สิ่งที่ยังเหลืออยู่ ๑๒ พ.ค.๕๙

เรื่องสั้เน (วันพยาบาลสากล)


สิ่งที่เหลืออยู่

เพทาย

เธอหยิบสิ่งของกระจุกกระจิก เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เคยใช้งาน บนโต๊ะเขียนหนังสือใกล้หน้าต่างห้อง ใส่ลงในเป้ใบโต สมุดบันทึก ดินสอ ปากกาลูกลื่น มีดตัดกระดาษ ไม้บรรทัด ยางลบ และหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คส์เล่ม บาง ๆ ๒-๓ เล่ม จนถึงเล่มสุดท้าย เป็นหน้าปกรูปผู้ชายยืนหันหลังอยู่บนภูเขาริมทะเลแห่งหนึ่ง มองลงไปเบื้องล่าง เห็นเรือลำเล็ก ๆ ๒-๓ ลำ พิมพ์ด้วยสีชมพูสีเดียว มีชื่อหนังสืออยู่ข้างใต้ภาพ “สิ่งที่ยังเหลืออยู่”

ผู้ให้เป็นชายเจ้าของภาพหน้าปกนั้น เขาบอกว่า ตั้งใจจะพิมพ์สีม่วง แต่ทำไมมันออกมาเป็นสีชมพูได้ก็ไม่ทราบ เธอพลิกดูที่ปกด้านหลัง มีภาพเขาคนเดียวกันยืนอยู่ริมทะเลแห่งหนึ่ง มีข้อความว่า

มาจากไหน..............ไม่รู้

จะไปไหน.................ไม่รู้

นั่นแหละ..................ชีวิต

เธอพลิกหน้าปกหนังสือเล่มนี้ดูเรื่องภายใน ซึ่งเธอเคยอ่านมาแล้วไม่รู้ว่ากี่ครั้ง มีข้อความเหมือนคำนำว่า

รำพึง......ก่อนถึงเชิงตะกอน

ชีวิตของคนเราที่ได้เกิดมาครั้งหนึ่งในโลก เมื่อหมดเชื้อกรรมแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะติดตามตนไปได้ เหลืออยู่แต่เพียงความดี และความชั่ว ที่จะมีผู้กล่าวถึง เพียงไม่กี่ปีก็ลืมกันไปหมด.......
........และลงท้ายว่า

ผมเหลือไว้ให้ท่านเพียงแค่นี้เอง ในชั่วชีวิตของผม จึงขอกราบขอบพระคุณทุกท่าน ที่อาจจะระลึกถึงผมบ้าง เมื่อได้เห็นหนังสือเล่มนี้ วางอยู่ระหว่างสายตาของท่าน

เมื่อใดก็ตามเมื่อท่านระลึกถึงผม

ผมก็เสมือนยังไม่ได้ตายไปจากความทรงจำของท่าน.

เมื่อพลิกเลยไปถึงใบปกหลังด้านใน มีคำกลอนอยู่บทหนึ่ง ชื่อ “สิ่งที่ยังเหลืออยู่”

ห้องรกรุงรังช่างเถอะ
จิตนี้ไม่เลอะสดใส
ห้องว่างไม่เห็นมีใคร
วิญญาณแฝงไว้ในนั้น
ห้องนี้มีแต่งานมาก
ด้วยใจนั้นอยากสร้างสรรค์
ห้องนี้ทั้งคืนและวัน
ฝากฝันเอาไว้ให้เธอ
ห้องรกรุงรังอย่างนี้
ชีวีเป็นสุขเสมอ
ห้องนี้หาใครไม่เจอ
จิตเผลอจากกายไปแล้ว
เหลือห้องดูร้างว่างเปล่า
ของข้าวกองไว้เป็นแถว
ทุกสิ่งหม่นไหม้ไร้แวว
ลาแก้วตาไปไม่คืน...........

เธอค่อย ๆ บรรจงสอดหนังสือเล่มนั้นอย่างทนุถนอมลงในเป้ เป็นสิ่งสุดท้าย ก่อนที่จะรูดซิปปิดปากถุง ความคิดล่องลอยไปถึงชายเจ้าของหนังสือ

เขาเป็นนักเขียนเล็ก ๆ คนหนึ่ง มีผลงานเรื่องสั้นในวารสาร ๒-๓ ฉบับ และยังไม่เคยมีหนังสือรวมเล่มเลย เขาจึงเอาเรื่องเหล่านั้นมาพิมพ์เป็นเล่มพ็อกเก็ต บุ๊คส์เอง แล้วก็แจกจ่ายให้คนที่เขารู้จักเคารพนับถือในวาระต่าง ๆ เช่น ปีใหม่ หรือวันเกิด ของผู้ให้ หรือผู้รับ

เธอเองก็ได้รับหนังสือเหล่านั้นจากเขาทุกเล่ม เธอพบเขาครั้งแรกในการไปเที่ยวทัศนาจรกับเพื่อนกลุ่มอาวุโสหลังเกษียณอายุ หลายคน เต็มรถตู้นั้น เป็นชายล้วน และเป็นเพื่อนร่วมชั้นโรงเรียนเดียวกันมาก่อน

มีแต่เธอกับเพื่อนสนิทสองคนเท่านั้นที่เป็นผู้หญิง พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นคนดื่มเหล้า แต่ก็สนุกสนานเฮฮาไปตามเรื่อง และให้เกียรติแกเธอทั้งสองมาก
โดยคนหนึ่งเป็นญาติของเพื่อนคู่หูของเธอ ทั้งหมดไปพักที่ บ้านพักของเจ้าหน้าที่สร้างเขื่อนแห่งหนึ่ง ที่จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ ๆ ยังไม่เปิดใช้งาน

ตลอดเวลาสองวันกับหนึ่งคืนในการทัศนาจรครั้งนั้น ทำให้เธอได้รู้จักเพื่อนชายเหล่านั้น เป็นอย่างดี แม้จะมีอายุน้อยกว่าพวกเขาหลายปี โดยเฉพาะนักเขียนผู้นั้น เขาเกิดปีราศีเดียวกับเธอ แต่ห่างกันสองรอบพอดี

และนับแต่นั้นมา เธอก็ได้พบปะพูดคุยสังสรรค์กับเพื่อนชายอาวุโสเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะวันเกิดของแต่ละคนในรอบปี ซึ่งไม่ซ้ำกันเลย เธอจึงได้ทราบวิถีชีวิตของเขา นักเขียนที่เธอสนใจเป็นพิเศษ ว่าเขาเป็นคนที่อาภัพในความรัก เคยมีความรักมามากมายหลายครั้ง หลายหน แต่ก็ผิดหวัง ทุกครั้งทุกหน และทุกรายไปจนมาเจอเธอเมื่อหลังเกษียณอายุนี่เอง ซึ่งดูเหมือนจะสายไปสำหรับเขาเสียแล้ว

เมื่อพบกันกับเพื่อน ๆ กลุ่มนี้แต่ละครั้ง เธอมักจะให้เขาอาศัยรถของเธอไปส่งที่หน้าปากซอยหมู่บ้านของเขาเสมอ เพราะทุกคนไม่มีรถส่วนตัว นอกจากเธอและเพื่อนสนิทเท่านั้น เพื่อนจึงรับอาสาพาคนอิ่นไปส่งบ้าน เว้นแต่เขาซึ่งมีบ้านอยู่ในเส้นทางที่เธอจะต้องผ่าน

เธอมองผ่านบานหน้าต่างหอพักพยาบาล ของโรงพยาบาลแห่งนี้ จากชั้นสองลงไปเบื้องล่าง คิดถึงวันสุดท้ายที่เขามอบหนังสือ “สิ่งที่ยังเหลืออยู่” ให้เธอเมื่อก่อนจะก้าวลงจากรถที่ปากซอยบ้านของเขา และเอียงหน้าเข้ามาใกล้ใบหน้าของเธอ บอกเบา ๆ ว่า ที่ระลึกจากความรักของเขา

เธอมองตรงเข้าไปในดวงตาของเขา ทำมือให้เขาหยุดพูด และฟังเสียงเพลงจากเครื่องเล่นเทปตลับในรถที่นักร้องหญิงขับร้องเบา ๆ เขาหยุดนิ่งฟังจนจบเพลง แล้วก็โบกมืออำลา พร้อมกับก้าวลงจากรถ ก้าวหายลับไปในความสลัวของแสงจากเสาไฟฟ้า

ภาพของเขาพร่ามัวในสายตาของเธอ เหมือนมีม่านน้ำกั้นขวางอยู่บาง ๆ

...........

จากหน้าต่างห้องนั้น เธอมองลงไปเห็นชายคนหนึ่ง ร่างผอมสูง ซีดเซียว ผมขาวเกือบทั้งศีรษะ ที่ก้ม ๆ เงย ๆ อยู่รอบ ๆ สนามหญ้า ใต้ต้นมะฮ็อกกานีที่เก่าชรา พอ ๆ กับวัยของเขา อย่างไม่รีบร้อน ในมือมีเหล็กแหลมคอยจิ้มใบไม้แก่ ที่ร่วงหล่นเพลื่อนอยู่โคนต้น ใบแล้วใบเล่า จากต้นนี้ไปต้นโน้นและต้นอื่น เธอเห็นอิริยาบถซ้ำซากจำเจของเขามานานเต็มทีแล้ว ตั้งแต่เธอได้ย้ายมาจากโรงพยาบาลอื่น เมื่อหลายปีก่อน

เขาเป็นคนไข้ของที่นี่ ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีอาการที่จะต้องรักษาแล้ว แต่เขาไม่มีบ้านจะกลับ เขาจึงอาศัยอยู่ที่โรงครัว รับใช้พนักงานครัวในการล้างถ้วยโถโอชาม เพื่อแลกกับอาหารที่เหลือจากการบริการคนไข้ เพียงสองหรือสามมื้อ

เขาไม่ทำอะไรอื่นอีก นอกจากเอาเหล็กแหลมทิ่มใบไม้สีน้ำตาลแก่ ที่หล่นเกลื่อนอยู่ในสนามหญ้า ทีละใบ เมื่อได้จำนวนมากพอก็นำไปรูดลงใส่ถังขยะ ทำอยู่อย่างเดียวโดยไม่พูดคุยกับใคร จึงไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน ทำไมจึงพอใจจะอยู่ที่นี่ ทั้ง ๆ ที่เขาดูเหมือนจะทุเลาจากโรคความจำเสื่อมที่เป็น เมื่อก่อนจะมาแล้ว

บังเอิญที่สุด เขาเงยหน้าขึ้นมาเห็นเธอที่ช่องหน้าต่างพอดี เมื่อสบสายตากัน เธอยิ้มให้เขา ทำให้ใบหน้าของเขาค่อย ๆ ปลี่ยนจากความราบเรียบเฉยเมย เป็นรอยยิ้มน้อย ๆ นิดเดียว จนแทบจะไม่ทันสังเกตเห็น แล้วก็ก้มหน้าหน้าทำงานที่เขาสนใจต่อไป โดยไม่รู้ว่าเธอนั้นจำเขาได้เป็นอย่างดี แม้เวลากว่าสิบปีที่จากกันไป

และตั้งแต่สัปดาห์หน้า เธอก็จะไม่ต้องพบเจอเขาอีกแล้ว เพราะบัดนี้อายุของเธอก็ครบเกษียณ ต้องพ้นจากราชการแล้วเหมือนกัน

เธอดึงลิ้นชักโต๊ะเพื่อตรวจดูว่ายังหลงเหลือสิ่งใดอยู่อีกบ้างไหม ก็พบว่ามีตลับเทปเพลงเก่าแก่ ที่เดี๋ยวนี้ไม่มีเครื่องเล่นจำหน่ายแล้ว เพราะเปลี่ยนเป็นแผ่น ซีดี หรือ ดีวีดี หมดแล้ว เธอลุบคลำตลับเทปซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว แต่สุดท้ายก็ตัดใจสอดใส่ลงในช่องกระเป๋าข้างเป้อย่างกับเป็นของรักของถนอม

เธอจำเพลงที่เด่นอยู่ในเทปตลับนี้ได้ดี ที่เธอเคยเปิดฟังเสมอ และเปิดให้เขาที่ฟัง ในคืนวันที่จากกันนั้น ชื่อเพลง เหมือนกับเนื้อร้อง ที่เธอจำได้เป็นอย่างดี

I love you more than I can say........................

และคงจะค้างอยู่ในลิ้นชักแห่งความทรงจำของเธอตลอดไป.


###########
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่