สวัสดีค่ะทุกคน,
เรามีปัญหาอีกแล้ว (ถ้าลองอ่านกระทู้เก่าๆจะเห็นว่าปัญหาเราเยอะมาก) เป็นเพราะตัวเราเอง หรือเป็นเพราะอะไรเราก็ไม่ทราบ
1. เมื่อเดือน ม.ค. 59
หลังจากที่เราว่างงานมา 3 เดือน (ลาออกจากการเป็นครูอัตราจ้าง โรงเรียนรัฐ เราทำมา 3 ปี ..โดนบีบออกค่ะ อันนี้ค่อนข้างยาว) เรามีลูกเล็ก ตอนนั้นลูกยังไม่ครบขวบเลย ...
เราได้งานที่ต้องเดินทาง ทำไกลบ้าน แต่เงินดี
เราตัดสินใจไปทำ
พอทำได้ 3 วัน...พ่อเสียชีวิต
เราต้องลางาน 2 อาทิตย์กลับบ้าน (เงินค่าทำงาน หายไป 2-3 หมื่น) ระหว่างที่จัดงานศพ เรามีเงินเท่าไหร่ก็เอามาช่วยงานศพ (ทำกับแม่ 2 คน มีสามีเราช่วย ...ส่วนพี่สาวกับพี่เขย มาเป็นแขกในงานเฉยๆ)
งานศพ และ ทำบุญ 7 วันผ่านไป พร้อมกับเงินเราที่หมดไป เรามีค่าประกันลูก ค่าใช้จ่ายส่วนตัวที่ต้องรับผิดชอบ เราใช้วิธียืมเพื่อนฝูงมาก่อน โดยไม่รบกวนแม่
.
จากนั้นเรากลับไปทำงานอีกรอบ เพื่อเคลียร์หนี้ และจัดการเคลียร์งานที่ค้าง 15 วัน (ช่วงงานพ่อ รู้ตัวว่าท้อง คนที่ 2 เลยต้องออกจากงานค่ะ...คนท้องทำงานนี้ไม่ได้)
ก่อนกลับมา เดินเรื่องเอกสาร ให้แม่ พี่สาว ปู่ และ ตัสเราเอง (พ่อเป็นข้าราชการเลยได้พวกบำเหน็จตกทอด) ระหว่างนี้ ใกล้งาน 100 วัน เราจะทำงานอะไรก็ยังไม่ได้ เพราะต้องคอยดูแลแม่+ขับรถพา แม่ไปบ้านในสวน(ที่พ่อเสีย) เพื่อเตรียมงาน 100 วัน
เรางดรับงานสอนพิเศษ ..ดูแลแม่อย่างเดียว
(ถ้าใคร งง ว่า แล้วพี่สาวหละ? ...เขาไม่มายุ่งเลยค่ะ งานเขาเยอะ ..เขามาเป็นแขกอย่างเดียวจริงๆ ..เจาเป็นข้าราชการครู..ต้องไปเข้าเวร ไปทำงานที่โรงเรียนตลอด ขนาดวันงาน ยังต้องลา ผอ. มาได้แป๊บเดียวแล้วกลับไปทำงานอีก)
3. ระหว่างนี้ สถานะเราคือ ว่างงาน + เกาะติดกับแม่ตลอด + ไม่มีรายได้ ( ช่วง สงกรานต์ เราไปขายของี่ลาวมา ได้เงินมานิดหน่อย ก็เอามากินใช้ +ให้แม่จัดงาน 15000 บาท) เราก็ประทังตัวเอง,สามีและลูกด้วยเงินก้อนนี้ จนพ้น งาน 100 วัน
..
ตอนนี้เงินเราหมด ... เงินฌาปนกิจสงเคราะห์ ที่มีชื่อ แม่กับเรา ก็ยังไม่ออก มีกำหนดอยู่เดือนหน้า (เราตกลงกับพี่สาวว่าแม้เขาจะไม่มีชื่อ แต่เราจะแบ่งเงินกันคนละครึ่ง).. แม่ออกอาการเครียด เพราะ เงินที่ได้มาจากทางต้นสังกัด จำนวน 6 หมื่นบาท ได้ใช้จัดงานไปเรียบร้อย เกลี้ยงเหมือนกัน...
พอแม่เครียด..มันก็มีคำพูดออกมาจากเขาว่า
"..เอาตัวไม่รอด ...งานการก็ไม่รู้จักทำ..แล้วจะเอาเงินที่ไหนกินกัน...แม่ไม่เคยห่วงพี่สาวเลย ..มีแต่แกนั่นแหละ ไม่มีอนาคต มองไปก็มืดหมด..ไม่รักดี ไม่สอบเป็นข้าราชการอย่างคนอื่นเขาบ้าง? ..ทำตัวเป็นเจ้าไม่มีศาล ลอยไปลอยมาอยู่นั่นแหละ!!"
.
น้ำตาไหล...บอกแม่ก็ไม่ได้ว่าท้อง (ตอนนี้เราท้อง 5 เดือนแล้ว แต่แม่ไม่รู้..เราอ้วนค่ะ แม่ดูไม่ออก เวลาเราแพ้ท้อง..เราก็จะบอกว่า เราเป็นกรดไหลย้อน และเครียด)
ที่ไม่บอก เพราะ อย่างที่แม่กล่าวข้างต้นค่ะ..สำหรับแม่..เราคือลูกที่ไม่เอาไหน รับผิดชอบตัวเองไม่ได้
.
- ที่เราไม่ทำงาน เพราะเราต้องช่วยแม่จัดงาน
- ที่เราไม่ทำงาน เพราะ เราท้อง..คงไม่มีใครรับคนท้องเข้าทำงาน
....ไม่ใช่เพราะเรา ขี้เกียจ .....
.
ตอนนี้กำลังทำโบรชัวร์แจกตามโรงเรียน เพื่อเปิดติวคอร์สภาษาอังกฤษ ให้กับเด็ก ม.6 (ในจังหวัดเรา..เราค่อนข้างมีชื่อเรื่องการติวสอบ และได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรติวแอดมิชชั่นให้เด็กๆตามโรงเรียนประจำอำเภอบ่อยครั้ง สถาบันต่างๆก็มักจะจ้างเราไปสอนค่ะ มีสอนวนอยู่ 2-3 แห่ง..แต่ตั้งแต่มี.ค.เราต้องปฏิเสธหมด เพื่อจัดการธุระครอบครัว ..ตอนนี้เราเริ่มโทรบอกตามสถาบัน ..บางทีสถาบันก็โทรมาหา แต่กว่าจะเริ่มสอนคงเดือน มิ.ย.)
..
ตอนนี้เราจะเปิดเอง แต่ค่าเช่าสถานที่ ค่าอุปกรณ์เราก็ยังไม่มี ไม่พร้อม เห้อ...มาเจอแม่พูดแบบนี้
มันหมดกำลังใจค่ะ
..
เล่ายาวมาก
แต่คำถามที่อยู่ในใจเสมอ คือ ทำไมต้องเป็นข้าราชการคะ?
ทำไมต้องอาย เวลามีใครถามแม่ว่า ลูกคนเล็กทำงานอะไร? แม่มักจะอ้อมแอ้ม พูดว่า "เป็นติวเตอร์รับจ้างสอน ไม่ได้เป็นข้าราชการอย่างพี่มันหรอก"
ทั้งๆที่ เราทำเงินให้ได้มากกว่า ค่าใช้จ่ายในบ้านเราออกหมด ถึงพี่สาวเราเป็นข้าราชการ แต่เขาไม่เคยช่วยเหลือแม่เลย เขากู้มาใช้จ่ายของครอบครัวเขา ขนาดเรายืมรถเขาไปวิ่งหายืมของวัดมาจัดงาน เขายังไม่ให้เลย..เราต้องไปจ้างรถกระบะเอา ..เวลาเรากับแม่ยืมรถไปบ้านสวน ..เขาก็ไม่ชอบ เพราะหมาที่บ้านสวนตะกายรถเขา แถมบอกอีกด้วยว่า "ถ้าเงินออก แกจ่ายค่าทำสีรถชั้นมาด้วย 2 หมื่น"
งานพ่อ ทั้งงานศพ ,7 วัน และ 100 วัน พี่สาวไม่ช่วยเงินเลย แม้แต่ของชำร่วยงานศพพ่อ ก็ยังมาขอเบิกกับแม่คืน (เงินแค่ 8,000)
แต่แม่กลับรู้สึกดีกับพี่สาว รู้สึกภูมิใจ กับคำว่าข้าราชการ...ทั้งๆที่เขาไม่เคยดูแลแม่เลย
แต่เรา...ถึงมีอาชีพฟรีแลนซ์ แต่ไม่เคยปล่อยให้เงินแม่ขาดมือ ค่ายา ค่าเสื้อผ้า ค่านวด เราออกให้ทุกอย่าง ดูแลแม่ทุกอย่าง แต่เราไม่มีความดี..เพราะเราไม่ใช่ ข้าราชการ
..
ล่าสุด เราบอกแม่ว่า ถ้าหมดเรื่องยุ่งๆ จะลงเรียน ป.โทนะ จบแล้วจะมาสอนที่ ราชภัฏใกล้บ้าน เพราะ ท่านรองอธิการบดี (ท่านเคยเป็นอาจารย์เรา) บอกว่า อยากให้เราไปเป็นอาจารย์ที่ม.
แม่ถามว่า "ใช่ข้าราชการไหม?"
เราบอกว่า "ไม่ใช่..เป็นแค่พนักงานมหาวิทยาลัย..แต่งานก็มั่นคงนะแม่"
....แม่เบือนหน้าหนี..แล้วพูดว่า "จะวิเศษวิโสแค่ไหน..ถ้าไม่ใช่ ข้าราชการ ก็เท่านั้น"
..
น้ำตาย้อนอยู่ในอก ...ทุกข์ใจจริงๆค่ะ
ขอระบายนะคะ ..ถ้าใครอ่านแล้ว ไม่ชอบใจคำพูด,ทัศนคติของเราบางช่วงบางตอน เราขออภัยนะคะ เราไม่ดูถูกอาชีพใคร ครอบครัวเราก็ข้าราชการกันหมด..มีเราที่แหกคอก..ไม่รักดี
เรารักการสอน ..แต่เรารับระบบไม่ได้จริงๆ โดนกดดันหลายเรื่อง เลยต้องออกจากการเป็นครูอัตราจ้าง เราอยากสอนเด็ก อยากให้ความรู้ เราคิดว่าเปิดสอนเองข้างนอกก็สบายใจดี ทั้งเราทั้งนักเรียน
แต่แม่มองว่า มันไม่มั่นคง..จะให้เราทำยังไง
ทำไมต้องเป็นข้าราชการคะ?
เรามีปัญหาอีกแล้ว (ถ้าลองอ่านกระทู้เก่าๆจะเห็นว่าปัญหาเราเยอะมาก) เป็นเพราะตัวเราเอง หรือเป็นเพราะอะไรเราก็ไม่ทราบ
1. เมื่อเดือน ม.ค. 59
หลังจากที่เราว่างงานมา 3 เดือน (ลาออกจากการเป็นครูอัตราจ้าง โรงเรียนรัฐ เราทำมา 3 ปี ..โดนบีบออกค่ะ อันนี้ค่อนข้างยาว) เรามีลูกเล็ก ตอนนั้นลูกยังไม่ครบขวบเลย ...
เราได้งานที่ต้องเดินทาง ทำไกลบ้าน แต่เงินดี
เราตัดสินใจไปทำ
พอทำได้ 3 วัน...พ่อเสียชีวิต
เราต้องลางาน 2 อาทิตย์กลับบ้าน (เงินค่าทำงาน หายไป 2-3 หมื่น) ระหว่างที่จัดงานศพ เรามีเงินเท่าไหร่ก็เอามาช่วยงานศพ (ทำกับแม่ 2 คน มีสามีเราช่วย ...ส่วนพี่สาวกับพี่เขย มาเป็นแขกในงานเฉยๆ)
งานศพ และ ทำบุญ 7 วันผ่านไป พร้อมกับเงินเราที่หมดไป เรามีค่าประกันลูก ค่าใช้จ่ายส่วนตัวที่ต้องรับผิดชอบ เราใช้วิธียืมเพื่อนฝูงมาก่อน โดยไม่รบกวนแม่
.
จากนั้นเรากลับไปทำงานอีกรอบ เพื่อเคลียร์หนี้ และจัดการเคลียร์งานที่ค้าง 15 วัน (ช่วงงานพ่อ รู้ตัวว่าท้อง คนที่ 2 เลยต้องออกจากงานค่ะ...คนท้องทำงานนี้ไม่ได้)
ก่อนกลับมา เดินเรื่องเอกสาร ให้แม่ พี่สาว ปู่ และ ตัสเราเอง (พ่อเป็นข้าราชการเลยได้พวกบำเหน็จตกทอด) ระหว่างนี้ ใกล้งาน 100 วัน เราจะทำงานอะไรก็ยังไม่ได้ เพราะต้องคอยดูแลแม่+ขับรถพา แม่ไปบ้านในสวน(ที่พ่อเสีย) เพื่อเตรียมงาน 100 วัน
เรางดรับงานสอนพิเศษ ..ดูแลแม่อย่างเดียว
(ถ้าใคร งง ว่า แล้วพี่สาวหละ? ...เขาไม่มายุ่งเลยค่ะ งานเขาเยอะ ..เขามาเป็นแขกอย่างเดียวจริงๆ ..เจาเป็นข้าราชการครู..ต้องไปเข้าเวร ไปทำงานที่โรงเรียนตลอด ขนาดวันงาน ยังต้องลา ผอ. มาได้แป๊บเดียวแล้วกลับไปทำงานอีก)
3. ระหว่างนี้ สถานะเราคือ ว่างงาน + เกาะติดกับแม่ตลอด + ไม่มีรายได้ ( ช่วง สงกรานต์ เราไปขายของี่ลาวมา ได้เงินมานิดหน่อย ก็เอามากินใช้ +ให้แม่จัดงาน 15000 บาท) เราก็ประทังตัวเอง,สามีและลูกด้วยเงินก้อนนี้ จนพ้น งาน 100 วัน
..
ตอนนี้เงินเราหมด ... เงินฌาปนกิจสงเคราะห์ ที่มีชื่อ แม่กับเรา ก็ยังไม่ออก มีกำหนดอยู่เดือนหน้า (เราตกลงกับพี่สาวว่าแม้เขาจะไม่มีชื่อ แต่เราจะแบ่งเงินกันคนละครึ่ง).. แม่ออกอาการเครียด เพราะ เงินที่ได้มาจากทางต้นสังกัด จำนวน 6 หมื่นบาท ได้ใช้จัดงานไปเรียบร้อย เกลี้ยงเหมือนกัน...
พอแม่เครียด..มันก็มีคำพูดออกมาจากเขาว่า
"..เอาตัวไม่รอด ...งานการก็ไม่รู้จักทำ..แล้วจะเอาเงินที่ไหนกินกัน...แม่ไม่เคยห่วงพี่สาวเลย ..มีแต่แกนั่นแหละ ไม่มีอนาคต มองไปก็มืดหมด..ไม่รักดี ไม่สอบเป็นข้าราชการอย่างคนอื่นเขาบ้าง? ..ทำตัวเป็นเจ้าไม่มีศาล ลอยไปลอยมาอยู่นั่นแหละ!!"
.
น้ำตาไหล...บอกแม่ก็ไม่ได้ว่าท้อง (ตอนนี้เราท้อง 5 เดือนแล้ว แต่แม่ไม่รู้..เราอ้วนค่ะ แม่ดูไม่ออก เวลาเราแพ้ท้อง..เราก็จะบอกว่า เราเป็นกรดไหลย้อน และเครียด)
ที่ไม่บอก เพราะ อย่างที่แม่กล่าวข้างต้นค่ะ..สำหรับแม่..เราคือลูกที่ไม่เอาไหน รับผิดชอบตัวเองไม่ได้
.
- ที่เราไม่ทำงาน เพราะเราต้องช่วยแม่จัดงาน
- ที่เราไม่ทำงาน เพราะ เราท้อง..คงไม่มีใครรับคนท้องเข้าทำงาน
....ไม่ใช่เพราะเรา ขี้เกียจ .....
.
ตอนนี้กำลังทำโบรชัวร์แจกตามโรงเรียน เพื่อเปิดติวคอร์สภาษาอังกฤษ ให้กับเด็ก ม.6 (ในจังหวัดเรา..เราค่อนข้างมีชื่อเรื่องการติวสอบ และได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรติวแอดมิชชั่นให้เด็กๆตามโรงเรียนประจำอำเภอบ่อยครั้ง สถาบันต่างๆก็มักจะจ้างเราไปสอนค่ะ มีสอนวนอยู่ 2-3 แห่ง..แต่ตั้งแต่มี.ค.เราต้องปฏิเสธหมด เพื่อจัดการธุระครอบครัว ..ตอนนี้เราเริ่มโทรบอกตามสถาบัน ..บางทีสถาบันก็โทรมาหา แต่กว่าจะเริ่มสอนคงเดือน มิ.ย.)
..
ตอนนี้เราจะเปิดเอง แต่ค่าเช่าสถานที่ ค่าอุปกรณ์เราก็ยังไม่มี ไม่พร้อม เห้อ...มาเจอแม่พูดแบบนี้
มันหมดกำลังใจค่ะ
..
เล่ายาวมาก
แต่คำถามที่อยู่ในใจเสมอ คือ ทำไมต้องเป็นข้าราชการคะ?
ทำไมต้องอาย เวลามีใครถามแม่ว่า ลูกคนเล็กทำงานอะไร? แม่มักจะอ้อมแอ้ม พูดว่า "เป็นติวเตอร์รับจ้างสอน ไม่ได้เป็นข้าราชการอย่างพี่มันหรอก"
ทั้งๆที่ เราทำเงินให้ได้มากกว่า ค่าใช้จ่ายในบ้านเราออกหมด ถึงพี่สาวเราเป็นข้าราชการ แต่เขาไม่เคยช่วยเหลือแม่เลย เขากู้มาใช้จ่ายของครอบครัวเขา ขนาดเรายืมรถเขาไปวิ่งหายืมของวัดมาจัดงาน เขายังไม่ให้เลย..เราต้องไปจ้างรถกระบะเอา ..เวลาเรากับแม่ยืมรถไปบ้านสวน ..เขาก็ไม่ชอบ เพราะหมาที่บ้านสวนตะกายรถเขา แถมบอกอีกด้วยว่า "ถ้าเงินออก แกจ่ายค่าทำสีรถชั้นมาด้วย 2 หมื่น"
งานพ่อ ทั้งงานศพ ,7 วัน และ 100 วัน พี่สาวไม่ช่วยเงินเลย แม้แต่ของชำร่วยงานศพพ่อ ก็ยังมาขอเบิกกับแม่คืน (เงินแค่ 8,000)
แต่แม่กลับรู้สึกดีกับพี่สาว รู้สึกภูมิใจ กับคำว่าข้าราชการ...ทั้งๆที่เขาไม่เคยดูแลแม่เลย
แต่เรา...ถึงมีอาชีพฟรีแลนซ์ แต่ไม่เคยปล่อยให้เงินแม่ขาดมือ ค่ายา ค่าเสื้อผ้า ค่านวด เราออกให้ทุกอย่าง ดูแลแม่ทุกอย่าง แต่เราไม่มีความดี..เพราะเราไม่ใช่ ข้าราชการ
..
ล่าสุด เราบอกแม่ว่า ถ้าหมดเรื่องยุ่งๆ จะลงเรียน ป.โทนะ จบแล้วจะมาสอนที่ ราชภัฏใกล้บ้าน เพราะ ท่านรองอธิการบดี (ท่านเคยเป็นอาจารย์เรา) บอกว่า อยากให้เราไปเป็นอาจารย์ที่ม.
แม่ถามว่า "ใช่ข้าราชการไหม?"
เราบอกว่า "ไม่ใช่..เป็นแค่พนักงานมหาวิทยาลัย..แต่งานก็มั่นคงนะแม่"
....แม่เบือนหน้าหนี..แล้วพูดว่า "จะวิเศษวิโสแค่ไหน..ถ้าไม่ใช่ ข้าราชการ ก็เท่านั้น"
..
น้ำตาย้อนอยู่ในอก ...ทุกข์ใจจริงๆค่ะ
ขอระบายนะคะ ..ถ้าใครอ่านแล้ว ไม่ชอบใจคำพูด,ทัศนคติของเราบางช่วงบางตอน เราขออภัยนะคะ เราไม่ดูถูกอาชีพใคร ครอบครัวเราก็ข้าราชการกันหมด..มีเราที่แหกคอก..ไม่รักดี
เรารักการสอน ..แต่เรารับระบบไม่ได้จริงๆ โดนกดดันหลายเรื่อง เลยต้องออกจากการเป็นครูอัตราจ้าง เราอยากสอนเด็ก อยากให้ความรู้ เราคิดว่าเปิดสอนเองข้างนอกก็สบายใจดี ทั้งเราทั้งนักเรียน
แต่แม่มองว่า มันไม่มั่นคง..จะให้เราทำยังไง