บี้รัฐตามหนี้ 'เอไอเอส-คิงเพาเวอร์' ทำสูญเงินแผ่นดินกว่า 2.6 แสนล้านบาท


อนุ กมธ.ปปช.สปท. ชงรัฐบี้เก็บหนี้ "เอไอเอส" 1.2 แสนล้านบาท พร้อมทวงเสาขยายสัญญาณมือถือ-อุปกรณ์คืนรัฐ เผย "คิง เพาเวอร์" ผิดสัญญา ทำรัฐสูญเงิน 2.1 หมื่นล้าน ชงขอมติ ครม.จัดการ

เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 59 ที่รัฐสภา นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ในฐานะรองประธานอนุกรรมาธิการวิสามัญศึกษากลไกปราบปรามทุจริต ในสังกัดคณะกรรมาธิการวิสามัญป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาขับเคลื่อนเพื่อการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กล่าวว่า ขอเสนอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการเรียกทรัพย์สินคืนแก่แผ่นดิน ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบปัญหาความทุจริตที่ก่อความเสียหายแก่รัฐสองกรณี จึงขอให้รัฐบาลบังคับผลตามคำพิพากษาของศาลที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ เนื่องจากทรัพย์แผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ถือว่า คดีไม่มีอายุความ กรณีแรกเป็นความเสียหายมูลค่ารวม 125,220 ล้านบาท จากกรณีคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยึดทรัพย์สิน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ที่วินิจฉัยว่า บ.เอไอเอส ได้รับประโยชน์จากการแก้ไขสัญญาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่เอกชนร่วมงานกับหน่วยงานของรัฐ ทำให้บริษัทนี้ไม่ต้องจ่ายค่าสัมปทานแก่บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หรือ TOT เป็นเงิน 88,359 ล้านบาท รวมทั้งมีการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 โดยหักเงินจากการจ่ายค่าสัมปทานไปจ่ายเป็นค่าภาษีอีกจำนวน 36,861 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่ควรต้องตกเป็นของแผ่นดินรวมทั้งสิ้น 125,220 ล้านบาท

รองประธานอนุกรรมาธิการวิสามัญศึกษากลไกปราบปรามทุจริต สปท.อ้างว่า กรณีที่สัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่คลื่น 900 เมกะเฮิรตซ์ หมดสัญญาลง ทาง บ.เอไอเอส ต้องส่งมอบเสาขยายสัญญาณคลื่น เครื่องมืออุปกรณ์ทั้งระบบทั่วประเทศ และจัดหาสถานที่ตามสัญญาข้อที่ 2 และต้องเช่าต่ออีก 2 ปีหลังหมดสัญญา ซึ่งคิดเป็นมูลค่าเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ต้องคืนให้กับรัฐประมาณ 120,000 ล้านบาท แต่เอไอเอสยังไม่คืนรัฐ และยังใช้หาเงินเข้าบริษัทตัวเองจนถึงทุกวันนี้

นายชาญชัย ยังอ้างถึงอีกกรณี คือ บริษัท ทอท. จำกัด (มหาชน) ร่วมกับบริษัทคิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี และบริษัท คิงเพาเวอร์ สุวรรณภูมิ กระทำผิดสัญญาการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินงานในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 โดยมีหลักฐานการให้ข้อมูลต่อศาลของ บ.คิงเพาเวอร์เองที่เป็นการยอมรับว่า มีการลงทุนประมาณ 1,700 ล้านบาท ซึ่งโดยเงื่อนไขกฎหมายนั้น หากมีการลงทุนเกิน 1,000 ล้านบาท จะต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ดังกล่าว มิฉะนั้นจะถือว่าสัญญานั้นเป็นโมฆะ แต่กลับมีการต่อสัญญากันอีกถึงสองครั้ง มีการอ้างว่าสัญญาเช่าพื้นที่แก่คิงเพาเวอร์เป็นการเช่าพื้นที่เฉพาะที่สนามบิน ซึ่งได้ประโยชน์จากการขายสินค้า 15% ใน 5 ปีแรก และเพิ่มขึ้นอีกปีละ 1 % ทุกๆ ปีนั้น ข้อเท็จจริงพบว่า คิงเพาเวอร์มีการขายสินค้านอกสนามบิน (ซอยรางน้ำ-พัทยา เป็นต้น) แต่ต้องส่งมอบสินค้าที่เคาน์เตอร์สนามบิน โดยไม่ได้จ่ายค่าตอบแทนให้รัฐตามสัญญา และยังเป็นการกีดกันผู้ค้ารายอื่นไม่ให้ส่งมอบสินค้าปลอดอากรที่สนามบิน โดยอ้างว่าเป็นสัมปทานผูกขาดเพียงผู้เดียว ซึ่งตลอดระยะสัญญาสัมปทาน 9 ปี พบว่า มีการขายสินค้านอกสนามบินเป็นมูลค่าร่วมแสนกว่าล้านบาท และหลบเลี่ยงการส่งผลประโยชน์เข้ารัฐประมาณ 21,000 ล้านบาท

"การที่ นายนิตินัย ศิริสมรรถการ ผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. อ้างว่า การที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบ พบว่า ไม่มีการติดตั้งเครื่องตรวจสอบระบบ (POS) เพื่อตรวจสอบบัญชีการขายและสต๊อกสินค้าคงคลังไม่ได้เกิดความเสียหาย หรือต้องเอาผิดใครนั้น เท่ากับผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. ท้าทายและทำผิดกฎหมาย เอื้อประโยชน์แก่ บ.คิงเพาเวอร์ โดยเจตนาปกปิดข้อมูลความเสียหายที่มีต่อ ทอท.เอง ทั้งที่เงื่อนไขสัญญาที่ทำไว้ 9 ปีกำหนดแต่ต้นว่าต้องติดตั้งระบบ POS ดังกล่าว ซึ่งถือได้ว่าเป็นการทำผิดสัญญาและบอกเลิกสัญญาได้แต่ต้น ซึ่งทั้งสองกรณีรวมมูลค่าความเสียหายของรัฐมากกว่าสองแสนล้านบาท ขอให้รัฐบาลใช้มาตรการทางกฎหมายเรียกทรัพย์คืนให้กับคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งเป็นการดำเนินการที่ชอบธรรมเพราะเป็นไปตามคำตัดสินของศาล ถือเป็นการบังคับคดีตามคำพิพากษาทั้งสองกรณี ทั้งนี้ จะเสนอเรื่องนี้ต่อ กมธ. ชุดใหญ่ที่มี นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ เป็นประธาน เพื่อขอมติส่งเรื่องให้ ครม. ดำเนินการต่อไป" รองประธานอนุกรรมาธิการวิสามัญศึกษากลไกปราบปรามทุจริต สปท.กล่าว

ที่มา [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่