ใกล้ถึงวันวาเลนไทน์ เข้าไปทุกที ทุกที่ทุกแห่งหนมักจะพูดถึงกันแต่เรื่องของความรัก โดยเฉพาะความรักคนในวัยหนุ่มสาว วัฒนธรรมดังกล่าวยังได้แผ่ขยายมาถึงบนยอดดอยที่ผมสอน แม่ค้าที่นี่เริ่มเตรียมดอกกุหลาบออกมาวางจำหน่ายทั้งสดและและดอกไม้ประดิษฐ์ซึ่งก็มีให้เลือกอย่างหลากหลาย ผมก็ได้แต่มองดูความเปลี่ยนแปลงของโลกทัศน์และวิวัฒนาการของเด็กที่นี่แต่ก็ต้องคอยชี้แนะในเรื่องของความรักที่ถูกต้องให้กับพวกเขาเหล่านั้น
ความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม ถ้าเรารู้จักประคองความรักนั้นไว้ และบางครั้งก็ดูเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายได้เช่นกันถ้าหากไม่รู้จักมันอย่างแท้จริง
คุณผู้อ่านเคยเชื่อถึงเรื่องบุพเพสันนิวาสหรือไม่ ผมเป็นคนหนึ่งที่เชื่อในเรื่องนี้ คำพูดที่กล่าวว่า “อะไรที่มันเป็นของเรา มันก็จะเป็นของเราอยู่วันยังค่ำ แต่อะไรที่มันไม่ใช่ของเรา มันก็ไม่มีทางที่จะเป็นของเรา” ยังคงใช้ได้เสมอ เฉกเช่น ครูสาวจากเมืองกรุงอายุราว 49 ปี ที่เดินทางมาเพื่อจุดประสงค์คือพัฒนาท้องถิ่นและให้การศึกษาเด็กและประชาชนในชุมชนบ้าน ห้วยร้อยเสียง ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ในเขต อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
ผมยังจำวันแรกที่ได้รู้จักกับครูคนนี้
เธอเดินลงจากรถโดยสารประจำทางจากตัวเมืองเชียงราย มาถึงคิวรถบ้านเทอดไทยและถือของพะรุงพะรัง สวมเสื้อรัดรูปสีแดงแปร๊ดขับกับสีผิวดำขลับของเธอ กางเกงยีนสีเทา แว่นตาดำขอบขาว รองเท้าบู๊ชสีน้ำตาลแถมท้ายด้วยหมวกสีครีมดูหรูราวกับ “โรส” ไททานิก เปิ๊สการ์ดน่าดู ผมนึกในใจและเธอก็ยิ้มแสดงความเป็นมิตรกับผม ผมก็เลยถามว่า
“ไม่ทราบจะไปไหนครับ” ดูจากการแต่งตัวคิดว่าคงไม่ใช่คนแถวนี้แน่
“เออ...คือดิฉันเป็นครูเพิ่งบรรจุใหม่น่ะค่ะ” เธอตอบ
“อ้าว...เหรอครับ ผมแจ๊ค เอ้ย!! ครูมิตรครับ เป็นครูเหมือนกัน”
“พรไพลินค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก” เธอตอบ
“...แล้วนี่จะได้ไปอยู่ที่ไหนละครับ”
“ชื่อหมู่บ้านที่ดิฉันจะได้ไปอยู่ชื่อบ้านห้วยร้อยเสียงน่ะค่ะ ไม่ทราบว่าครูมิตรรู้จักไหมคะ”
“รู้จักสิครับ เอางี้เดี๋ยวผมไปส่งละกัน”
และแล้วผมก็พาเธอซ้อนมอเตอร์ไซด์คู่ใจของผม ซึ่งตลอดเส้นทางที่ขี่รถจักรยานยนต์ผ่านแต่ละหมู่บ้านถ้าเจอกับชาวบ้าน ทุกคนเป็นต้องเหลียวมาจ้องมองเธอ สงสัยวันนี้เธอจะสวยเป็นพิเศษ
ใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมงก็เดินทางมาถึงศูนย์การเรียน เธอก้าวลงอย่างสง่างามพร้อมกับปัดฝุ่นที่เต็มตัวและสะบัดผมจนปลิวสยายราวมาช่ากำลังถ่ายมิวสิควีดีโอ ซึ่งสาเหตุที่ เธอไม่สามารถจะสวมหมวกได้เนื่องจากหมวกจะปลิว เธอจ้องมองโดยการแหงนดูศูนย์การเรียน มือหนึ่งยังคงถือกระเป๋าสัมภาระ ดูไปก็ยังนึกถึงนางเอกหนังที่ชื่อพจมาน สว่างวงศ์ ผมก็ได้แต่คิดในใจว่าแล้วเธอจะอยู่ได้ไหม เพราะต้องอยู่คนเดียว ชีวิตของครูดอย 1 ศูนย์การเรียน ก็จะมีครูอยู่ 1 คน เป็นได้หมด ครูใหญ่ ครูน้อย คุณหมอ ทนาย แม้กระทั่งเป็นภารโรง แต่ทุกคนก็อยู่ได้และรู้สึกมีความสุขและภาคภูมิใจในสิ่งที่ตนเองทำ ผมก็หวังว่าครูพรไพลิน จะอยู่ได้เหมือนพวกเรา จากนั้นผมจึงขอตัวกลับและปล่อยให้ครูพรไพลินผจญชีวิตอยู่ตามลำพัง
ตั้งแต่วันนั้นผมเลยกลายเป็นแขกประจำของที่นี่ ไปมาหาสู่และคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันอีกทั้งมีความรู้สึกดีดีให้กัน (ฮั่นแน่.....คุณผู้อ่านต้องคิดว่าผมจะต้องพิชิตหัวใจครูสาวเมืองกรุงคนนี้แน่....) เปล่าเลยครับ...ผมไม่อาจเอื้อมดอกฟ้าเช่นเธอ... ผมนับถือครูพรไพลินเหมือนพี่ ไปไปมามาพอเริ่มสนิทกันมากขึ้นก็เรียกป้า ครูพรไพลินเป็นคนง่าย ๆ เป็นมิตรกับทุกคนขยันขันแข็ง จึงทำให้เธอได้พัฒนาหมู่บ้านนี้ซึ่งเป็นหมู่บ้านของชาวเขาเผ่าลาหู่ (มูเซอ) ตามความตั้งใจแต่แรกของเธอ
“ครูผมขอถามอะไรหน่อยสิ”
“อะไร”
“ครูยังไม่มีแฟนเหรอ”
“ไม่มีค่ะ และคิดว่าคงจะอยู่คนเดียวอย่างงี้แหละสบายใจดี”
“เนี่ยผม..สังเกตเห็นมีหนุ่มในหมู่บ้านนี้แอบมองครูอยู่นะ ชื่อเจ้ากาแลหู่ ”
“จะบ้าเหรอครูมิตร...เขาอายุอ่อนกว่าพี่ตั้งเยอะ”
“เขาก็เป็นคนดีนะครู ดูเขาขยันขันแข็ง พิจารณาเขาไว้หน่อยก็ดีเหมือนกันนะครูเพราะคนเราจะอยู่เป็นโสดตลอดไป แก่เฒ่ามาใครจะดูแล” ผมบังอาจสอนครูพรไพลิน
จาก 1 เดือน เป็นหนึ่งปี 1ปี และเป็นหลาย ๆ ปีที่ครูพรไพลินได้สอนที่ศูนย์การเรียนแห่งนี้และแล้ววันหนึ่งผมก็ได้รับข่าวดีจากครูพรไพลิน
“เราตกลงว่าจะแต่งงานกันและทำพิธีให้กับผู้ใหญ่ได้รับรู้”
“ฮ้า....ในที่สุดเขาก็พิชิตหัวใจครูพรไพลินได้ ผมดีใจด้วยนะครับ แล้วครูทำไมถึงตกลงปลงใจกับเขาหละ”
“ก็ เขาเป็นคนดี ขยันทำมาหากิน มาตื้อทุกวัน น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อนนะครูมิตร อีกอย่างเราชอบตรงที่เขาเป็นคนซื่อ ๆ ดูไม่มีพิษมีภัย”
หลังจากนั้นผมกับเพื่อนครูก็ได้มาร่วมงานแสดงความยินดีในวันทำพิธีของครูพรไพลินและนาย
กาแลหู่ บรรยากาศวันนั้นช่างโรแมนติก ง่าย ๆ สบาย ๆ ไม่มีพิธีรีตรองอะไรมาก เพียงแต่ยกน้ำชา ให้ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน ต่อจากนั้นก็รับประทานอาหารร่วมกัน มีการกล่าวอวยพรคู่บ่าวสาวซึ่งแต่งกายด้วยชุดชาวเขาดูน่ารักและเหมาะสมกันดี ซึ่งทั้งคู่ยิ้มแก้มแทบปริอย่างมีความสุข ต่อจากนั้นพวกแขกเหรื่อที่มาก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
เมื่อครูพรไพลินมีคนดูแลแล้วผมก็สบายใจและคอยมองดูความอบอุ่นของครอบครัวเล็ก ๆ และเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกัน จนกระทั่งวันหนึ่งผมได้รับโทรศัพท์จากครูพรไพลิน
“ครูมิตร ตอนนี้พี่นอนอยู่ที่โรงพยาบาลแม่จัน ช่วยไปบอกให้สามีพี่มาหาด้วย” น้ำเสียงของเธอฟังดูค่อนข้างเหนื่อย
“เอ้า...แล้วครูเป็นอะไรมากหรือเปล่าละครับ เจ้ากาแลหู่ ไปไหนถึงไม่ตามพี่ไปที่โรงพยาบาล” ผมถามด้วยความเป็นห่วงและสงสัย
“อ้อ...ตอนพี่มา เค้าไปไร่ ไม่อยู่บ้านพอดีพี่ปวดท้องมาก ตอนนี้ก็ค่อยยังชั่วแล้ว รีบไปตามมาให้พี่หน่อยก่อนที่....” เสียงไอตามมา ผมจึงรีบเร่งไปหากาแลหู่ เพราะไม่อยากจะถามอะไรไปมากกว่านี้ และในที่สุดผมก็พาสามีของครูพรไพลินมาที่โรงพยาบาล ดูเธออ่อนแรงไปมาก จะหยิบจะจับอะไรก็ต้องให้กาแลหู่ คอยช่วยเหลือ ผมแอบอมยิ้มซึ่งเป็นภาพประทับใจที่เห็นทั้งคู่รักใคร่กันดี
“เธอ...... เราก็ไม่อยากถามหามันหรอกนะไอ้ความตายเนี่ย.....แต่วันหนึ่งทุกคนก็ต้องจากไป” ครูพรไพลินพูดกับสามี น้ำตาเธอไหลพรั่งพรูออกมาปานกบ สุวนันท์ ที่กำลังอินกับบทละคร
“อย่าได้พูดอย่างงั้น...เธอต้องอยู่กับฉันตลอดไป” กาแลหู่ พูดเก๊กหน้าหล่อยิ่งกว่าฟิล์ม รัฐภูมิ
“ที่รัก...ถ้าเราตายอย่าลืมเอาร่างของเราไปฝังไว้ที่ไร่นะเพราะ ฉันชอบที่นั่นมาก” เสียงอันแผ่วเบาของเธอเหมือนกับนางเอกในละครน้ำเน่าทั่วไป แต่นี่มันชีวิตจริง
“ถ้าเธอพูดอย่างนี้อีก เราจะถือว่าเธอไม่รักเรา” น้ำตาของลูกผู้ชายเช่นกาแลหู่ แอบเล็ด ผมมองดูทั้งคู่ยังอดกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่และดีใจแทนครูพรไพลินที่ได้เจอรักแท้ถึงแม้จะเจอตอนอายุมากแล้วก็ตาม แต่ในชีวิตหนึ่งเธอก็ยังมีโอกาสได้รู้จักกับมัน ครูพรไพลินนอนรักษาตัวอยู่ 4 วันจึงได้ออกจากโรงพยาบาลซึ่งสามีของเธอก็ดูแลอย่างใกล้ชิด อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เธอหายเร็วขึ้นเพราะได้กำลังใจที่ดี
พวกเราเดินทางด้วยการเหมารถประจำทางขึ้นไปส่งครูพรไพลินถึงศูนย์การเรียน พอถึงที่พักครูพรไพลินก็นอนลงที่นอน เธอคงเหนื่อยกับการเดินทาง ผมหยิบน้ำเทใส่แก้วกำลังยกขึ้นดื่ม
“ไหนละ ไหนละ” กาแลหู่ ถามขึ้นด้วยเสียงอันดัง ทำให้ครูพรไพลินตกใจ
“อะไรของเธอ เรายังไม่รู้เลยว่าเธอถามถึงอะไร” ครูพรไพลินตอบด้วยเสียงอันอ่อนเพลียพร้อมสายตาที่ค้อนงอนเล็กน้อยให้พอสวย
“ก็ไอ้จุดที่เธอจะให้เราเอาร่างไปฝังน่ะอยู่ไหน ออกมาชี้ซิ จะได้รู้ไว้ จะได้ถูกใจ” กาแลหู่ ตอบด้วยท่าทางซื่อ ๆ และจริงจัง
พรู่.....เสียงน้ำพุ่งออกจากปากผม เกือบโดนหน้าครูพรไพลิน ผมแอบมองหน้าครูพรไพลิน ไม่กล้ามองตรง ๆ ซึ่งตอนนี้เธฮดูเหมือนนางยักษ์ขมูขี นางยักษ์ในวรรณคดี ผมจึงเดินออกจากศูนย์การเรียนปล่อยให้ทั้งคู่ตกลงกันเองและมานั่งหัวเราะใต้ต้นไม้ นึกถึงคำพูดของกาแลหู่
เออ..... แฮะ... เค้าซื่อจริง ๆ ตามที่ครูพรไพลินบอก
ครูมิตร
เรื่องเล่าจากโรงเรียนหลังเขาตอน "พรหมลิขิต"
ความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม ถ้าเรารู้จักประคองความรักนั้นไว้ และบางครั้งก็ดูเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายได้เช่นกันถ้าหากไม่รู้จักมันอย่างแท้จริง
คุณผู้อ่านเคยเชื่อถึงเรื่องบุพเพสันนิวาสหรือไม่ ผมเป็นคนหนึ่งที่เชื่อในเรื่องนี้ คำพูดที่กล่าวว่า “อะไรที่มันเป็นของเรา มันก็จะเป็นของเราอยู่วันยังค่ำ แต่อะไรที่มันไม่ใช่ของเรา มันก็ไม่มีทางที่จะเป็นของเรา” ยังคงใช้ได้เสมอ เฉกเช่น ครูสาวจากเมืองกรุงอายุราว 49 ปี ที่เดินทางมาเพื่อจุดประสงค์คือพัฒนาท้องถิ่นและให้การศึกษาเด็กและประชาชนในชุมชนบ้าน ห้วยร้อยเสียง ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ในเขต อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
ผมยังจำวันแรกที่ได้รู้จักกับครูคนนี้ เธอเดินลงจากรถโดยสารประจำทางจากตัวเมืองเชียงราย มาถึงคิวรถบ้านเทอดไทยและถือของพะรุงพะรัง สวมเสื้อรัดรูปสีแดงแปร๊ดขับกับสีผิวดำขลับของเธอ กางเกงยีนสีเทา แว่นตาดำขอบขาว รองเท้าบู๊ชสีน้ำตาลแถมท้ายด้วยหมวกสีครีมดูหรูราวกับ “โรส” ไททานิก เปิ๊สการ์ดน่าดู ผมนึกในใจและเธอก็ยิ้มแสดงความเป็นมิตรกับผม ผมก็เลยถามว่า
“ไม่ทราบจะไปไหนครับ” ดูจากการแต่งตัวคิดว่าคงไม่ใช่คนแถวนี้แน่
“เออ...คือดิฉันเป็นครูเพิ่งบรรจุใหม่น่ะค่ะ” เธอตอบ
“อ้าว...เหรอครับ ผมแจ๊ค เอ้ย!! ครูมิตรครับ เป็นครูเหมือนกัน”
“พรไพลินค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก” เธอตอบ
“...แล้วนี่จะได้ไปอยู่ที่ไหนละครับ”
“ชื่อหมู่บ้านที่ดิฉันจะได้ไปอยู่ชื่อบ้านห้วยร้อยเสียงน่ะค่ะ ไม่ทราบว่าครูมิตรรู้จักไหมคะ”
“รู้จักสิครับ เอางี้เดี๋ยวผมไปส่งละกัน”
และแล้วผมก็พาเธอซ้อนมอเตอร์ไซด์คู่ใจของผม ซึ่งตลอดเส้นทางที่ขี่รถจักรยานยนต์ผ่านแต่ละหมู่บ้านถ้าเจอกับชาวบ้าน ทุกคนเป็นต้องเหลียวมาจ้องมองเธอ สงสัยวันนี้เธอจะสวยเป็นพิเศษ
ใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมงก็เดินทางมาถึงศูนย์การเรียน เธอก้าวลงอย่างสง่างามพร้อมกับปัดฝุ่นที่เต็มตัวและสะบัดผมจนปลิวสยายราวมาช่ากำลังถ่ายมิวสิควีดีโอ ซึ่งสาเหตุที่ เธอไม่สามารถจะสวมหมวกได้เนื่องจากหมวกจะปลิว เธอจ้องมองโดยการแหงนดูศูนย์การเรียน มือหนึ่งยังคงถือกระเป๋าสัมภาระ ดูไปก็ยังนึกถึงนางเอกหนังที่ชื่อพจมาน สว่างวงศ์ ผมก็ได้แต่คิดในใจว่าแล้วเธอจะอยู่ได้ไหม เพราะต้องอยู่คนเดียว ชีวิตของครูดอย 1 ศูนย์การเรียน ก็จะมีครูอยู่ 1 คน เป็นได้หมด ครูใหญ่ ครูน้อย คุณหมอ ทนาย แม้กระทั่งเป็นภารโรง แต่ทุกคนก็อยู่ได้และรู้สึกมีความสุขและภาคภูมิใจในสิ่งที่ตนเองทำ ผมก็หวังว่าครูพรไพลิน จะอยู่ได้เหมือนพวกเรา จากนั้นผมจึงขอตัวกลับและปล่อยให้ครูพรไพลินผจญชีวิตอยู่ตามลำพัง
ตั้งแต่วันนั้นผมเลยกลายเป็นแขกประจำของที่นี่ ไปมาหาสู่และคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันอีกทั้งมีความรู้สึกดีดีให้กัน (ฮั่นแน่.....คุณผู้อ่านต้องคิดว่าผมจะต้องพิชิตหัวใจครูสาวเมืองกรุงคนนี้แน่....) เปล่าเลยครับ...ผมไม่อาจเอื้อมดอกฟ้าเช่นเธอ... ผมนับถือครูพรไพลินเหมือนพี่ ไปไปมามาพอเริ่มสนิทกันมากขึ้นก็เรียกป้า ครูพรไพลินเป็นคนง่าย ๆ เป็นมิตรกับทุกคนขยันขันแข็ง จึงทำให้เธอได้พัฒนาหมู่บ้านนี้ซึ่งเป็นหมู่บ้านของชาวเขาเผ่าลาหู่ (มูเซอ) ตามความตั้งใจแต่แรกของเธอ
“ครูผมขอถามอะไรหน่อยสิ”
“อะไร”
“ครูยังไม่มีแฟนเหรอ”
“ไม่มีค่ะ และคิดว่าคงจะอยู่คนเดียวอย่างงี้แหละสบายใจดี”
“เนี่ยผม..สังเกตเห็นมีหนุ่มในหมู่บ้านนี้แอบมองครูอยู่นะ ชื่อเจ้ากาแลหู่ ”
“จะบ้าเหรอครูมิตร...เขาอายุอ่อนกว่าพี่ตั้งเยอะ”
“เขาก็เป็นคนดีนะครู ดูเขาขยันขันแข็ง พิจารณาเขาไว้หน่อยก็ดีเหมือนกันนะครูเพราะคนเราจะอยู่เป็นโสดตลอดไป แก่เฒ่ามาใครจะดูแล” ผมบังอาจสอนครูพรไพลิน
จาก 1 เดือน เป็นหนึ่งปี 1ปี และเป็นหลาย ๆ ปีที่ครูพรไพลินได้สอนที่ศูนย์การเรียนแห่งนี้และแล้ววันหนึ่งผมก็ได้รับข่าวดีจากครูพรไพลิน
“เราตกลงว่าจะแต่งงานกันและทำพิธีให้กับผู้ใหญ่ได้รับรู้”
“ฮ้า....ในที่สุดเขาก็พิชิตหัวใจครูพรไพลินได้ ผมดีใจด้วยนะครับ แล้วครูทำไมถึงตกลงปลงใจกับเขาหละ”
“ก็ เขาเป็นคนดี ขยันทำมาหากิน มาตื้อทุกวัน น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อนนะครูมิตร อีกอย่างเราชอบตรงที่เขาเป็นคนซื่อ ๆ ดูไม่มีพิษมีภัย”
หลังจากนั้นผมกับเพื่อนครูก็ได้มาร่วมงานแสดงความยินดีในวันทำพิธีของครูพรไพลินและนาย
กาแลหู่ บรรยากาศวันนั้นช่างโรแมนติก ง่าย ๆ สบาย ๆ ไม่มีพิธีรีตรองอะไรมาก เพียงแต่ยกน้ำชา ให้ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน ต่อจากนั้นก็รับประทานอาหารร่วมกัน มีการกล่าวอวยพรคู่บ่าวสาวซึ่งแต่งกายด้วยชุดชาวเขาดูน่ารักและเหมาะสมกันดี ซึ่งทั้งคู่ยิ้มแก้มแทบปริอย่างมีความสุข ต่อจากนั้นพวกแขกเหรื่อที่มาก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
เมื่อครูพรไพลินมีคนดูแลแล้วผมก็สบายใจและคอยมองดูความอบอุ่นของครอบครัวเล็ก ๆ และเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกัน จนกระทั่งวันหนึ่งผมได้รับโทรศัพท์จากครูพรไพลิน
“ครูมิตร ตอนนี้พี่นอนอยู่ที่โรงพยาบาลแม่จัน ช่วยไปบอกให้สามีพี่มาหาด้วย” น้ำเสียงของเธอฟังดูค่อนข้างเหนื่อย
“เอ้า...แล้วครูเป็นอะไรมากหรือเปล่าละครับ เจ้ากาแลหู่ ไปไหนถึงไม่ตามพี่ไปที่โรงพยาบาล” ผมถามด้วยความเป็นห่วงและสงสัย
“อ้อ...ตอนพี่มา เค้าไปไร่ ไม่อยู่บ้านพอดีพี่ปวดท้องมาก ตอนนี้ก็ค่อยยังชั่วแล้ว รีบไปตามมาให้พี่หน่อยก่อนที่....” เสียงไอตามมา ผมจึงรีบเร่งไปหากาแลหู่ เพราะไม่อยากจะถามอะไรไปมากกว่านี้ และในที่สุดผมก็พาสามีของครูพรไพลินมาที่โรงพยาบาล ดูเธออ่อนแรงไปมาก จะหยิบจะจับอะไรก็ต้องให้กาแลหู่ คอยช่วยเหลือ ผมแอบอมยิ้มซึ่งเป็นภาพประทับใจที่เห็นทั้งคู่รักใคร่กันดี
“เธอ...... เราก็ไม่อยากถามหามันหรอกนะไอ้ความตายเนี่ย.....แต่วันหนึ่งทุกคนก็ต้องจากไป” ครูพรไพลินพูดกับสามี น้ำตาเธอไหลพรั่งพรูออกมาปานกบ สุวนันท์ ที่กำลังอินกับบทละคร
“อย่าได้พูดอย่างงั้น...เธอต้องอยู่กับฉันตลอดไป” กาแลหู่ พูดเก๊กหน้าหล่อยิ่งกว่าฟิล์ม รัฐภูมิ
“ที่รัก...ถ้าเราตายอย่าลืมเอาร่างของเราไปฝังไว้ที่ไร่นะเพราะ ฉันชอบที่นั่นมาก” เสียงอันแผ่วเบาของเธอเหมือนกับนางเอกในละครน้ำเน่าทั่วไป แต่นี่มันชีวิตจริง
“ถ้าเธอพูดอย่างนี้อีก เราจะถือว่าเธอไม่รักเรา” น้ำตาของลูกผู้ชายเช่นกาแลหู่ แอบเล็ด ผมมองดูทั้งคู่ยังอดกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่และดีใจแทนครูพรไพลินที่ได้เจอรักแท้ถึงแม้จะเจอตอนอายุมากแล้วก็ตาม แต่ในชีวิตหนึ่งเธอก็ยังมีโอกาสได้รู้จักกับมัน ครูพรไพลินนอนรักษาตัวอยู่ 4 วันจึงได้ออกจากโรงพยาบาลซึ่งสามีของเธอก็ดูแลอย่างใกล้ชิด อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เธอหายเร็วขึ้นเพราะได้กำลังใจที่ดี
พวกเราเดินทางด้วยการเหมารถประจำทางขึ้นไปส่งครูพรไพลินถึงศูนย์การเรียน พอถึงที่พักครูพรไพลินก็นอนลงที่นอน เธอคงเหนื่อยกับการเดินทาง ผมหยิบน้ำเทใส่แก้วกำลังยกขึ้นดื่ม
“ไหนละ ไหนละ” กาแลหู่ ถามขึ้นด้วยเสียงอันดัง ทำให้ครูพรไพลินตกใจ
“อะไรของเธอ เรายังไม่รู้เลยว่าเธอถามถึงอะไร” ครูพรไพลินตอบด้วยเสียงอันอ่อนเพลียพร้อมสายตาที่ค้อนงอนเล็กน้อยให้พอสวย
“ก็ไอ้จุดที่เธอจะให้เราเอาร่างไปฝังน่ะอยู่ไหน ออกมาชี้ซิ จะได้รู้ไว้ จะได้ถูกใจ” กาแลหู่ ตอบด้วยท่าทางซื่อ ๆ และจริงจัง
พรู่.....เสียงน้ำพุ่งออกจากปากผม เกือบโดนหน้าครูพรไพลิน ผมแอบมองหน้าครูพรไพลิน ไม่กล้ามองตรง ๆ ซึ่งตอนนี้เธฮดูเหมือนนางยักษ์ขมูขี นางยักษ์ในวรรณคดี ผมจึงเดินออกจากศูนย์การเรียนปล่อยให้ทั้งคู่ตกลงกันเองและมานั่งหัวเราะใต้ต้นไม้ นึกถึงคำพูดของกาแลหู่
เออ..... แฮะ... เค้าซื่อจริง ๆ ตามที่ครูพรไพลินบอก
ครูมิตร