การเดินทางเข้าเมืองเม็กซิโกซิตี้ก็ง่ายมากค่ะ
รถไฟใต้ดินที่นี่ขึ้นใต้จากสนามบินนานาชาติได้เลย ราคาคิดเป็นเที่ยวค่ะ ระยะทางเท่าไหร่ก็ได้ราคาประมาณ 10 บาทไทย เม็กซิโกซิตี้มีรถไฟใต้ดินที่เข้าถึงได้ครอบคลุมมาก สะดวกต่อการเดินทางมากๆ แนะนำว่าใช้วีธีเดินทางนี้สะดวกสุดค่ะ ประหยัด และกะเวลาได้ ส่วนเรื่องความปลอดภัยสำหรับไผ่รู้สึกไม่น่ากลัวเลยค่ะ ผู้คนที่นี่ก็ใจดี เวลาหลงทางก็ช่วยเราเต็มที่ ในสถานที่สำคัญๆก็มีตำรวจเครื่องแบบอยู่ทุกมุมของถนนค่ะ แต่ก็้ต้องไม่ประมาทนะคะ การเที่ยวถือเป็นการเจริญภาวนาสำหรับไผ่ค่ะ ต้องมีสติทุกลมหายใจ โดยเฉพาะการเที่ยวคนเดียวในที่ที่ไม่คุ้นเคย
ไผ่เริ่มเดินการเดินชมเมืองที่จัตุรัสใจกลางเมืองค่ะ ชื่อว่า The Zocalo
จากนั้นก็ไป Mexico City Metropolitan Cathedral ซึ่งเป็นที่พักพิงให้ไผ่เข้าไปงีบซักพัก แอร์เย็น ประกอบกับความเหนื่อยล้าจากการไม่ได้นอนทั้งคืน การเดินทางคนเดียวมันดีอย่างนี้ล่ะค่ะ ไผ่หามุมสงบๆในโบสถ์ที่คนไม่ค่อยเดินผ่าน หลบมุมการ์ดนิดนึง แล้วก็นั่งหลับซิคะ อยากพัก อยากนอนนานแค่ไหนแล้วแต่ความพอใจเลยค่ะ ตื่นเมื่อไหร่ค่อยว่ากันค่ะ นอนกอดกระเป๋าไว้แน่นๆ พองีบได้พักนึงแล้วเริ่มมีแรงหน่อยค่ะ ไผ่เลยเดินเล่นไปเรื่อยๆ มีพิพิธภัณฑ์นึงที่น่าสนใจ คือพิพิธภัณฑ์การทรมานร่างกาย Museo de la Tortura ซึ่งเล่าเรื่องราวว่าด้วยการทรมานร่างกายช่วงศตวรรษที่ 14 ถึง 16 จากยุโรป แค่เห็นอุปกรณ์ที่ใช้และภาพประกอบการใช้ในดิสเพลย์ด้านหน้าก็ขนลุกแล้วค่ะ น่าสนใจมากทีเดียว แต่ค่าเข้าเกินงบค่ะ ไผ่เน้นเข้าฟรี แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะฉะนั้นดูเฉพาะข้างนอกก็พอ เดินต่อไปผ่านวงดนตรีสด มีกลุ่มคุณลุงเสียงดีร้องเพลงอย่างสนุกสนาน แล้วก็ไปไปรษณีย์กลางของเม็กซิโก Palacio de Correos de Mexico พลาดไม่ได้นะคะเป็นสถาปัตยกรรม Art Deco ที่สวยงามมาก ฟู่ฟ่าสุดๆ ที่สำคัญเข้าฟรี เดินเข้าไปนี่รู้สึกเหมือนเป็นนางเอก The great Gatsbyยังไงอย่างงั้น ตอนที่ไปก็มี Display งานศิลปะให้ชมด้วย ถ้าอยากฟินกว่านั้นก็ส่งจดหมายหรือโปสการ์ดหาคนที่คิดถึงในไปรษณีย์ที่นั่น ได้บรรยากาศสุดๆเลยค่ะ
อีกที่นึงที่เข้าฟรีก็คือ National Palace ค่ะที่นี่มีอะไรให้ดูเยอะแยะเลยและที่สำคัญมีภาพวาดของ Diego Rivera ให้ดูอีกด้วย
ในบริเวณนี้มีสถานที่ให้เดินเล่นอีกมากมาย ตามท้องถนนก็มีตลาดที่เป็นบรรยากาศสำเพ็ง พาหุรัด มีของขายตามทางเท้ามากมาย และที่สำคัญคนขายของแต่ละคนเสียงดังมาก ดังมากที่สุด ตะโกนเรียกลูกค้ากันอย่างเมามัน ได้ยินแล้วเหนื่อยแทนเชียวถ้าต้องตะโกนซ้ำไปซ้ำมาทั้งวัน คงเป็นสไตล์การขายของเค้าน่ะค่ะ แต่ของที่เค้าขายก็ไม่ได้ต่างไปจากสำเพ็ง พวกปากกา ของเล่น บุหรี่ เสื้อผ้าราคาถูก ไม่รู้ว่ากำไรจะได้ซักเท่าไหร่ แล้วที่วางขายตามท้องถนน ตะโกนไปก็ต้องคอยดูเทศกิจไป เพราะจะมีเทศกิจมาไล่ทุกๆ 5 นาที เห็นแล้วรู้สึกเห็นใจมาก กว่าจะขายของได้แต่ละชิ้นเหนื่อยสุดๆ ไผ่สังเกตเห็นว่าคนที่รายได้น้อยที่นี้เค้าดิ้นรนกันมากเลยค่ะ แม้กระทั่งในรถไฟใต้ดินเองก็ตาม มีขอทาน มีคนเล่นดนตรี คนขายยาลดน้ำหนักเพื่อหารายได้แข่งกับเวลาช่วงสั้นๆ นับถือเค้าจริงๆ ก่อนกลับไปขึ้นเครื่องไผ่ก็นั่งรถไฟเล่นไปจนสุดสายค่ะ ดูคน ดูบรรยากาศ ดูเมือง ดูบ้านเรือน เพลินดีค่ะ แต่เอ ยังไม่เห็นหนุ่มเม็กซิกันหล่อๆซักคนเลยแฮะ
ไม่เป็นไร ยังมีเมืองอื่นที่เราจะได้เหล่หาหนุ่มๆได้อีก ตอนต่อไปเจอกันที่เมือง Quito ประเทศเอกวาดอร์นะคะ
ปล ขออภัยที่รูปไม่ค่อยมีนะคะ และคุณภาพภาพถ่ายก็ง่อยมาก มือถือที่ถ่ายไว้ก็หายค่ะ
บันทึกการแบกเป้ลุยเดี่ยวอเมริกาใต้ 69 วัน ของผู้หญิงโลกส่วนตัวสูงเพี้ยนๆคนนึง ตอน 2 (Mexico City)
รถไฟใต้ดินที่นี่ขึ้นใต้จากสนามบินนานาชาติได้เลย ราคาคิดเป็นเที่ยวค่ะ ระยะทางเท่าไหร่ก็ได้ราคาประมาณ 10 บาทไทย เม็กซิโกซิตี้มีรถไฟใต้ดินที่เข้าถึงได้ครอบคลุมมาก สะดวกต่อการเดินทางมากๆ แนะนำว่าใช้วีธีเดินทางนี้สะดวกสุดค่ะ ประหยัด และกะเวลาได้ ส่วนเรื่องความปลอดภัยสำหรับไผ่รู้สึกไม่น่ากลัวเลยค่ะ ผู้คนที่นี่ก็ใจดี เวลาหลงทางก็ช่วยเราเต็มที่ ในสถานที่สำคัญๆก็มีตำรวจเครื่องแบบอยู่ทุกมุมของถนนค่ะ แต่ก็้ต้องไม่ประมาทนะคะ การเที่ยวถือเป็นการเจริญภาวนาสำหรับไผ่ค่ะ ต้องมีสติทุกลมหายใจ โดยเฉพาะการเที่ยวคนเดียวในที่ที่ไม่คุ้นเคย
ไผ่เริ่มเดินการเดินชมเมืองที่จัตุรัสใจกลางเมืองค่ะ ชื่อว่า The Zocalo
จากนั้นก็ไป Mexico City Metropolitan Cathedral ซึ่งเป็นที่พักพิงให้ไผ่เข้าไปงีบซักพัก แอร์เย็น ประกอบกับความเหนื่อยล้าจากการไม่ได้นอนทั้งคืน การเดินทางคนเดียวมันดีอย่างนี้ล่ะค่ะ ไผ่หามุมสงบๆในโบสถ์ที่คนไม่ค่อยเดินผ่าน หลบมุมการ์ดนิดนึง แล้วก็นั่งหลับซิคะ อยากพัก อยากนอนนานแค่ไหนแล้วแต่ความพอใจเลยค่ะ ตื่นเมื่อไหร่ค่อยว่ากันค่ะ นอนกอดกระเป๋าไว้แน่นๆ พองีบได้พักนึงแล้วเริ่มมีแรงหน่อยค่ะ ไผ่เลยเดินเล่นไปเรื่อยๆ มีพิพิธภัณฑ์นึงที่น่าสนใจ คือพิพิธภัณฑ์การทรมานร่างกาย Museo de la Tortura ซึ่งเล่าเรื่องราวว่าด้วยการทรมานร่างกายช่วงศตวรรษที่ 14 ถึง 16 จากยุโรป แค่เห็นอุปกรณ์ที่ใช้และภาพประกอบการใช้ในดิสเพลย์ด้านหน้าก็ขนลุกแล้วค่ะ น่าสนใจมากทีเดียว แต่ค่าเข้าเกินงบค่ะ ไผ่เน้นเข้าฟรี แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะฉะนั้นดูเฉพาะข้างนอกก็พอ เดินต่อไปผ่านวงดนตรีสด มีกลุ่มคุณลุงเสียงดีร้องเพลงอย่างสนุกสนาน แล้วก็ไปไปรษณีย์กลางของเม็กซิโก Palacio de Correos de Mexico พลาดไม่ได้นะคะเป็นสถาปัตยกรรม Art Deco ที่สวยงามมาก ฟู่ฟ่าสุดๆ ที่สำคัญเข้าฟรี เดินเข้าไปนี่รู้สึกเหมือนเป็นนางเอก The great Gatsbyยังไงอย่างงั้น ตอนที่ไปก็มี Display งานศิลปะให้ชมด้วย ถ้าอยากฟินกว่านั้นก็ส่งจดหมายหรือโปสการ์ดหาคนที่คิดถึงในไปรษณีย์ที่นั่น ได้บรรยากาศสุดๆเลยค่ะ
อีกที่นึงที่เข้าฟรีก็คือ National Palace ค่ะที่นี่มีอะไรให้ดูเยอะแยะเลยและที่สำคัญมีภาพวาดของ Diego Rivera ให้ดูอีกด้วย
ในบริเวณนี้มีสถานที่ให้เดินเล่นอีกมากมาย ตามท้องถนนก็มีตลาดที่เป็นบรรยากาศสำเพ็ง พาหุรัด มีของขายตามทางเท้ามากมาย และที่สำคัญคนขายของแต่ละคนเสียงดังมาก ดังมากที่สุด ตะโกนเรียกลูกค้ากันอย่างเมามัน ได้ยินแล้วเหนื่อยแทนเชียวถ้าต้องตะโกนซ้ำไปซ้ำมาทั้งวัน คงเป็นสไตล์การขายของเค้าน่ะค่ะ แต่ของที่เค้าขายก็ไม่ได้ต่างไปจากสำเพ็ง พวกปากกา ของเล่น บุหรี่ เสื้อผ้าราคาถูก ไม่รู้ว่ากำไรจะได้ซักเท่าไหร่ แล้วที่วางขายตามท้องถนน ตะโกนไปก็ต้องคอยดูเทศกิจไป เพราะจะมีเทศกิจมาไล่ทุกๆ 5 นาที เห็นแล้วรู้สึกเห็นใจมาก กว่าจะขายของได้แต่ละชิ้นเหนื่อยสุดๆ ไผ่สังเกตเห็นว่าคนที่รายได้น้อยที่นี้เค้าดิ้นรนกันมากเลยค่ะ แม้กระทั่งในรถไฟใต้ดินเองก็ตาม มีขอทาน มีคนเล่นดนตรี คนขายยาลดน้ำหนักเพื่อหารายได้แข่งกับเวลาช่วงสั้นๆ นับถือเค้าจริงๆ ก่อนกลับไปขึ้นเครื่องไผ่ก็นั่งรถไฟเล่นไปจนสุดสายค่ะ ดูคน ดูบรรยากาศ ดูเมือง ดูบ้านเรือน เพลินดีค่ะ แต่เอ ยังไม่เห็นหนุ่มเม็กซิกันหล่อๆซักคนเลยแฮะ
ไม่เป็นไร ยังมีเมืองอื่นที่เราจะได้เหล่หาหนุ่มๆได้อีก ตอนต่อไปเจอกันที่เมือง Quito ประเทศเอกวาดอร์นะคะ
ปล ขออภัยที่รูปไม่ค่อยมีนะคะ และคุณภาพภาพถ่ายก็ง่อยมาก มือถือที่ถ่ายไว้ก็หายค่ะ