครั้งนี้คือ Santa Cruz Trek ซึ่งเป็นหนึ่งในเทรคที่ติดอันดับสวยที่สุดในโลก มาชูปิกชูและทะเลเกลือที่โบลิเวียค่ะ เป็นความใฝ่ฝันตั้งแต่วัยรุ่นที่ในชีวิตนี้จะต้องไปให้ได้ค่ะ ไผ่เน้นธรรมชาติค่ะ ไม่เน้นเมือง เข้าเมืองเมื่อไหร่มันเครียด มันเวียนหัวเหมือนในเพลง แพ้กรุงเทพยังไงอย่างงั้นเลยค่ะ ส่วนที่เหลือจะเจออะไรค่อยว่ากันค่ะ
ไผ่ได้เลือกเมืองที่ต้องการไปตั้งแต่ต้นจนจบ จำนวนวันที่จะอยู่แต่ละที่ สิ่งที่อยากทำ ค่าใช้จ่ายรายวันโดยเฉลี่ย ไผ่คิดละเอียดเป็นรายวันเลยค่ะ ตั้งแต่ค่าแท็กซี่ ค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่าทัวร์ แต่โดยรวมแล้ว ไม่ว่าไปที่ไหนเฉลี่ยแล้วก็ตกวันละ 1,000 บาทกว่าๆ ถ้ารวมค่าตั๋วแล้วก็เฉลี่ยตกวันละประมาณ 2,000 กว่าๆค่ะซึ่งอันนี้คำนวณจากค่าใช้จ่ายทั้งหมดนะคะ จะเดินทางกี่วันก็ว่ากันไป ใช้ตัวเลขนี้ในการคำนวณคร่าวๆของเพื่อนๆก็ได้ค่ะ วันละ 1,000 บวกค่าตั๋วเครื่องบิน (แบ็คแพ็คแบบยาจกนะคะ) ทริปนี้ไผ่ใช้เวลาทั้งหมด 69 วันค่ะ เลขสวยซะด้วย ที่ได้จำนวนวันเท่านี้ก็เพราะว่าดูตั๋วที่ถูกที่สุดเท่าที่จะหาได้ในช่วงเดินทางค่ะ ซึ่งคือระหว่างปลายตุลาคมถึงปลายธันวาคม 2558 ค่ะ
เมืองแรกที่แวะคือเมือง Mexico City ค่ะ
เริ่มที่เดินทางนะคะ ไผ่บินจาก LAX ด้วยสายการบิน Aero Mexico พักที่ Mexico City 21 ชั่วโมงค่ะ ตั๋วถูกสุดเลย stop over นานหน่อย แต่ไผ่ไม่รีบ ดีซะอีกได้แวะดูหนุ่มเม็กซิกัน ไผ่ถึง Mexico City เช้ามืด เหนื่อย และหนาว หาที่นอนสบายๆก็ไม่มีเลยนั่งรอจนพระอาทิตย์ขึ้นค่ะ เป็นการเริ่มต้นที่ไม่ค่อยดีเพราะไม่ได้นอนเลย เหนื่อยค่ะ ไผ่เป็นเหมือนเด็กน้อยที่ถ้านอนไม่พอแล้วจะหงุดหงิดและงอแง แต่ครั้งนี้ไปคนเดียวไม่มีใครให้หงุดหงิดใส่ ไหนๆก็มาแล้วก็ต้องออกไปดูเมืองซะหน่อยค่ะ ก็ถามอากู๋เอาว่าถ้ามีเวลา 1 วันในเมืองนี้ควรจะไปไหนดี ใจจริงอยากไปดูบ้าน Frida มากแต่มันออกนอกเส้นทาง ต้องนั่งรถเมล์ไปซึ่งคำนวณเวลาหลังจากเดินเล่นในเมืองพักนึงแล้วน่าจะไม่ทัน แต่ถ้าใครอยากนั่งรถดูเมืองก็ทำได้นะคะ ราคาไม่แพงมาก เป็นแบบ double decker แบบขึ้นลงกี่ครั้งก็ได้ หารถขึ้นได้ข้างๆโบสถ์กลางเมืองเลยค่ะ แต่รถที่นี่ติดมาก คือประมาณว่านั่งรถเมล์ไม่ติดแอร์ทัวร์ในกรุงเทพเลยค่ะ อาจต้องติดแหง็กบนรถเป็นชั่วโมงฟเพราะเมืองนี้วุ่นวายไม่ต่างกับกรุงเทพ ไผ่เลยเลือกวิธีเดินค่ะ จะกลับเมื่อไหร่ก็กระโดดขึ้นรถไฟใต้ดินกลับเข้าสนามบินได้เลย ถ้าตกเครื่องบินตั้งแต่ก่อนเริ่มทริปคงไม่ดีแน่
ยังไงเชิญชวนติดตามตอนที่ 2 ด้วยนะคะ จะรีบลงเร็วๆนี้ค่ะ